Chapter 8
งานประลองหลอมโอสถ
แต่จนแล้วจนรอดหยางเจียงหยุนก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเทพคนนั้นที่หน้าตาเหมือนเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งเลย จนกระทั่งเขาเห็นมันลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างเงียบๆ เขาจึงรีบฉวยโอกาสบอกทหารยามข้างๆ ว่า “ข้าจะไปปลดทุกข์สักครู่”
“อืมๆ” ทหารข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ “รีบไปรีบมา”
“อืม” หยางเจียงหยุนพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปจากท้องพระโรง เขาลอบตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป
“เฮ้อ…” เฉินมู่อิ๋งถอนหายใจทีหนึ่งหลังจากเดินออกมาจากท้องพระโรงใหญ่โตแล้ว เขาถูกคนในงานเลี้ยงจับตามองเสียจนเขารู้สึกอึดอัดเลยทีเดียว ขณะที่เดินผ่านพวกนางกำนัลทั้งหลายพวกนางก็ชม้ายชายตาให้เขา เขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้พวกนาง เขาเดินไปจนถึงสวนดอกไม้ร่มรื่นงดงามจึงยืนมองสวนแห่งนั้นอย่างรู้สึกสบายใจ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีคนมายืนมองเขาอยู่ เขาจึงหันไปมองเห็นทหารคนหนึ่งสวมหมวกเกราะปิดหน้าเห็นแต่ลูกตา เขาจึงมองทหารคนนั้น หยางเจียงหยุนก็มองเด็กหนุ่มที่หน้าตาเหมือนเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เหมือนมาก! เหมือนมากจริงๆ! ใบหน้านั้นมองอย่างไรก็เหมือนเจ้าเด็กคนนั้นไม่มีผิด!
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเป็นร่างเคราะห์ของเทพคนนี้?
ใช่ แดนเทพมีวิธีการเลี่ยงเคราะห์กรรมด้วยการส่งร่างแยกไปกำเนิดในโลกมนุษย์ ให้ร่างแยกนั้นเผชิญเคราะห์กรรมแทนร่างจริง เขาคิดถึงข้อนี้แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้มากทีเดียว
“เฉินมู่อิ๋ง” เขาลองเรียกชื่อ เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับจะถามว่า ‘มีอะไร?’
หยางเจียงหยุนใจเต้นตึกๆ ขึ้นมา ท่าทางเช่นนั้นเหมือนเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งไม่มีผิดเพี้ยน! ท่าทางอหังการราวกับว่า ‘ข้าเหนือกว่าคนอื่น’ นั่นเขาจำได้ดีทีเดียว ตอนที่เขาเป็นองค์รัชทายาทอยู่ในโลกมนุษย์มันก็ทำท่าทางเช่นนี้ใส่เขาตลอด ทำให้เขาเกลียดมันยิ่งนัก อีกทั้งเสด็จพ่อก็แสนจะเอ็นดูมันราวกับมันเป็นลูกแท้ๆ ยิ่งทำให้เขาเกลียดมันเข้ากระดูกดำ เกลียดจนเกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นมา แล้วน้องเก้าก็เอาหยกอันหนึ่งมาให้เขาห้อยติดตัวเอาไว้ เขาก็ห้อยติดตัวตลอดไม่เคยห่าง โดยที่ไม่รู้ว่าหยกชิ้นนั้นก็คือ ‘หยกกักปราณอาฆาต’
เขาห้อยหยกกักปราณอาฆาตติดตัวเอาไว้ ทำให้วิญญาณอาฆาตที่เกิดจากเขาถูกหยกกักปราณอาฆาตดูดกลืนเข้าไปกักขังเอาไว้ เขาไม่รู้เรื่องนี้จนกระทั่งร่างแยกตกตายไป จิตวิญญาณรวมถึงจิตบรรพกาลกลับคืนสู่ร่างหลักพร้อมกับหยกกักปราณอาฆาตชิ้นนั้น หยกชิ้นนั้นไม่เพียงแต่ดูดกลืนวิญญาณอาฆาตเข้าไปเท่านั้น กลับยังดูดกลืนวิญญาณเขาและจิตบรรพกาลไปด้วยเล็กน้อย ทำให้ตอนที่เขาส่งจิตวิญญาณไปฝึก ‘วิถีไร้รัก’ อีกครั้ง เขาจำต้องส่งหยกกักปราณอาฆาตชิ้นนั้นไปด้วย เพราะหยกดูดกลืนวิญญาณของเขากับจิตบรรพกาลเข้าไป ต่อให้เขาฝึกวิถีไร้รักสำเร็จแต่หากไม่สามารถแยกจิตบรรพกาลกับจิตของเขาในหยกชิ้นนั้นได้ การฝึกฝนวิถีไร้รักก็ไม่เกิดผลเพราะจิตบรรพกาลในหยกยังคงอยู่
เฉินมู่อิ๋งเห็นทหารคนนั้นไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องมองเขา เขาจึงเดินไปทางอื่นเสีย หยางเจียงหยุนก้าวตามไป เฉินมู่อิ๋งหันไปมองเห็นทหารคนนั้นเดินตามเขามา เขาจึงหยุดเท้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับทหารคนนั้น “นี่ๆ เจ้ามีอะไรก็พูดมา เอาแต่ตามข้าเช่นนี้ทำไม?”
