Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1291

ตอนที่ 1291 แกร่งที่สุดในยุคนี้

อย่างเช่นฉางเหอ อย่างเช่นบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง อย่างเช่นผู้ฝึกฌานแสนคนนั้นในทะเลดาราต้นกำเนิดจิต และยังมีอีกมาก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาในอดีตของ ซูหมิง เขาไม่ได้ลืม แต่จะทำให้เสร็จทีละสัญญา

อย่างเช่นฉางเหอกับบรรพบุรุษหุ่นเชิดเพลิง ก่อนหน้านี้ตอนที่ซูหมิงเห็นยอดเขาลำดับเก้าก็สังเกตเห็นสองคนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าเข้ายอดเขาลำดับเก้าตั้งแต่เมื่อไร เพียงแต่ว่ามีน้อยคนมากที่จะรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับซูหมิง

“เหลือแค่ห้าร้อยปีรึ…” ศิษย์พี่รองเงียบแล้วพลันหัวเราะเสียงดัง รอยยิ้มเขายังคงอบอุ่นดั่งในอดีต แต่ในความอบอุ่นตอนนี้กลับแฝงไว้ด้วยความเหี้ยมโหดและไม่ยอม

“ในเมื่อเหลือแค่ห้าร้อยปี ไม่ว่าศิษย์น้องเล็กจะสำเร็จหรือไม่ บางทีห้าร้อยปีนี้ พวกเราอาจจะได้ต่อสู้กับโลกภายนอกได้อย่างงดงามมากขึ้น” ศิษย์พี่รองหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมด หลังวางลงแล้วก็เงยหน้าหัวราะขึ้นฟ้า

หู่จื่อยกไหสุราอีกไหขึ้นเงียบๆ เมื่อดื่มไปอึกใหญ่ก็โยนลงเขาไป สีหน้าดูจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ย่าเจ้าเถอะ ห้าร้อยปีก็พอแล้ว ห้าร้อยปีนี้ หู่จื่อสาบานว่าจะหาภรรยาให้ได้!”

คำพูดหู่จื่อดังก้อง ขณะในใจศิษย์พี่รองกำลังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้ แต่พอได้ยินคำพูดหู่จื่อแล้วพลันอึ้งไป ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ลดหายไปมากกว่าครึ่ง เปลี่ยนเป็นยิ้มเฝื่อนแทน

หนึ่งคืนผ่านไป คืนนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องยอดเขาลำดับเก้ามารวมตัวกันอย่าง หาได้ยาก คืนนี้พวกเขาดื่มไปเยอะมาก พวกเขาพูดถึงอดีต พูดถึงอาจารย์ พูดถึง เผ่าหมานในอดีต

ฟางชางหลันอยู่ข้างกายซูหมิงตลอด ยิ้มมองทุกอย่าง บ้างครั้งก็ส่งสุราให้ซูหมิง เหมือนว่านี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตนาง

ส่วนสวี่ฮุ่ย แม้คืนนี้จะอยู่ข้างกายซูหมิงเช่นกัน แต่กลับเงียบมาตลอด เหมือนว่า มีม่านบางอย่างเพิ่มมาระหว่างนางกับซูหมิง มีระยะห่างเพิ่มมาเล็กน้อย

โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินซูหมิงบอกว่ามีเวลาอีกห้าร้อยปีภัยพิบัติก็จะมาเยือน นางดูเหม่อลอยไปครู่หนึ่งอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

ซูหมิงไม่ได้ถาม บางเรื่อง บางอารมณ์ความรู้สึกก็ต้องการทดสอบ ซูหมิงไม่คิดว่าตนเป็นคู่ชีวิตที่ดีได้ เพราะเรื่องราวที่กดดันในใจเขาหนักเกินไป หนักจนเหมือนจะรับอย่างอื่นไม่ไหว

ฟางชางหลันเดินเข้าไปในใจซูหมิง ใช้ความยึดมั่นและรอคอยพันปีมาทำให้ซูหมิง สงสาร ให้ซูหมิงไม่มีเหตุผลให้จากไปไกลอีก

