Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1147

ตอนที่ 1147 เขาในชุดคลุมจักรพรรดิ

ภายในหลุมลึกบนดาวผุพังของโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ขณะที่ซูหมิงกำลังฟังเสียงพึมพำของไป๋เฟิ่ง ในเวลาเดียวกันกลางพื้นที่เผ่าเซียนในอดีต ที่นั่นมีสถานที่ประหลาดอย่างยิ่งแห่งหนึ่งต่อสี่โลกแท้จริง ต่อมหาโลกสามรกร้าง

ที่นั่นคือบ้านเกิดในความทรงจำซูหมิง….แดนมรณะหยิน!

แดนมรณะหยินมีทางเข้ากลางฟ้ากระจ่างดาว เป็นน้ำวนที่เหมือนไม่มีสุดปลาย ตอนนี้แม้นอกน้ำวนจะมีพายุหมุนมากมาย ทว่าน้ำวนพลังโลกที่มากพอจะบดทำลาย ผู้ฝึกฌานและทำลายล้างดวงดาวกลับไม่อาจสั่นคลอนน้ำวนมรณะหยิน ทำได้เพียง ถาโถมอยู่ข้างนอก แต่กลับเข้าไปข้างในไม่ได้แม้แต่น้อย

ภายในน้ำวนมรณะหยินมีมิติไม่รู้เท่าไร ภายในมิติเหล่านั้นมีเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่จำนวนมาก อีกทั้งเผ่าหมานเพียงอาศัยอยู่ในหนึ่งมิตินั้น เป็นเพียงแค่หนึ่งเผ่าพันธุ์เท่านั้น

ยามนี้มิติแห่งหนึ่งกลางมิติจำนวนมาก ที่นั่นเป็นโลกสีแดง ท้องฟ้าสีแดง แผ่นดินสีแดง ทะเลเพลิงนับไม่ถ้วนอัดแน่นอยู่ในโลกนี้ ม้วนสายลมร้อนระอุ พัดเปลวเพลิงสว่างจ้าแสบตา ทำให้โลกนี้เป็นดั่งนรกเก้าชั้น!

เวลานี้บนแผ่นดินดุจนรกมียอดเขาที่ถูกเปลวเพลิงล้อมแห่งหนึ่ง นั่นคือภูเขาไฟ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่เคยมอดดับมานานเท่าไรไม่รู้ ภายในนั้นมีบ่อเพลิงมหึมา บ่อเพลิงเปล่งแสงสีแดง ส่องสะท้อนภายในภูเขาไฟให้เป็นสีแดงทึบ

กลางบ่อเพลิงมีโลงศพสีม่วงลอยอยู่โลงหนึ่ง ไม่รู้ว่าโลงนี้อยู่ที่นี่มานานเท่าไรแล้ว ทว่ามองจากกลิ่นอายเก่าแก่จากตัวมัน เกรงว่าอยู่มาราวๆ หลายหมื่นปีเห็นจะได้

บนโลงศพประทับตราด้วยอักขระมากมาย อักขระเหล่านั้นจะขยับแสงทุกเก้าลมหายใจ ราวกับไม่มีวันหยุดนิ่งไปนิจนิรันดร์ แต่จะขยับแสงตลอดไป ทว่า…..ทันใดนั้นมีเสียงปังๆ แว่วมาจากในโลง จากนั้นจังหวะการขยับแสงของอักขระบนโลงเปลี่ยนไปเป็นครั้งแรกในรอบไม่รู้กี่ปี ทำให้พวกมันไม่ขยับแสงทุกเก้าลมหายใจอีก แต่เป็น แปดลมหายใจ

เสียงปังๆ ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีคนกำลังทุบจากในโลงไม่หยุด การขยับแสงของอักขระก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากแปดลมหายใจเป็นเจ็ดลมหายใจครั้ง จากนั้นก็หกลมหายใจ จนกระทั่งถึงทุกสามลมหายใจโลงถึงขยับแสงหนึ่งครั้ง โลงนั้นพลันเกิดเสียงอึกทึก

ท่ามกลางเสียงอึกทึก ฝ่าโลงถูกยกลอยอยู่กลางอากาศช้าๆ ขณะเดียวกันบ่อเพลิงรอบๆ ยังไหลเชี่ยวอย่างรุนแรง ประหนึ่งมีเสียงคำรามดังมาจากข้างในไม่หยุด ตอนนี้เอง มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจากในโลงศพ

มันเป็นแขนซูบผอม กางห้านิ้วมือออก ทันทีที่ยื่นมาจากในโลง หินหนืดบ่อเพลิงทั้งหมดในภูเขาไฟลูกนี้พลันระเบิดออก ทั้งแผ่นดินข้างนอกเกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกัน ท้องฟ้ายังสั่นไหวอย่างรุนแรง บนภูเขาไฟปรากฏชั้นเมฆสีแดงเป็นชั้นๆ

คล้ายกับว่าโลกทั้งใบนี้ได้รับผลกระทบจากช่วงที่มือยื่นมาจากในโลง จากนั้นเมื่อแขนยื่นมาจากในโลงแล้ว ห้านิ้วมือที่กางออกก็กำหมัดแน่นช้าๆ ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงกับความร้อนระอุของโลกทั้งใบนี้เหมือนม้วนตลบเข้ามายังใจกลางมือนี้อย่างบ้าคลั่ง

ทุกอย่างเป็นเพียงแค่มือนั้นกำหมัด หากมองลงมาจากที่สูงของโลกนี้ จะเห็นชัดว่าทะเลเพลิงทั้งโลกนี้ม้วนตลบพร้อมกัน จุดที่เปลวเพลิงเหล่านั้นผ่าน แผ่นดินจะเสียความร้อนระอุทั้งหมดไป กลายเป็นดินสีดำ

ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงทั้งหมดรวมถึงเมฆเพลิงบนฟ้าถูกภูเขาไฟลูกนั้นสูบเข้ามา ไปรวมอยู่ในฝ่ามือของแขนนั้นพร้อมกัน ตอนที่เขาคนนี้กำมือ ในฝ่ามือมีไข่มุก สีแดงฉานเพิ่มมาหนึ่งเม็ด

ในไข่มุกนั้นมีทะเลเพลิงไหลเชี่ยว มีเมฆเพลิงหมุนวน ประหนึ่งเป็นหนึ่งโลก

เสียงถอนหายใจดังมาจากในโลง ไม่นานร่างเงาสูงใหญ่ลุกขึ้นนั่งจากในโลงช้าๆ จนกระทั่งยืนขึ้น มีเสื้อคลุมสีแดงฉานปรากฏขึ้นบนตัวร่างเงานี้ เสื้อคลุมนั้นไม่ใช่เสื้อคลุมธรรมดา แต่เป็น….เสื้อคลุมจักรพรรดิ!

อีกทั้งศีรษะของเขายังปรากฏมงกุฎจักรพรรดิขึ้น ทำให้เขามีกลิ่นอายบ้าอำนาจของจักรพรรดิเผยออกมาเต็มภูเขาไฟและเต็มโลกใบนี้

“ล้มเหลวแล้วหรือ…..” คนนี้พูดเสียงเบา น้ำเสียงมีความน่าเกรงขามประหลาดๆ ทั้งยังมีความรู้สึกเย่อหยิ่งอยู่เหนือทุกสิ่ง เขาเอ่ยคำว่าล้มเหลวก็จริง แต่ไม่ว่าใครที่ได้ยินจะไม่รู้สึกถึงความเสียใจในความล้มเหลวแม้แต่น้อย

“ข้าคาดเดาเอาไว้ได้ตั้งนานแล้ว เรื่องนี้มีโอกาสสำเร็จน้อยมาก คนเหี้ยมโหดอย่างซูเซวียนอีจะไม่มีแผนสำรองได้อย่างไร ทว่าแผนการในภายภาคหน้าของข้าก็คือต้องรู้ว่าซูเซวียนอีคิดจะทำอะไรกันแน่

ศัตรูที่มองไม่เห็นต่างหากที่น่ากลัว แต่หากมองเห็นก็ไม่น่ากลัวแล้ว

แผนการนี้เดิมทีก็เพื่อล่อให้ซูเซวียนอีแสดงแผนออกมาให้ข้ารู้เท่านั้นว่าเขาจะทำอะไรกันแน่…..” ชายสวมเสื้อคลุมจักรพรรดิและมุงกุฎจักรพรรดิกล่าวพลางเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยเป็นรูปลักษณ์ เขา….คือตี้เทียน!

หรืออาจพูดได้ว่ารูปลักษณ์เขาเหมือนกับตี้เทียนทุกประการ มีเพียงบนใบหน้าที่แก่ชรากว่าเดิมเล็กน้อย กลิ่นอายบ้าอำนาจก็รุนแรงกว่าเล็กน้อย ความรู้สึกถึงขั้นพลังยังแกร่งกว่าเดิมอีกเล็กน้อย!