“แคว้นซินหยาง” หยางเจียงหยุนเอ่ยออกมา เฉินมู่อิ๋งดวงตาวูบไหวนิดหนึ่งแล้วเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดๆ มา หากไม่มีอะไรจะพูดก็อย่ามารบกวนเวลาของข้า”
“เป็นเจ้าจริงๆ” หยางเจียงหยุนเอ่ยออกมาอย่างดีใจปนแค้นเคือง เฉินมู่อิ๋งจ้องมองดวงตาทหารคนนั้นแล้วถาม “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ? แต่ข้าไม่รู้จักเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เปิดหน้าให้ดูหน่อยซิ เจ้าเป็นใคร?”
“มู่ตี้! มู่ตี้! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว! หึๆๆๆ…” หยางเจียงหยุนเอ่ยอย่างแค้นใจปนดีใจที่ได้เจอเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งที่เขาตามหาแล้ว!
ความรู้สึกทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ผสมปนเปกันไปหมด มันผสมกันเสียจนเขาแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาจึงพุ่งเข้าไปหมายคว้าลำคอเล็กๆ นั่นบีบให้แหลกคามือ! วูบ!
เฉินมู่อิ๋งก็ไวพอตัว เห็นทหารคนนั้นพุ่งมา เขาก็รีบถอยหนีทันที ทำให้มือข้างนั้นพลาดจากลำคอเขาไป
“โอ๋! ไวดีนี่” หยางเจียงหยุนเข่นเขี้ยวดวงตาวาวโรจน์ เขาพุ่งเข้าใส่อีก เฉินมู่อิ๋งก็หลบถอยห่างออกไปอย่างงงๆ เขาไม่เคยมาตำหนักเก้าชั้นฟ้า ดังนั้นจึงแน่ใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับทหารคนนี้มาก่อน แล้วทำไมทหารคนนี้ต้องคิดร้ายกับเขาด้วยล่ะ? อีกทั้งเขามาถึงแดนเทพได้ไม่นาน ก็ยังไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ทำให้เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปมีเรื่องกับทหารคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? “เจ้าเป็นใคร? ข้าแน่ใจว่าข้าไม่รู้จักเจ้า แล้วไยเจ้าต้องคิดทำร้ายข้าด้วยล่ะ?”
“หึ! เจ้าจำหยางจ้าวฉวน(杨照泉) ไม่ได้แล้วซินะ” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งเบิกตากว้างขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่เกือบลืมไปแล้ว “หยางจ้าวฉวน? เจ้าคือหยางจ้าวฉวนคนนั้นน่ะรึ?”
“จำได้แล้วซินะ” หยางเจียงหยุนพูดอย่างเย็นชายิ่ง ไอสังหารแผ่ออกมาจากตัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ใช่ เขาอยากฆ่ามันยิ่งนัก ฆ่ามันแล้วบดขยี้วิญญาณมันให้แหลกเป็นจุณ!