ในเมื่อเลือกแล้วก็เป็นตลอดชีวิต ไม่ว่าเป็นหรือตาย

นี่คือความยึดมั่นของซูหมิง ต่อสหายก็ดี ต่อคนรักก็ดี ล้วนเป็นเช่นนี้

คืนนี้เขามีความสุขมาก หู่จื่อก็เช่นกัน เขาเอะอะพูดว่าจะหาภรรยาสักคนไม่หยุด กล่าวโทษว่าศิษย์พี่รองเจ้าชู้เกินไปไม่หยุด ข้างกายมีหญิงนับไม่ถ้วน พูดความในใจเขาออกมาว่า เขา…อิจฉา ทั้งชื่นชมและอิจฉามาก

แต่หู่จื่อไม่รู้ว่าความเจ้าชู้ของศิษย์พี่รองซ่อนความเจ็บปวดและเสียใจไว้ในก้นบึ้งหัวใจที่เหลือมาจากความยึดมั่นเพียงครั้งเดียวและการสะเทือนอารมณ์รักเพียงครั้งเดียวตอนอยู่เผ่าหมาน

การไปมาหาสู่ตอนนั้นอยู่ในสายตาซูหมิง เขาเห็นแทบทั้งหมด

ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ชอบพูด คืนนี้ก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่ดื่มสุรา แต่ในตัวเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่นระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง เป็นความอบอุ่นที่เขาผู้หนาวเยือกไม่มีต่อคนอื่น

สามคนตรงหน้าเขาคือ ศิษย์น้องของเขา เขายอมจ่ายชีวิตเพื่อปกป้องทุกคนได้ ชีวิตนี้เขาไม่ต้องการสตรี บางทีอาจไม่มีสตรีคนใดยอมรับเขาที่ไม่มีหัวได้

ศิษย์พี่ใหญ่คิดอยู่เสมอว่าตลอดชีวิตนี้มีศิษย์น้องสามคนก็พอแล้ว!

ในยามรุ่งอรุณ เมื่อแสงตะวันแรกปรากฏขึ้นในมิติยอดเขาลำดับเก้า ศิษย์พี่ใหญ่จากไป เขาฝึกฝนต่อ ในเมื่อเหลือเวลาห้าร้อยปี เช่นนั้นเขาจะต้องแกร่งขึ้นใน ห้าร้อยปีนี้

หู่จื่อพาผู้ฝึกฌานยอดเขาลำดับเก้าจำนวนมากกับเผ่าชะตาชีวิตเผ่าหมาน รวมหมื่นคนออกไปข้างนอก ลาดตระเวนไปรอบๆ หากมีผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเหลือรอดก็จะสังหารทันที

ส่วนศิษย์พี่รอง เขามีเรื่องต้องทำมากกว่า ทุกเรื่องของยอดเขาลำดับเก้าอยู่ในการจัดการของเขา โดยเฉพาะหลังรู้ว่ามีเวลาห้าร้อยปี ในความคิดเขาลอยขึ้นมาเป็นแผนการที่ต้องเตรียมตัวมากมาย

ภูเขาแห่งยอดเขาลำดับเก้าเหลือเพียงซูหมิง เขานั่งอยู่ตรงนั้น มองฟ้าคราม ฟางชางหลันอยู่ข้างๆ มองซูหมิงด้วยสีหน้าเฉยเมย แล้วก็มองสวี่ฮุ่ย จากนั้นก้มหน้าลง หมุนตัวจากไป ด้วยความฉลาดของนางจึงมองออกว่าระหว่างหญิงคนนี้กับซูหมิง มีม่านที่ไม่ชัดเจนขวางอยู่เล็กน้อย

สายลมภูเขาพัดมา พัดเส้นผมสวี่ฮุ่ยปลิวไสว นางนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ผ่านไป พักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา

“เจ้าไม่ถามรึว่าข้าจัดการกับเต๋อซุ่นอย่างไร?” สวี่ฮุ่ยกัดริมฝีปากล่างพลางมองซูหมิง

ซูหมิงเงียบ เขาวางไหสุราลงแล้วส่ายหน้า

“เมื่อใดที่เจ้าอยากพูด ข้าไม่ถามเจ้าก็จะพูดเอง เมื่อใดที่เจ้าไม่อยากพูด ข้าถาม เจ้าก็บอกยาก”

“ข้าไม่ได้สังหารเขา” สวี่ฮุ่ยเงียบ ครู่ต่อมาถึงพูดเบาๆ

“ข้ารู้” ซูหมิงจะไม่รู้ได้อย่างไร ทุกเรื่องในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เว้นแต่เขา ไม่อยากรู้ มิเช่นนั้นเขาจะรู้ทุกอย่าง