“ใช้เสี้ยววิญญาณหนึ่งบินออกจากร่างข้าเพื่อไปหยั่งเชิง หากสำเร็จจะดีที่สุด หากล้มเหลวก็ไม่เป็นไร กับอีแค่พันธมิตรเผ่าเซียนเล็กจ้อย เสียไปก็ไม่เป็นไร” ชายคนนี้กล่าวเรียบๆ ดวงตาสองข้างขยับแสงวูบวาบ เขาเงยหน้ามองฟ้านอก ปากภูเขาไฟ มุมปากยกยิ้มทีละน้อย

“สามราชันห้าจักรพรรดิ สหายทุกท่าน พวกเจ้าพักผ่อนเป็นอย่างไรกันบ้าง?” เสียงเขาดังออกจากโลกนี้ไปกึกก้องอยู่ในน้ำวนมรณะหยิน ผ่านไปครู่หนึ่งมีระลอกคลื่นรุนแรงกระจายมาจากในเจ็ดมิติกลางน้ำวนมรณะหยิน

อีกทั้งยังมีจิตสัมผัสน่ากลัวปะทะกันที่นี่ ราวกับพวกเขากำลังสื่อสารอะไรบางอย่าง ผ่านไปพักใหญ่จิตสัมผัสก็ทยอยกันหายไป กลับไปยังโลกของพวกเขา น้ำวนมรณะหยินค่อยๆ สงบลง

“คิดเหมือนกับข้า ให้ซูเซวียนอีเปลี่ยนแปลงไปเถอะ พวกเราไม่ต้องรีบออกไปขนาดนี้ก็ได้ ให้เขาทำแผนการให้สำเร็จต่อไป ถึงช่วงสุดท้ายเมื่อไรเขาจะได้รู้ว่าทุกอย่าง…เป็นเพียงเรื่องตลก” ตี้เทียนหัวเราะเบาๆ ก่อนกลับลงไปนอนในโลงอีกครั้ง คลาย

มือขวาออก ไข่มุกสีโลหิตในนั้นจึงสลายไป ทำให้โลกกลับมาถูกทะเลเพลิง ปกคลุมอีกครั้ง

“อาการบาดเจ็บข้าเมื่อหมื่นปีก่อนหายดีแล้ว….ไม่อาจกล่าว ขั้นไม่อาจกล่าว….ข้าคลำไปถึงขอบเขตมันแล้ว ให้เวลาข้าอีกเล็กน้อย บางทีข้าอาจมีคุณสมบัติก้าวไป สู่ธรณีประตูนั้น เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก ซูเซวียนอี…” ตี้เทียนพึมพำ ฝาโลงเกิดเสียงดังปัง เมื่อปิดโลงสนิทแล้วมันก็จมลงไปในบ่อเพลิงช้าๆ จนหายไป

“พันธมิตรเผ่าเซียนสมควรตาย สำนักดาราสัจธรรมสมควรตาย จักรวาลสมควรตาย พายุหมุนสมควรตาย!” ภายในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม กลางดาวผุพังเช่นกัน ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมดำ แต่สีหน้ากลับย่ำแย่อย่างยิ่ง ดวงตาฉายแววบ้าคลั่งคนหนึ่งกำลังยกสองมือขึ้นค้ำยันฟ้าพลางเงยหน้าตะโกน

“พวกเรายืนหยัดเอาไว้ ใกล้จะวางวงแหวนอาคมเสร็จแล้ว พายุหมุนสมควรตายนี้ทำลายห้องโถงสงครามของเราไม่ได้หรอก!” ขณะชายหนุ่มตะโกน ผู้ฝึกฌาน สองหมื่นกว่าคนข้างหลังเขาก็ตะโกนพร้อมกัน ทุกคนต่างส่งขั้นพลังเข้าไปหลอมรวมในมวลอากาศ จึงปรากฏม่านแสงขึ้นช้าๆ ราวกับว่าจะปกคลุมดำวดวงนี้เอาไว้

ในกลุ่มคนมีบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิงกับจูโหย่วไฉ!

…………

ขณะเดียวกันในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ภายในพายุหมุนมีเรือโดดเดี่ยวลำหนึ่งเหมือนใช้พายุหมุนเป็นคลื่นยักษ์กลางทะเล ใช้ฟ้ากระจ่างดาวเป็นน้ำทะเลกำลังแล่นไปอย่างสบายใจ

“สายลมหนอ ดวงดาวหนอ เจ้าช่างงดงาม….สิ่งผุพังหนอ อากาศหนอ น่าเสียดายไม่มีแสงตะวัน อู้ เหตุใดเจ้าไม่งดงาม…..” เสียงใสดังสั่นๆ มาจากในเรือนั้น ตอนที่เสียงดังก้องยังเหมือนมีความมึนเมาอยู่ด้วย

“กลอนดี กลอนดี!”

