Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1232

ตอนที่ 1232 น้ำวนมรณะหยิน

น้ำวนมรณะหยินอยู่ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่มันแยกกับโลกนี้ อย่างสมบูรณ์ ต่อให้เป็นตอนที่ดวงจิตดาราสัจธรรมแกร่งที่สุดก็ยังรบกวน น้ำวนมรณะหยินได้ไม่มากนัก

พูดได้ว่าที่นี่ต่างกับโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง ผู้ฝึกฌานเข้าไปได้ เพียงแต่คนที่เข้าไปส่วนใหญ่จะถูกจำกัดพลัง นอกจากนี้แล้วยังมีอันตรายประหลาดอื่นๆ อีกเล็กน้อย

ทว่าหากสิ่งมีชีวิตในน้ำวนมรณะหยินจะออกมาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ไม่รู้กี่ปีมานี้ มีน้อยมาก จุดนี้ดูจากความลำบากจากอดีตของซูหมิงก็รู้ถึงระดับความยากแล้ว

อีกทั้งเพราะน้ำวนมรณะหยินในอดีตเคยอยู่ในพื้นที่ของเผ่าเซียน ดังนั้นคนที่เข้าใจที่นี่มากที่สุดคือทุกสำนักของเผ่าเซียน ประกอบกับเทพหมานรุ่นหนึ่งที่ออกมาจากแดนมรณะหยินตอนนั้นก็มีอำนาจมาก กดขี่เผ่าเซียน ทุกอย่างนี้กลายเป็นม่าน บดบังแดนมรณะหยินให้ลึกลับยิ่งกว่าเดิม

เทพหมานรุ่นหนึ่งในตอนนั้นใช้พลังใดและใช้วิธีใดถึงทำแบบนี้ได้ เรื่องนี้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว…

ซูหมิงอยู่กลางฟ้าพลางมองน้ำวนมรณะหยินตรงหน้า ขณะเงียบอยู่นี้เขาไม่ได้สนใจเสียงร้องด้วยความตื่นเต้นของกระเรียนขนร่วง แต่มีสีหน้าซับซ้อน และหวนคะนึงคิดเล็กน้อย

แดนมรณะหยิน แผ่นดินใหญ่เผ่าหมาน ที่นั่นยังมีคนที่เขาคุ้นเคยในอดีตอยู่จำนวนหนึ่ง ฟางชางหลัน เผ่าเชมัน เหลยเฉินที่ยังหาร่องรอยไม่พบ และยังมีคนที่รู้จักเหล่านั้นในอดีต ตอนนี้ผ่านมาพันปี ไม่รู้ว่าสิ่งแวดล้อมยังเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไปหรือไม่ หรืออาจจะเปลี่ยนทั้งสองอย่างหรือไม่…

ซูหมิงส่ายศีรษะเงียบๆ เขาออกจากแดนมรณะหยินมานานมาก นานจนความทรงจำเลือนรางเล็กน้อย แต่ยามนี้เมื่อเพ่งมองน้ำวนมรณะหยิน ความเลือนรางก็ค่อยๆ โผล่มาในความคิด

นอกน้ำวนมรณะหยินยังมีร่องรอยของวงแหวนอาคม เห็นได้ชัดว่าเป็นยอดวงแหวนอาคมผนึกเงามืดที่ผู้ฝึกฌานเผ่าเซียนในตอนนั้นทุ่มเทแรงกายและใจไปมาก เพื่อสร้างขึ้น

หู่จื่อคือจิตวิญญาณของวงแหวนอาคมนี้ อีกทั้งยังออกมาอย่างสมบูรณ์เหมือนกับเกิดใหม่ ดังนั้นตอนนี้ด้วยพายุหมุนที่เกิดจากช่องโหว่สามรกร้าง แม้จะทำลาย วงแหวนอาคมนี้จนเหลือเพียงเศษซาก แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อหู่จื่อ

ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาเดินหน้าไปหนึ่งก้าว กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยัง น้ำวนมรณะหยิน

แยกจากกันพันกว่าปี ตอนนี้…ถึงเวลากลับมาแล้ว

ร่างเงาซูหมิงหลอมรวมเข้าไปในน้ำวนมรณะหยินในพริบตา กระเรียนขนร่วงตามเข้าไปติดๆ ส่วนชายชราวิญญาณสวรรค์ย่อมมีวิธีตามเข้าไป ซูหมิงเลยไม่ต้องสนใจมากนัก