เฉินมู่อิ๋งนึกถึงภาพสุดท้ายที่ถูกฮ่องเต้หยางจ้าวฉวนจูบแล้วบอกรัก ภาพนั้นราวกับเพิ่งเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาหน้าแดงกระอักกระอ่วนขึ้นมาเมื่อคิดว่าถูกต้วนซิ่วจูบ “เจ้าจูบข้า ซ้ำยังบอกว่ารักข้าอีกด้วย”
หยางเจียงหยุนได้ยินแล้วยิ่งโมโหจนโทสะท่วมฟ้า แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากคิดถึงความรักบ้าบอนั่นอีก เขาชี้นิ้วไป “เจ้าทำให้บุรุษแท้ๆ อย่างข้าหลงรักเจ้า เจ้าสมควรตาย!”
เขาพูดแล้วก็พุ่งเข้าใส่ทันที นิ้วกางออกราวกรงเล็บหยี่ยว เฉินมู่อิ๋งก้าวหลบอย่างไวยิ่ง ด่าสวนว่า “เจ้าซิสมควรตาย ไอ้ต้วนซิ่วบัดซบที่บังอาจจูบข้า!”
เฉินมู่อิ๋งคว้าจับอย่างที่ตี้โฮ่วสอน เขาจับมือมันที่พุ่งมาแล้วจับบิดไพล่หลังทันที หยางเจียงหยุนก็แก้ด้วยกันหมุนออกแล้วคว้าจับมือข้างนั้นบิดหมุน เฉินมู่อิ๋งก็หมุนตามแก้ท่าให้หลุดจากการจับกุม ทำให้แขนเสื้อขาดดังแคว๊กกกก…
แขนเสื้อตัวนอกขาดติดมือหยางเจียงหยุนไป เฉินมู่อิ๋งก็ถอยห่างไป มองแขนเสื้อตัวเองที่ขาดออก หยางเจียงหยุนมองแขนเสื้อนั้นอย่างสะใจคล้ายกับว่าได้ฉีกแขนมันออกอย่างไรอย่างนั้น เขาเก็บแขนเสื้อข้างนั้นใส่อกเสื้อแล้วชี้นิ้วพูดว่า “ยอมตายเสียดีๆ เถอะเจ้าหนู”
“หึ! คิดเอาชีวิตข้า ไม่ง่ายนักหรอก” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงเย็นชาสวนกลับ หยางเจียงหยุนพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งยกเท้าเตะ หยางเจียงหยุนจึงคว้าจับข้อเท้าข้างนั้นเอาไว้แล้วดึงกระชากเข้าหาตัว เฉินมู่อิ๋งจึงตั้งเข่าอีกข้างสวนไป หยางเจียงหยุนใช้แขนต้านเข่าข้างนั้น ผั๊วะ!
แล้วคว้าขาอีกข้างกระชากเข้ามาทำให้เฉินมู่อิ๋งที่ถูกจับทั้งสองขาถูกดึงไปกระแทกกับตัวของ ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้น หยางเจียงหยุนดึงเฉินมู่อิ๋งเข้ามาแล้วก็ใช้สองมือโอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้ทันที ทำให้ตัวของเฉินมู่อิ๋งคล้ายถูกอุ้มเข้ากะเอวอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งจับบ่า‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้นเป็นที่ยึดแล้วเอาศีรษะโขกหน้าผากอีกฝ่ายจนเสียงดัง โป๊ก!
“โอ๊ย!”
“โอ๊ย!” หยางเจียงหยุนร้องคำหนึ่ง เขาไม่ได้เจ็บมากนักเพราะมีหมวกเกราะสวมอยู่ แต่เฉินมู่อิ๋งเจ็บมากจริงๆ หน้าผากเขาบวมปูดขึ้นมาทันตา เอาศีรษะโขกหมวกเกราะไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยจริงๆ เพียงแต่มันกะทันหันจนเขาคิดไม่ทัน เขาเจ็บเสียจนมึนไปครู่หนึ่ง หยางเจียงหยุนโอบเอวรัดเอาไว้ ตามองหน้าเฉินมู่อิ๋งที่เหยเกเพราะความเจ็บ เขาสะใจยิ่งนักที่เห็นมันเจ็บตัวเช่นนั้น แต่อีกใจก็แสนจะสงสารเสียจนรู้สึกเจ็บแทน เขายื่นมือไปจับหน้าผากที่บวมปูดนั้นคลึงเบาๆ พลางด่า “โง่จริงๆ”
เฉินมู่อิ๋งหน้างอง้ำ ปัดมือออก “เพราะใครล่ะ!”