เต๋อซุ่นในตอนนี้กำลังอยู่บนดาวผุพังดวงหนึ่งตรงชายแดนโลกแท้จริงดาราสัจธรรมใกล้กับโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลก กำลังมองฟ้าด้วยสีหน้าซับซ้อนแฝงไว้ด้วยความแค้น ภาพนี้ ซูหมิงแค่ใช้ดวงจิตและความคิดก็เห็นชัดเจนแล้ว

“ข้า…” แววตาสวี่ฮุ่ยสับสน พอได้ยินคำพูดซูหมิงแล้วนางจึงจะอธิบายโดยจิตใต้สำนึก แต่คำพูดก็เงียบลงเมื่อซูหมิงยกมือขึ้นสัมผัสเส้นผมนาง

“ข้ารู้ ถึงอย่างไรเขาก็มีบุญคุณกับเจ้า อีกทั้งตอนนั้นความทรงจำเจ้าว่างเปล่า ข้าเข้าใจ” ซูหมิงตอบกลับอย่างสงบนิ่ง เขาลูบเส้นผมนางแล้วดึงเข้ามาในอ้อมกอด

สวี่ฮุ่ยที่ได้สัมผัสกับอ้อมอกซูหมิงร้องไห้ทันที ความสับสนในช่วงที่ผ่านมากับใบหน้าเต๋อซุ่นที่ลอยขึ้นในความคิดบางครั้งทำให้นางไม่รู้ว่าตนเป็นอะไรกันแน่

แต่ตอนนี้ นางในอ้อมกอดซูหมิง ทุกอย่างในความคิดเหมือนถูกเรียงใหม่ ความสับสนหายไป แต่แทนที่ด้วยความเหนื่อยล้าลึกๆ นางหลับไปแล้ว

ห้าร้อยปีจากนี้หากซูหมิงสำเร็จ บางทีทุกอย่างอาจจะงดงาม แต่หากล้มเหลว ทุกอย่างจะลิขิตไว้แล้วว่าต้องหายไปในมหันตภัย ในเมื่อเวลาเหลือเพียงห้าร้อยปี เช่นนั้นเหตุใดต้องให้เจ็บปวดกัน สู้…ลบความทรงจำนั้นไปเลยดีกว่า

วิธีนี้บ้าอำนาจเล็กน้อย แต่ความบ้าอำนาจนี้ซ่อนอยู่ในนิสัยซูหมิงแต่เดิมอยู่แล้ว

เวลาผ่านไปช้าๆ พริบตาเดียวก็สามเดือน ในสามเดือนนี้ ซูหมิงอยู่ยอดเขาลำดับเก้า อยู่กับฟางชางหลันและสวี่ฮุ่ย สามคนอยู่ในความสงบอย่างหาได้ยาก มองตะวันขึ้นลง ความอบอุ่นอลอวลทำให้หู่จื่ออิจฉา เขาจึงกวาดสายตามองผู้ฝึกฌานสตรีจำนวนมากบนยอดเขาลำดับเก้าราวกับแสดงอาการกำหนัด

สามเดือน นอกจากฟางชางหลันกับสวี่ฮุ่ยแล้ว ศิษย์พี่หลายคนยังมาดื่มสุราด้วยกันแทบทุกวัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ลืมความกลัดกลุ้มทุกอย่างชั่วคราว ซูหมิงใช้พลังกับดวงจิตมหาศาลชี้แนะการฝึกฝนของหู่จื่อ ชี้แนะการฝึกฝนของศิษย์พี่รอง อีกทั้งยังให้ศิษย์พี่ใหญ่เข้าใจบรรพชนวิญญาณมากขึ้น การหลอมรวมกับบรรพชนแห่งทะเลเต๋าจึงเร็วขึ้นมาก

การหลอมรวมนี้เป็นความสมัครใจของบรรพชนแห่งทะเลเต๋า ซูหมิงไม่ได้ถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างศิษย์พี่ใหญ่กับบรรพชนแห่งทะเลเต๋า เขารู้เพียงว่า ศิษย์พี่ใหญ่อยากแกร่งขึ้น เขาก็จะทำอย่างสุดความสามารถ