ชั่วพริบตาที่เข้าไปในน้ำวนมรณะหยิน กลิ่นอายมรณะมหาศาลพลันหลั่งไหลมาจากในน้ำวนพร้อมเสียงดังสนั่น เพราะกลิ่นอายมรณะเข้มข้นเกินไปจึงกลายเป็นหมอกวนเวียนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ความข้นของกลิ่นอายมรณะนี้มากพอจะทำให้ร่างกายของคนเป็นทุกคนเสื่อมสภาพลงกลายเป็นคนตาย

แต่สำหรับซูหมิงแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกไม่คุ้นชินเท่านั้น แต่ยังเกิดความรู้สึกคุ้นเคย เพราะเขาในตอนนั้น…หลอมรวมอยู่กลางกลิ่นอายมรณะเข้มข้นอย่างสมบูรณ์แบบ หลอมรวมเข้ามาอยู่ในแดนมรณะหยินจนถึงขั้นไม่สังเกตเห็นกลิ่นอายมรณะ ประหนึ่งน้ำแข็งก้อนหนึ่งตกลงกลางน้ำ จึงแยกไม่ออกระหว่างน้ำกับมัน

นั่นคือการเสื่อมสภาพตอนเผชิญหน้ากับแสงสว่างหยาง ตอนนั้นที่เขาจะออกจากที่นี่ก็ถูกกัดกร่อนอย่างหนัก เพราะเขาในตอนนั้นคือส่วนหนึ่งของกลิ่นอายมรณะ

“น้ำวนมรณะหยินเป็นเหมือนกับกระจกด้านหนึ่ง นอกกระจกคือดาราสัจธรรม คือ สามรกร้าง แต่ในกระจก…คือแดนมรณะหยิน” ซูหมิงพูดพึมพำ เขาเดินหน้ากลางน้ำวนอย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายมรณะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดปกคลุมตัวเขาทั้งหมด ทำให้กลิ่นอายพลังเขาถูกเปลี่ยนอย่างเร็วไว

ซูหมิงปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไป เขาเป็นบรรพชนวิญญาณ มีร่างแยก โลกแท้จริง และยังออกมาจากน้ำวนมรณะหยิน ดังนั้นจึงไม่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ปล่อยให้ร่างกายกับกลิ่นอายพลังหลอมรวมกับกลิ่นอายมรณะทีละน้อย จากนั้นความรู้สึกตัวเบาโผล่ขึ้นมาในทันใด

ความรู้สึกนี้เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาเหมือนหาความรู้สึกตอนอยู่แดนมรณะหยินพบ น้ำวนหมุนวนไม่หยุด ยาวเหยียดไปลึกขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับต่อให้ตกลงไปอีกไม่รู้กี่ปีก็ยากจะเข้าไปถึงส่วนลึกของน้ำวนมรณะหยิน

ซูหมิงห้อเหยียดอยู่กลางน้ำวนเงียบๆ ราวกับว่าในนี้มีแรงดูดทำให้เขาไม่ต้องใช้แรงอะไรก็ห้อเหยียดไปได้เอง มุ่งหน้าไปยังโลกของเผ่าหมานกลางมิติจำนวนมากในน้ำวนอย่างเร็วไว

ภายใต้การหมุนวนของน้ำวน รอบตัวเขามีรอยแยกมิติตัดสลับกันทีละสาย ทุกรอยแยกกลางน้ำวนคือหนึ่งโลก เมื่อน้ำวนหมุนโคจร รอยแยกทางเข้ามิติก็มากขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นคนอื่น บางทีคงยากจะหาแผ่นดินเผ่าหมานพบจากในมิติหลายหมื่นไปจนถึงหลักแสนได้อย่างแม่นยำ

แต่เพราะตอนนั้นดวงจิตซูหมิงเคยออกจากแดนมรณะหยินสองครั้ง จากประสบการณ์ที่พุ่งออกจากน้ำวนตอนนั้นเลยทำให้เขาจำตำแหน่งของแผ่นดิน เผ่าหมานได้อย่างแม่นยำ ตอนนี้จึงเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ตามความทรงจำ