“หึ!” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา มองใบหน้างอง้ำตรงหน้าแล้วรู้สึกอารมณ์ดียิ่ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายและมีความแปลกหน้าปนอยู่ด้วย เป็นความรู้สึก 2 สายที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจคนตรงหน้าได้อย่างสนิทใจ คล้ายกับว่า ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนี้ไม่ใช่ ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้นที่เขารู้จักในอดีต เขาดิ้นออก “ปล่อยข้า!”
“หึ! ปล่อยเจ้ารึ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอกเจ้าหนู” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาสีม่วงเข้มมองจ้องดวงตาดำคู่สวยนั่น เฉินมู่อิ๋งมองดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นแล้วคล้ายกับตกลงไปในโลกที่มีแต่สีม่วงเข้มอย่างไรอย่างนั้น อึดใจต่อมาเขาก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากดวงตาสีม่วงคู่นั้น ทำให้เขาคล้ายกับตะเกียกตะกายหลุดออกมาจากโลกสีม่วงเข้มอย่างไรอย่างนั้น เขายันอก ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้น แล้วผลักตัวเองออกพลางดีดตัวจนหลุดจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปทางท้องพระโรงทันที
หยางเจียงหยุนเห็นเฉินมู่อิ๋งหลุดจากอำนาจสะกดของเขา ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เขาจะตามไปก็ชะงักเท้าแล้วรีบเดินหนีไปทันที เพราะหากตี้จวินรู้เรื่อง ตี้จวินย่อมไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน ดังนั้นเขาควรหลบไปก่อนแล้วค่อยหาทางฆ่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งในโอกาสหน้าเถอะ เขาพลาดโอกาสไปเสียแล้ว ตอนที่จับมันได้เขาก็ดีใจเสียจนลืมลงมือฆ่ามันไปเสียนี่! อีกทั้งกลิ่นกายมันก็กระตุ้นเขาเสียจนมังกรใหญ่กลางกายแข็งขึงขึ้นมา ตอนที่มันดิ้นเมื่อกี้ตัวมันก็เบียดกับมังกรเขานิดหน่อย ทำให้เขาตกตะลึงจนลืมลงมือไปเสียได้! ต้องฆ่ามันให้ได้! ไม่เช่นนั้นร่างกายเขาไม่มีทางกลับไปเป็นบุรุษแท้ๆ ได้แน่! เจ้าเด็กบัดซบนั่นช่างมีพลังในการล่อลวงเขามากล้นยิ่ง! เจ้าเด็กสมควรตาย!
เฉินมู่อิ๋งรีบกลับเข้าไปในท้องพระโรง ทำให้ผู้คนหันไปมองท่าทางที่รีบเดินเข้ามาเหมือนหนีใครอย่างนั้นแหละ ราชามังกรจึงเอ่ยปากถาม “เจ้าหนีใครมาอย่างนั้นรึ?”
“รึว่าหนีพวกนางกำนัลที่จ้องเจ้าตาเป็นมัน?” ราชาเฟิ่งถามกระเซ้าเย้าแหย่ คนอื่นๆ ก็มองเฉินมู่อิ๋งเป็นตาเดียว เฉินมู่อิ๋งจึงตอบว่า “หนีคนบ้าน่ะ”
“หือ? คนบ้า?” จินเย่งงๆ เฉินมู่อิ๋งจึงโบกๆ มือ “ไม่มีอะไรหรอกพี่จินเย่ ก็แค่คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าไปเจอนางกำนัลคิดมิดีมิร้ายกับเจ้าอย่างที่ราชาเฟิ่งเย้ากระมัง” จินเย่กระซิบเย้าแหย่ นางเพิ่งสังเกตเห็นหน้าผากที่บวมปูดของเฉินมู่อิ๋งจึงยกมือแตะๆ “แล้วนี่เจ้าไปโดนอะไรมา?”
