Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1317

SVTASR
BC

ตอนที่ 1317 วิหารแห่งการทำลายล้างชีวิต

เดิมทีโลกของฝ่ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หวนคืนไม่มีดวงจิตกำเนิด เพียงแต่ไม่รู้กี่ปีมานี้ ทุกโลกจะมีหนึ่งเผ่าเท่านั้น ไม่มีการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ดังนั้นหลายปีมานี้จึงให้กำเนิดดวงจิตอ่อนแอและง่ายๆ จำนวนหนึ่ง ดวงจิตเหล่านี้ถึงขั้นไม่เรียกว่า ดวงจิตแท้จริงด้วยซ้ำ มันรวมขึ้นจากพลังความคิดนับไม่ถ้วน หากให้เวลามันมากพอ หากเผ่าในโลกนั้นๆ เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นยึดครองโลกอื่นๆ ล่ะก็

C

สักวันหนึ่งจะปรากฏดวงจิตอย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่าเวลานี้ ต่อให้เผ่าวิญญาณใช้พรสวรรค์พิเศษฝืนบรรลุผลในจุดนี้ก็ตาม แต่ดวงจิตที่กำเนิดมายังไม่ถือว่าสมบูรณ์ เรียกได้ว่าไม่ใช่ของสามรกร้าง เพราะดวงจิตอ่อนแอแบบนี้ สามรกร้างจะไม่สนใจแม้แต่น้อย

สำหรับซูหมิงแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้สนใจดวงจิตอ่อนแอเหล่านี้มากนัก กระทั่งโบกมือก็ขับไล่ดวงจิตเหล่านี้ไปได้ เทียบกับเขาแล้ว ดวงจิตเหล่านี้อ่อนแอจนรับการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว

แต่ว่า…ซูหมิงโบกมือเปลี่ยนผืนฟ้าของโลกนี้ หลังเปลี่ยนที่นี่ให้เป็นโลกของ ดวงจิตเขาแล้ว ทันใดนั้นซูหมิงสังเกตเห็นชัดว่า ดวงจิตที่ถูกเขาขับไล่เหล่านั้น… แตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมหลอมรวมกันมาทางตน ภาพนี้ทำให้เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยจนไม่สังเกตเห็น

เขายึดครองโลกอื่นๆ ไม่ได้แล้ว นี่คือคำเตือนของดวงจิตสามรกร้าง หากใน ร้อยปีซูหมิงฝ่าฝืนกฏข้อนี้ สามรกร้างจะลงมาเยือน ภัยพิบัติจะมาถึงก่อนเวลา

ซูหมิงไม่ได้อยากเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ทำให้ดวงจิตสามรกร้างตื่นตัวต่อ แต่ยามนี้การเปลี่ยนแปลงของที่นี่ทำให้ขณะเดียวกับที่ดวงตาเขาหรี่ลงกลับนึกไปถึงวิธีพลิกสถานการณ์

แทบเป็นทันทีที่ซูหมิงใช้มือเปลี่ยนดวงจิตของโลกนี้ราวกับเอามือบดบังฟ้านั้น ชายวัยกลางคนตะลึงค้างอ้าปากกว้าง สูดลมหายใจเข้าด้วยความตกใจพลางถอยไปโดยจิตใต้สำนึกอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองซูหมิงแฝงไว้ด้วยความตื่นกลัวและเหลือเชื่อ

“จะ…เจ้า…”

เขายังพูดไม่จบ ซูหมิงหันหน้ามามองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ตอนที่เข้ามาใกล้ในพริบตานั้น ชายวัยกลางคนตัวสั่นงันงก ถอยร่นไปอย่างเร็วไว กางสองแขนออกทำสัญลักษณ์มือ มือข้างหนึ่งขึ้นฟ้า อีกข้างลงดินพลางส่งเสียงตะโกน

“บรรพบุรุษเผ่าวิญญาณ รวมวิญญาณที่กายข้า!” สิ้นเสียง ดาวดวงนี้พลันสั่นสะเทือน วิญญาณบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้บนเกาะนับไม่ถ้วนต่างรวมตัวพร้อมกัน เข้ามาหลอมรวมในร่างชายวัยกลางคน ส่งผลให้พลังเขาทะยานขึ้นไม่หยุด ชั่ววูบเดียวก็เหนือกว่าขั้นไม่อาจกล่าว พลังเขายังคงปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ซูหมิงไม่สนใจการปะทุแบบนี้แม้แต่น้อย