กลิ่นอายพลังในตัวเขามีมากกว่าครึ่งกลายเป็นกลิ่นอายมรณะ ส่วนที่เหลือก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าอีกไม่นานก็จะกลายเป็นร่างมรณะหยินทั้งหมด

แต่ขณะที่เขาห้อทะยานในน้ำวน ทันใดนั้นเองปรากฏร่างเงาหนึ่งออกมาจากในปากรอยแยกมิติแห่งหนึ่งข้างล่าง ร่างเงานี้ดูเหมือนคน แต่กลับมีสองหัวซ้ายขวา สองหัวนั้นปรากฏขึ้นแล้วคำรามพร้อมกัน

จากนั้นร่างเงานั่งยองลงข้างปากทางเข้า ดวงตาสี่ดวงเป็นประกายสีแดงจ้อง ซูหมิงตาเขม็ง

จังหวะที่ซูหมิงผ่านมัน ร่างเงาสองหัวคำรามเสียงต่ำ มันพลันพุ่งออกมา แต่ทันใดนั้นเองมันเหมือนชนเข้ากับปราการไร้รูปจนถูกดีดออกไป ซ้ำยังร้องโหยหวน

ซูหมิงลดระดับตัวลงมาและหยุดนิ่ง ลอยอยู่ในน้ำวนมหึมาที่ยังหมุนโคจร สายตามองตัวประหลาดสองหัวที่ถูกปราการไร้รูปสะท้อนกลับไปอย่างเย็นชา

“แดนมรณะหยิน เข้าได้…ออกไม่ได้” ซูหมิงพูดเบาๆ ยามที่กวาดสายตามอง ร่างเงานั้น ดวงตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย เพราะสายตาเขาไม่ได้แค่มองตัวประหลาดนั้น แต่ยังเห็นฟ้าดินเลือนรางในมิติที่ตัวประหลาดนั้นอยู่

นั่นคือฟ้าสีเหลือง แผ่นดินสีดำ บนแผ่นดินใหญ่มีคนสองหัวแบบเดียวกันอยู่ราวแสนกว่าคน พวกเขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าอยู่ตรงนั้น ในตัวพวกเขาส่วนใหญ่ถูกโซ่สีดำจำนวนมากพันเอาไว้ เสียงคำรามแหลมอย่างยิ่ง

ซูหมิงกวาดสายตามองไป ก่อนขยับวูบไหวไม่สนใจทุกอย่างในโลกนี้อีก แต่ไปตามน้ำวนมรณะหยินมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกต่อ ในความทรงจำเขา มิติของเผ่าหมานอยู่ไม่ไกลแล้ว

สิบลมหายใจต่อมา ซูหมิงออกจากจากมิติของคนสองหัวก่อนหน้านี้ แต่ลมหายใจที่สิบหลังออกมากลับเกิดหมอกม้วนตลบในน้ำวนมรณะหยินนอกมิติของคนสองหัว จากนั้นมีหัวมังกรดุร้ายยักษ์มุดออกมาจากหมอก มันพ่นลมหายใจผ่านจมูกอย่างรุนแรง ดวงตาสีแดงเหมือนไม่มีประกายวาวกำลังจ้องตรงจุดที่ซูหมิงไปตาเขม็ง

ส่วนใหญ่ของหัวมังกรนี้เน่าเปื่อยแล้ว ส่งกลิ่นอายมรณะเข้มข้น ตอนนี้มันเคลื่อนไหวเป็นดั่งสายฟ้าสีดำพุ่งลงไปข้างล่างในพริบตา

เวลาผ่านไปอีกราวครึ่งก้านธูป ซูหมิงหยุดนิ่งอยู่กลางน้ำวนมรณะหยินที่เหมือนไม่มีสุดปลายอีกครั้ง จากนั้นมองไปทางขวาซึ่งมีรอยแยกของน้ำวนอยู่

กลางรอยแยกนั้นแผ่กลิ่นอายเบาบาง แต่มันกลับทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงเผ่าหมาน ที่นั่น…คือทางออกจากโลกเผ่าหมานในความทรงจำเขา