“ตอนสู้กันเมื่อครู่ข้าโขกหัวมันไปทีนึงน่ะ เจ็บยิ่งนัก” เฉินมู่อิ๋งพูดพลางเอาโอสถออกมากินลงไป 1 เม็ด หน้าผากที่บวมปูดก็ค่อยๆ ยุบลงไปนิดหนึ่ง
“ถึงกับสู้กันเชียวรึ?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอรับ”
ตี้จวินกวาดตามองเฉินมู่อิ๋งทีหนึ่ง เขารู้สึกถึงกลิ่นอายวิญญาณที่แตกต่างจากกลิ่นอายของเฉินมู่อิ๋งจึงเอ่ยเสียงเบากับตี้โฮ่ว “ข้ารู้สึกถึงเผ่าวิญญาณคนอื่น เดี๋ยวข้าไปดูสักหน่อย เจ้าก็อยู่รับหน้าเทียนจวินไปล่ะกัน”
“อืม” ตี้โฮ่วรับคำ ตี้จวินจึงลุกออกไป ผู้คนมองตี้จวินเป็นตาเดียว เห็นท่านผู้ยิ่งใหญ่เสด็จออกไปพวกเขาก็ไม่กล้าถาม เห็นตี้โฮ่วยังนั่งอยู่ตรงนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตี้จวินอาจจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยกระมัง
ตี้จวินเดินออกไป ตามกลิ่นอายของเฉินมู่อิ๋งไปจนกระทั่งถึงจุดที่สัมผัสกลิ่นอายได้เป็นจุดสุดท้ายซึ่งก็คือในสวนดอกไม้ด้านนอกท้องพระโรง เขาแผ่ประสาทสัมผัสออกไปครู่หนึ่งแล้วก็เก็บประสาทสัมผัสกลับมา เขาเดินไปทางพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วก็เจอชุดเกราะชุดหนึ่งซ่อนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายสิ้นสุดแค่ตรงนี้ เขาไม่พบกลิ่นอายอีก เขาใช้พลังกวาดผ่านชุดเกราะชุดนั้นพบกลิ่นอายเผ่าวิญญาณที่เข้มข้นกว่าเฉินมู่อิ๋งหลายเท่าตัว กลิ่นอายนี้เจือไอสังหารจางๆ ทำให้เขานึกแปลกใจ เด็กเฉินมู่อิ๋งถูกหมายหัวหรือนี่!?
จากคำพูดของเด็กคนนั้นที่บอกว่าเป็น ‘คนบ้า’ น่าจะเป็นคนรู้จัก เช่นนั้นก็อาจจะเป็นศัตรูของเด็กคนนั้นกระมัง
เขาคิดแล้วก็เก็บชุดเกราะชุดนั้นไป แล้วเดินกลับไปที่ท้องพระโรง แน่นอนว่าเขาไม่อยากอยู่ห่างจากฮูหยินของเขานักหรอก ไม่เช่นนั้นนางคงถูกบุรุษอื่นชวนคุยแน่นอน แต่เมื่อเขากลับไปถึงท้องพระโรงก็เห็นเพียงนางคุยกับเทียนโฮ่วอย่างออกรสตามประสาคนบ้านเดียวกัน เขาจึงกลับไปนั่งข้างๆ นาง ตี้โฮ่วเหลือบมองสามีแวบหนึ่งแล้วคุยกับเทียนโฮ่วต่อ
หยางเจียงหยุนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง มองตี้จวินที่เก็บชุดเกราะชุดนั้นไป เขาคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ตามเจ้าเด็กนั่นไป ไม่เช่นนั้นคงถูกตี้จวินพบตัวแน่! ตี้จวินก็ยังคงเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอยู่ดี อีกทั้งความรู้สึกยังไวยิ่งนัก แค่เขาตีกับคนในปกครองของตี้จวินหน่อยเดียวตี้จวินก็ตามมาดูแล้ว ซ้ำยังตามรอยได้แม่นยำยิ่ง ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นในโลกมนุษย์คือร่างเคราะห์ของเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้แน่นอน!
เป็นเพราะมันคนเดียวถึงทำให้แผนการของเขาที่วางเอาไว้ล้มเหลว เขาจะต้องฆ่ามันให้ได้! ฮึ่ม!
งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังออกจากงานเลี้ยงแล้ว ตี้จวินก็ฉีกช่องว่างพาทุกคนกลับตำหนักไป๋หยุน ผู้คนก็จดจำเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นเพิ่มเข้าไปในรายชื่อบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินของแดนเทพ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากล่วงเกินคนของตี้จวินแน่
เวลาผ่านไปอีก 1 เดือน สำนักโอสถก็จัดงานประลองหลอมโอสถประจำปี ตี้โฮ่วจึงต้องปลอมตัวเป็นผู้อาวุโสสิบแปดอีกครั้งแล้วพาคนของเธอไปสำนักโอสถเพื่อดูการประลองหลอมโอสถ แน่นอนว่าเธอย่อมอยากให้เฉินมู่อิ๋งเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ด้วย ราชาเฟิ่งที่ตามลูกชายมาก็นั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายอย่างไม่ยอมห่าง ส่วนราชามังกรก็ยังคงพยายามสานสัมพันธ์กับเจ้าลูกชังของเขาอย่างสุดความสามารถ หากเขารู้ว่ามันจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ในอดีตเขาคงไม่ปล่อยปละละเลยมันหรอก คงจะประคบประหงมจนแทบจะอมไว้ในปากกระมัง หลงจิ่งเทียนก็ยังคงคุยกับท่านพ่อแบบถามคำตอบคำเหมือนเช่นเคย จะให้เขาลืมอดีตที่ขมขื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไร หึ!
ตี้จวินไม่ได้มาด้วย เพราะเขาขี้เกียจปลอมตัวเป็นสตรีรร่างสูงฮูหยินของผู้อาวุโสสิบแปด อีกทั้งสำนักโอสถก็แทบจะกลายเป็นสถานที่ที่ฮูหยินของเขาแทบจะกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จแล้วเพราะผู้อาวุโสทั้งหลายเกือบครึ่งล้วนเป็นคนของนาง อีกทั้งเจ้าสำนักโอสถหรือจะกล้าสร้างความลำบากใจให้ตี้โฮ่ว แน่นอนว่าเจ้าสำนักโอสถย่อมมิกล้า
เฉินมู่อิ๋งที่สวมคราบใบหน้าปลอมแปลงเอาไว้ก็เข้าร่วมการประลองในฐานะศิษย์ขั้นต้น เขาไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขาเป็นศิษย์ผู้อาวุโสสิบแปด อีกทั้งเขาก็ยังไม่รู้จักใครมากนัก ดังนั้นการที่เขาหายไปหลายเดือนจึงไม่มีใครสนใจ ตี้โฮ่วหลินจื่อเซียนในคราบผู้อาวุโสสิบแปดก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้รวมกับพวกพ้องของตัวเอง เจ้าสำนักโอสถเห็นตี้โฮ่วในคราบผู้อาวุโสสิบแปดก็รีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ ทันที “เจ้าหายไปเสียนานเชียว”
“ท่านเจ้าสำนัก” ตี้โฮ่วทักทายพลางยิ้มให้ เจ้าสำนักโอสถก็ชวนคุยไปเรื่อย ตี้โฮ่วก็คุยกับเจ้าสำนักอย่างเป็นกันเอง
อู๋เจียงสง (吴江雄) เดินไปยืนบนลานพลางประกาศว่า “เอาล่ะ การประลองเริ่มได้”
สิ้นเสียงประกาศ ผู้เข้าประลองก็ลงมือหลอมโอสถทันที หลายๆ คนมีสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือยิ่ง เพราะหวังจะเป็นผู้ชนะในการประลอง เฉินมู่อิ๋งสีหน้าเฉยชา เขาเอาสมุนไพรออกมาวางแล้วลงมือหลอมโอสถ ผู้คนที่ชมดูก็กวาดตามองเหล่าศิษย์ที่กำลังหลอมโอสถ
“หือ?” เจ้าสำนักโอสถมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหลอมโอสถโดยไม่มีหม้อหลอม เขาพึมพำกับตัวเอง “เด็กคนนั้น”
ตี้โฮ่วเห็นเจ้าสำนักมองเฉินมู่อิ๋งก็ไม่พูดอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ มองดูเฉินมู่อิ๋งหลอมโอสถ
อาจารย์ในสำนักหลายๆ คนก็มองเด็กเฉินมู่อิ๋งที่หลอมโอสถโดยไม่ใช้หม้อหลอม ความสามารถเช่นนี้นับว่ามีพรสวรรค์ยิ่ง ทำให้พวกเขาเกิดความคิดอยากจะรับเจ้าหนูนี่เป็นศิษย์ขึ้นมา ตอนเปิดรับศิษย์เข้าสำนักในตอนนั้นพวกเขาเห็นเด็กนั่นคุยกับผู้อาวุโสสิบแปดทำให้พวกเขาลืมเรื่องที่จะรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์ไปชั่วคราว อีกทั้งช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ไม่เจอเด็กคนนี้เลย ทำให้พวกเขาลืมเด็กคนนี้ไปแล้ว
จิงจ้านที่สืบข่าวเด็กเซียนเฉินมู่อิ๋ง เขาอยู่ในหมู่ผู้คนนอกสำนักที่มาดูการประลองหลอมโอสถ เขามองไปเห็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกับเด็กเฉินมู่อิ๋งที่เขาตามหาตัวอยู่ก็ตกตะลึงในใจ “เป็นมัน!”