“ท่านชายเฉียบแหลมด้านวรรณคดี เห็นได้ยากเป็นนิจนิรันดร์ นี่เป็นกลอนที่ดีที่สุดเท่าที่หญิงรับใช้อย่างข้าจะเคยได้ยิน

มา” ต่อจากเสียงที่เต็มไปด้วยความมึนเมาก็เป็นเสียงหัวเราะน่ำรักของสตรี

เมื่อเรือโดดเดี่ยวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จึงเห็นว่าข้างนอกมีหมอกหมุนวนรอบอยู่ หมอกดูเหมือนมาก แต่กลับกำลังต่อต้านกับพายุหมุนในฟ้ากระจ่างดาวอยู่ ทำให้ พลังโลกในพายุหมุนไม่อาจเข้ามาข้างในได้

มองข้ามหมอกไปจะเห็นรางๆ ว่าบนเรือมีโต๊ะยาวตัวหนึ่ง ด้านข้างมีชายผมยาวนั่งอยู่คนหนึ่ง เขามีหน้ำตาหล่อเหลายิ่ง อีกทั้งยังมีเสน่ห์อบอุ่นราวกับดอกไม้

ข้างกายเขาเป็นหญิงงามดั่งดอกไม้สามคน แววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของพวกนางสามคนมองชายคนนั้น ประหนึ่งว่าต่อให้ชายคนนั้นบอกว่าอุจจาระสุนัข….เช่นนั้นอุจจาระสุนัขนี้ก็จะเป็นเพลงกลอน….

พวกนางบางคนรินสุราให้ชายคนนั้น บางคนถือผลแตงหอมหวานให้เขา คนสุดท้ายนวดขาให้เขาเบาๆ ใบหน้าเล็กงามยังแสดงอารมณ์มาทางสีหน้าทีละน้อย

ชายคนนี้ส่ายศีรษะ เหมือนกำลังขบคิดถึงเพลงกลอนตัวเอง

เพียงแต่ว่าข้างหลังสี่คนนี้ ตรงสุดปลายของเรือมีเสียงที่ไม่เข้ากันอยู่เสียงหนึ่ง มันทำลายความงามเพลงกลอนที่นี่

นั่นคือเสียงกรนราวฟ้าผ่า เสียงนั้นยังมีท่วงทำนองที่มีกฏเกณฑ์อยู่ด้วย บางครั้งจะสูง บางครั้งจะต่ำ คนที่กรนนั่นก็คือชายร่างกำยำสูงใหญ่ยิ่ง เขานอนอยู่ตรงนั้นดุจพยัคฆ์ ในมือยังถือไหสุรา ตอนนี้แม้จะอยู่ในความฝัน แต่มุมปากยังมีน้ำลายไหล ไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไร ดูแล้วมีความสุขมาก

“ศิษย์น้องเล็ก มาชนสุรากัน!” ชายร่างกำยำพลิกตัว ปากยังพึมพำหลายประโยค เสียงกรนดังขึ้นกว่าเดิม

“เฮ้อ…..” ชายที่หลับตาราวดอกไม้คนนั้นเหมือนได้ยินเสียงพึมพำของชายร่างกำยำจึงลืมตาขึ้นช้าๆ มองฟ้ากระจ่างดาวไกลออกไป ก่อนก้มหน้าลงถอนหายใจ

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอยู่ที่ใด…..”

ขณะเดียวกันในซากสำนักดาราสัจธรรม ที่หนึ่งในเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแผ่นดินโลกข้างล่าง มีร่างเงาคนหนึ่งออกมาจากในซากปรักหักพังช้าๆ กำลังคลานออกมาอย่างระมัดระวัง หน้ำตาเขาดูสถุนถ่อยเล็กน้อย แต่ใบหน้าในความสถุนกลับมีความแค้นเหลือล้น

“ซูเซวียนอี!” ชายคนนี้ตัวสั่น ขั้นพลังเขาอ่อนแอมาก แต่ตอนนี้ความแค้นที่แผ่มาจากตัวเขากลับมากพอจะทำลายทุกอย่าง

น้ำตารินไหลมาจากดวงตา เขามองไปรอบๆ ก่อนเงยหน้าคำรามพลางบินออกไป เขาจะไปหาที่ที่ยังไม่มีคนอื่นอยู่ ถึงจะมีเพียงเสี้ยวโอกาสเขาก็จะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!