หากเป็นก่อนที่จะเกิดพายุหมุน ตอนที่วงแหวนอาคมนอกแดนมรณะหยินยังอยู่ การจะเข้าเผ่าหมานไม่จำเป็นต้องตามหาแบบนี้ก็สามารถใช้วงแหวนอาคมนั้นส่งคนไปเยือนเผ่าหมานได้เลย

เพราะวงแหวนอาคมนั้นเชื่อมกับเผ่าหมานในด้านความหมายบางอย่าง แต่ยามนี้วงแหวนอาคมเป็นเศษซากไปแล้วเลยต้องตามหาแบบนี้

ซูหมิงมองรอยแยกทางเข้าโลกหมาน กลิ่นอายมรณะเหนือตัวเขาขยับยึกยืออย่างเงียบเชียบ เป็นตอนนี้เองเขายกมือขวาขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ชี้ไปยังน้ำวนมรณะหยินที่อบอวลอยู่ข้างบนจำนวนมาก เพียงชี้ไปพลันเกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องปานฟ้าผ่า กลิ่นอายมรณะม้วนถอยไป เผยเป็นหัวมังกรเน่าเปื่อยที่กำลังเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ

ตอนนี้หัวมังกรห่างจากเขาเพียงร้อยจั้ง เมื่อกลิ่นอายมรณะเปิดออกจึงเผยหัวมังกร และยังเผยร่างเกือบครึ่งที่เป็นกระดูกสีขาวน่ากลัวข้างหลัง

แม้ดวงตาหัวมังกรจะไร้ประกายวาว แต่กลับมีความดุร้ายวูบผ่าน มันคำราม เสียงต่ำใส่ซูหมิง ขณะกำลังจะพุ่งเข้ามานั้น ซูหมิงเงยหน้าขึ้นด้วยใบหน้ำเย็นชา กวาดสายตาดุงดั่งสายฟ้ามองหัวมังกร

“ไสหัวไป!”

สิ้นเสียงร่างหัวมังกรสั่นสะท้าน หัวที่จะพุ่งเข้ามาหยุดนิ่งห่างจากซูหมิงสามสิบกว่าจั้ง นัยน์ตามันฉายแววหวาดกลัวอย่างพบเห็นได้ยากยิ่ง คำเดียวของซูหมิง ในความรู้สึกมันเหมือนว่าวิญญาณผ่านมรสุมรุนแรง คล้ายว่าหากอีกฝ่ายจะสังหารมัน อยู่แค่ระหว่างหนึ่งความคิดเท่านั้น

กระทั่งร่างมันยังสั่นไหว แรงกดดันจากคำพูดซูหมิง ประกายเย็นชาจากแววตาทำให้มันตัวสั่นด้วยความกลัวและยังเกิดความรู้สึกไม่อาจต่อต้าน

ประหนึ่งว่าตอนนี้ซูหมิงที่ร่างกายเล็กกว่ามันมาก แท้จริงแล้วเป็นบรรพชนแห่งยุคโบราณที่บดขยี้มันได้อย่างง่ายดาย ดวงจิตนั้น แรงกดดันนั้น ไม่อาจหยายคายใส่ได้เลย ทำให้มันนึกถึงความรู้สึกตอนที่ตนขึ้นไปอยู่ข้างบนสุดของน้ำวน ตอนที่มองดาราสัจธรรมข้างนอกตรงขอบที่ใกล้กับโลกภายนอกมากที่สุด ตอนนั้นมันรู้สึกว่าตนอ่อนแอเป็นดั่งมดปลวก

มันร้องโหยหวนพร้อมกับตัวสั่น ร่างถอยไปช้าๆ ความหวาดกลัวในแววตาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายเข้าไปในกลิ่นอายมรณะอีกครั้ง จนร่างเงาซูหมิงในสายตามันถูกหมอกปกคลุม มันถึงขยับตัวออกจากไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

ตลอดที่เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดในน้ำวนมรณะหยิน ชีวิตนี้มันเคยเจอผู้แข็งแกร่งมามากมาย แต่…ซูหมิงที่พบในวันนี้กลับเป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่เจอมาทั้งชีวิต ถึงขนาดที่ทำให้มันที่เดิมทีตายไปแล้วรู้สึกถึงความตายมาเยือนอีกครั้งได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!