เขาจ้องมองเด็กคนนั้นเขม็ง มองอย่างไรก็ใช่เด็กเซียนเฉินมู่อิ๋งจริงๆ เขาตามหาตัวมันมาตั้งนาน บทจะเจอก็เจอง่ายๆ อย่างนี้เลยรึ!
ส่วนองค์ราชาของเขานั้นได้ข่าวว่าเจอเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้นแล้ว องค์ราชาจึงได้เฝ้าอยู่แถวตำหนักไป๋หยุนเพื่อหาทางฆ่าเจ้าเด็กนั่นให้ได้ เท่าที่องค์ราชาบอก ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กมนุษย์นั่นจะเป็นร่างเคราะห์ของเทพบริวารคนหนึ่งของตี้จวิน ในเมื่อมันเป็นเทพบริวารของตี้จวินเช่นนั้นการจะฆ่ามันก็คงไม่ง่ายนัก จะฆ่าตรงๆ ทำแบบเปิดเผยไม่ได้ ทำได้เพียงลอบฆ่าอย่างลับๆ ไม่ให้ตี้จวินรู้ เพราะหากตี้จวินรู้เข้าตี้จวินคงแก้แค้นให้ลูกน้องของเขาแน่นอน เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งนั่นช่างเป็น ‘ผีเล็กผีน้อย*’ ที่มีนายคุ้มหัวจริงๆ!!!
(ผีเล็กผีน้อย หมายถึงคนที่มีเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่คุ้มหัว ทำให้คนอื่นไม่กล้าทำร้ายเพราะกลัวว่าเจ้านายของคนๆ นั้นจะตามมาล้างแค้นให้ลูกน้องตัวเอง)
ส่วนเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องหาทางจับมันไปให้องค์ราชาให้ได้!
เฉินมู่อิ๋งที่กำลังจดจ่อกับการหลอมโอสถจึงไม่รู้สึกถึงความอาฆาตมาดร้ายที่พุ่งมาที่เขา อีกทั้งจิงจ้านก็รีบซ่อนความรู้สึกอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ได้ทัน เขาอยู่ท่ามกลางเหล่าเทพ ไม่อาจประมาทได้เลย เขามองมันซ่อนความอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ มองดูมันอย่างหาโอกาสจับตัวมัน!
การหลอมโอสถ สำหรับคนนอกแล้วดูเหมือนน่าเบื่อ แต่สำหรับคนในสำนักแล้ว พวกเขาเฝ้ามองอย่างตื่นเต้นเพราะคนที่เข้าร่วมประลองล้วนเป็นคนมีฝีมือของสำนักทั้งนั้น อาจจะมีศิษย์บางคนที่ฝีมือไม่ถึงแต่อยากลองเข้าร่วมประลองด้วยทางสำนักก็ไม่มีกฎห้าม ดังนั้นบนลานประลองจึงมีศิษย์บางคนที่หลอมโอสถล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น กลิ่นสมุนไพรไหม้โชยชายออกมา ตามด้วยเสียงร้อง “ไอหยา! โอสถข้า!”