เขาขยับวูบไหวตัว ปล่อยให้พลังชายวัยกลางคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายมีสีหน้าเหี้ยมโหดขึ้น พอเข้ามาใกล้แล้วก็ยกมือขวาสะบัดแขนเสื้อ ท่ามกลางเสียง ดังสนั่น ชายวัยกลางคนกระเด็นถอยไปอย่างรวดเร็ว ก่อนพ่นปราณวิญญาณออกมาคำหนึ่งพร้อมกับเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าเหมือนคลุ้มคลั่ง

วิญญาณจำนวนมากรวมเข้ามาที่รอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว วิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณ ยามนี้ภายใต้การรวมกัน มองไกลๆ จะเหมือนกับเมฆดำ เมฆดำม้วนตลบไปรอบๆ พุ่งตรงไปหาซูหมิง มองไปเมฆดำกลายเป็นปากใหญ่เข้า ไปใกล้หมายจะเขมือบซูหมิง

แต่ชั่วพริบตาที่สองฝ่ายปะทะกัน ซูหมิงแค่นเสียงขึ้นจมูก มือขวาคว้าอากาศ ฉับพลันนั้นมวลอากาศกลายเป็นมือใหญ่ตรงหน้าคว้าเมฆดำที่เขมือบเข้ามา เสียงระเบิดดังก้องไปทั้งโลกเผ่าวิญญาณ ท่ามกลางเสียงโครมคราม เมฆดำที่รวมวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณนับไม่ถ้วนก้อนนั้นเปล่งเสียงคำรามแหลม เมฆสั่นไหวเหมือนพยายามจะดิ้นให้หลุดจากมือซูหมิง แต่กลับทำไม่ได้

พอถูกซูหมิงคว้าไว้ได้แล้ว เสียงคำรามในเมฆดำดังสนั่นฟ้าดิน เกิดเป็นเงามายาเหลือคณานับ เงามายาเหล่านี้แย่งกันจะออกจากเมฆดำ แต่กลับทำไม่ได้แม้แต่น้อย ทำได้เพียงปล่อยให้ซูหมิงคว้าเอาไว้ จนซูหมิงลดระดับลงมายืนอยู่ตรงหน้าป้าย หลุมศพที่ว่างเปล่า…

ซูหมิงใช้มือขวาคว้าเมฆดำก้อนใหญ่นั้น ยกนิ้วชี้ขึ้นใช้เมฆดำเป็นหมึกเริ่มเขียนลงบนป้ายหลุมศพที่ว่างเปล่า

‘มารดา…หลุมศพของเฉินซู…’ ตอนที่เขียนทุกตัวอักษรเหล่านี้ เสียงคำรามแหลมจากในเมฆดำจะดังก้องยิ่งกว่าเดิม ทุกคำรวมวิญญาณของบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณ ไว้ไม่น้อย เสียงคำรามของวิญญาณเหล่านั้นหายไปอย่างต่อเนื่อง นี่คือการที่ซูหมิงใช้วิญญาณของพวกเขารวมเป็นตัวอักษร ใช้เซ่นไหว้มารดา

เมฆดำนั้นเล็กลงอย่างต่อเนื่อง วิญญาณทั้งหมดที่ถูกคลุมอยู่ในความสิ้นหวัง โดยเฉพาะชายวัยกลางคนนั้นตัวสั่นและน้ำเสียงแหลมเล็กที่สุด ความเจ็บปวดแบบนี้ยากจะบรรยาย แต่สำหรับบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณเหล่านี้แล้ว เทียบได้กับทุกอย่าง ในโลก

คนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งมีสองประเภท ประเภทแรกคือเฉยชาต่อความตาย แต่ส่วนใหญ่จะกลัวตายมากกว่าครั้งแรก ทว่าบรรพบุรุษเหล่านี้ของเผ่าวิญญาณคือ คนประเภทนี้ ขณะที่พวกเขากรีดร้องเสียงแหลม ซูหมิงก็เริ่มเขียนลงไปอีกครั้ง

‘บุตรชาย…ซูหมิงขอมอบวิญญาณบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณให้ด้วยความเคารพ’ หลังจากเขียนทุกตัวอักษรเสร็จ เมฆดำในมือขวาซูหมิงพลันหายไป