โลกข้างนอก สามเดือนมานี้ ผู้ฝึกฌานสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนกับเงามืดรุ่งอรุณลงมาเยือนอย่างต่อเนื่อง มากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ยอดเขาลำดับเก้ากลับเป็นแดนต้องห้ามของสองฝ่าย จึงไม่มีการรุกรานอีก ซ้ำที่นี่ยังกลายเป็นเขตต้องห้าม ห้ามผู้ฝึกฌาน เงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนทุกคนเข้ามา

หากผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนเข้าไปในพื้นที่ยอดเขาลำดับเก้า จะถูกลดพลังลงหกส่วนทันที นี่คือการเตือน

โลกแท้จริงดาราสัจธรรมยังคงมียอดเขาลำดับเก้าเป็นผู้ปกครอง กระทั่งต่อให้อยู่ข้างนอก หากเจอกับผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืน ส่วนใหญ่อีกฝ่ายจะเลือกถอยไปเงียบๆ

สงครามสามเดือนก่อนกำหนดฟ้าดินแล้ว

สามเดือนนี้ เทียบกับความสงบนิ่งของโลกแท้จริงดาราสัจธรรมแล้ว ในโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์เกิดสงครามดุเดือด สงครามนี้อนาถา วงแหวนอาคมของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์พังลงเป็นราคาต้องจ่าย แม้จะทำให้ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนบาดเจ็บบ้าง แต่สำหรับฝ่ายเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หวนคืนที่ขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุดแล้ว ความเสียหายแค่นี้ไม่เท่าไรเลย

เมื่อวงแหวนอาคมของโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์พังลง ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนก็บุกเข้าไปจำนวนมาก ทำให้โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์…เปลี่ยนเจ้าปกครอง

ในทางตรงข้ามที่โลกแท้จริงที่สี่ ภายใต้การต่อต้านอย่างต่อเนื่องตลอดสามเดือนมานี้ เกิดเป็นสภาพการณ์ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อกันขึ้น ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า โลกแท้จริงที่สี่จะปรากฏผู้แข็งแกร่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อนขึ้นอย่างกะทันหันเป็นบางครั้ง คอยควบคุมสถานการณ์รบในวงเล็ก แต่พอผู้แข็งแกร่งแบบนี้ปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ได้ควบคุมเป็นพื้นที่เล็กอีก แต่กลายเป็นทั้งสนามรบ

มีเพียงโลกแท้จริงจักรพรรดิยมโลกที่สงบที่สุด ผู้ฝึกฌานเงามืดรุ่งอรุณกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนที่เข้ามาที่นี่จะหายไปเหมือนหลอมรวมเข้าสู่โลกแท้จริง จักรพรรดิยมโลก

ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน ซูหมิงออกไปข้างนอกหนึ่งครั้ง ไปวิหารเหล่าเทพใน โลกแท้จริงดาราสัจธรรม ครึ่งเดือนต่อมาตอนที่เขากลับมา ดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่มีเพียงซูหมิงที่รู้ว่าชั่วพริบตาที่เขาออกจากโลกวิหารเหล่าเทพ มีดวงจิตน่าตะลึงมหึมาดวงหนึ่งเหมือนรวมจากสามรกร้างกลายเป็นดวงตาข้างหนึ่งมองมาที่เขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อยเป็นครั้งแรก

นั่นคือดวงตาของดวงจิตสามรกร้าง เพราะซูหมิงที่เดินออกจากวิหารเหล่าเทพ ระดับความแกร่งของเขามากพอจะสร้างความสนใจกับดวงจิตสามรกร้างที่หลับใหลแล้ว จึงเกิดความตื่นตัวขึ้นโดยจิตใต้สำนึก

เขาสำเร็จการยกระดับวิญญาณห้าครั้ง รวมทั้งหมดแล้วเทียบเป็นสิบครั้ง ซึ่งในทั้งมหาโลกซางเซียงก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ถึงอย่างไรซูหมิงก็ไม่ใช่คนแรกที่รู้จักวิหารเหล่าเทพ และก็ไม่ใช่คนแรกที่เข้าไปในมหาโลกซางเซียง อีกทั้งวิหารเหล่าเทพก็อยู่มาไม่รู้กี่ยุคสมัยแล้ว

แต่ซูหมิงเป็นคนแรกที่แกร่งที่สุดในยุคนี้ที่เขาอยู่!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!