ผู้คนมองดูศิษย์ที่หลอมโอสถล้มเหลวแล้วก็ละสายตาไปทันทีอย่างไม่ให้ค่าอะไร ศิษย์ที่หลอมโอสถล้มเหลวก็เก็บข้าวของแล้วเดินออกไปอย่างคอตก เมื่อมีคนหนึ่งล้มเหลวก็มีคนต่อๆ ไปล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับทำหม้อหลอมระเบิดก็มี ตู้ม!
“ไอหยา!” ศิษย์คนนั้นถอยหลบได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เพียงแต่ถูกควันรมเสียจนหน้าเปื้อนเขม่าดำไปทั้งหน้า หลังจากเหตุการณ์สงบดีแล้วเขาก็เก็บของออกไปจากลานประลองอย่างคอตกยิ่ง
เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง หลายๆ คนหลอมโอสถเสร็จแล้วก็ออกจากลานไป ทิ้งโอสถไว้ในจานรอการตรวจสอบจากผู้อาวุโสทั้งหลาย
เฉินมู่อิ๋งซึ่งกำลังหลอมโอสถอยู่ก็ไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย เขากำลังเข้าสู่การตระหนักรู้ชนิดหนึ่ง สมุนไพรทั้งหมดกำลังบีบอัดเป็นเม็ดกลมๆ เปล่งประกายสีทองสว่างจ้าออกมา แสงสีทองนี้ทำให้อาจารย์หลายๆ คนมองไปถึงกับตกตะลึง “นั่น!”
พวกศิษย์เห็นอาจารย์ตกตะลึงก็มองตาม “หือ?”
“โอ ดูท่าจะมีอัจฉริยะอีกคนแล้วกระมัง” เจ้าสำนักโอสถพูดขึ้นมา มองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างชื่นชม ตี้โฮ่วยิ้มบางๆ หากว่าเฉินมู่อิ๋งหลอมโอสถเม็ดนี้สำเร็จก็จะบรรลุระดับโอสถสวรรค์แล้ว เด็กคนนี้หัวไวดีจริงๆ เธอสอนแค่ไม่เท่าไหร่ก็บรรลุระดับจากโอสถเซียนเข้าสู่ระดับปฐพีใน 1 เดือน เดือนถัดมาก็บรรลุจากระดับปฐพีเข้าสู่ระดับนภาแล้ว นี่ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็จะบรรลุเข้าสู่ระดับสวรรค์แล้วรึ! เก่งจริงๆ ดีๆๆ
เม็ดโอสถรวมตัวอัดแน่นเป็นเม็ดกลมๆ เปล่งแสงสีทองสว่างเรืองรอง เฉินมู่อิ๋งก็สะบัดมือทีหนึ่ง เม็ดโอสถก็ลอยลงไปในจาน พวกอาจารย์มองโอสถเม็ดนั้นอย่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า “เป็นโอสถระดับสวรรค์!”
“หา!” พวกศิษย์ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง มองโอสถเม็ดนั้นที่เปล่งแสงสีทองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นโอสถระดับสวรรค์ แต่ที่ไม่อยากเชื่อก็คือเด็กคนนั้นเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่นานไม่ใช่หรือ? ไม่ทันไรก็หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้แล้วรึ!? ความสามารถเช่นนี้ช่างทำให้พวกศิษย์หน้าเก่าทั้งหลายรู้สึกละอายใจยิ่ง พวกเขาอยู่มานานแล้วบางคนจากโอสถระดับมนุษย์ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย บางคนจากโอสถระดับปฐพีก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นระดับนภาได้เลย
“โอ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ดียิ่ง ข้าอยากรับเขาเป็นศิษย์” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยออกมา ตี้โฮ่วหันไปมองผู้อาวุโสท่านนั้นแล้วบอกว่า “เขาเป็นศิษย์ข้า”
“หา!” ผู้อาวุโสท่านนั้นตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาคิดในใจว่า ผู้อาวุโสสิบแปดรับเด็กคนนั้นเป็นศิษย์ตั้งแต่ตอนไหน? แล้วพวกเขาก็ย้อนคิดไปถึงตอนที่เปิดรับศิษย์เมื่อหลายเดือนก่อน จำได้ว่าผู้อาวุโสสิบแปดคุยกับเด็กคนนั้นครู่หนึ่งนี่นา!