คนที่หายไปเป็นคนสุดท้ายคือ ชายวัยกลางคน พอวิญญาณเขาถูกซูหมิง บดละเอียดแล้วก็เขียนออกมาเป็นคำสุดท้าย ความเจ็บปวดอันน่าสิ้นหวังทำให้ ชายวัยกลางคนดูคลุ้มคลั่ง จนกระทั่งชั่วพริบตาก่อนที่จะหายไป เขาเหมือนกลับไป ในตอนนั้น เห็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในเผ่ากับคนนอกเผ่าคนหนึ่งให้กำเนิดบุตรผิดศีลธรรม ความริษยาและบ้าคลั่งในใจทำให้หลังจากที่อีกฝ่ายสิ้นชีพเขาจึงลบการคงอยู่ ของนางไป

นี่คือภาพสุดท้ายในความทรงจำ จากนั้น…ก็ว่างเปล่า

ตัวอักษรเหล่านี้ใช้วิญญาณบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณตลอดไม่รู้กี่ปีมานี้ทั้งหมด หากแค่จะลงโทษผู้นำสูงสุดคนหนึ่ง ซูหมิงก็ไม่ยอม ตอนนั้นที่สตรีศักดิสิทธิ์รุ่นนี้ ไม่ขวางก็ต้องโทษเช่นกัน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณเหล่านั้นที่เคยเห็นมารดาซูหมิงถูกลบป้ายหลุมศพและวิญญาณสลายไป

พวกเขาไม่ได้ขวาง นี่…สำหรับซูหมิงแล้ว คือความผิดในตัวมันเอง!

ซูหมิงคลายมือขวาออก ตอนนี้โดยรอบเงียบสงัด เขามองป้ายหลุมศพเงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่ถึงคุกเข่าลง การคุกเข่าครั้งนี้ใช้เวลาไปสามวัน

สามวันต่อมาเขายืนขึ้น มองป้ายหลุมศพนั้นอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินไปทางมวลอากาศ

ผืนฟ้าของมวลอากาศเต็มไปด้วยดวงจิตของซูหมิง พอดวงจิตเขาอัดแน่นอยู่ที่นี่ ดวงจิตอ่อนแอนับไม่ถ้วนของโลกนี้จึงหลอมรวมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมอยู่ใน ดวงจิตเขา ทำให้ดวงจิตได้รับการบำรุงช้าๆ จนแกร่งกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย

เขาเดินอยู่กลางฟ้าของเผ่าวิญญาณ กระเรียนขนร่วงตามอยู่ข้างหลัง ไม่มีการกล่าวใดๆ ตลอดทาง มันเห็นสิ่งที่ซูหมิงทำบนดาวนั้น เห็นการคุกเข่าหน้าหลุมศพ ยามนี้อยู่เป็นเพื่อนข้างกาย เดินไปเงียบๆ มันไม่รู้ว่าซูหมิงจะไปที่ใด แต่ซูหมิงไม่พูด มันก็ไม่ถาม

จนกระทั่งตรงหน้าซูหมิงปรากฏดาวที่ดูธรรมดามากดวงหนึ่ง ด้านบนมีพลังวิญญาณไม่มาก เปล่าเปลี่ยวมาก แม้แต่ผู้ฝึกฌานยังมีน้อยมาก

ซูหมิงมองดาวดวงนั้นเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงเดินเข้าไป เขาไปยืนอยู่กลางเทือกเขายาวเหยียดทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือบนดาว มองหมู่บ้านใต้ภูเขา ตรงนั้น…คือที่ที่มารดาเขากำเนิดที่ซูหมิงเห็นจากในกาลเวลาของเสี้ยววิญญาณนั้น

เขามองอยู่เงียบๆ ผ่านไปพักใหญ่…ซูหมิงก็พูดขึ้นเรียบๆ

“จะไสหัวไปหรือตาย”

กลิ่นอายมารของซูหมิงยังไม่หายไป และไม่มีทางหายไปเพราะนำวิญญาณของบรรพบุรุษเผ่าวิญญาณทั้งหมดมาเซ่นไหว้มารดา กลิ่นอายมารแผ่กระจายออก แม้เขาจะไม่เคยพบมารดาคนนี้มาก่อน แต่ว่า…นี่คือมารดาของเขา!

ตอนนี้วิญญาณสลายไป ทุกอย่างเป็นเพราะผู้นำสูงสุดรุ่นก่อนของเผ่าวิญญาณ ซูหมิงไม่ได้ทำลายล้างเผ่าวิญญาณนี่ก็ถือว่าเมตตาแล้ว กลิ่นอายมารอยู่ในใจยากจะหายไป เวลานี้หากมีใครไม่ดูตาม้าตาเรือมาล่วงเกินเขา เช่นนั้นจะต้องเจอกับ…ซูหมิงผู้มีจิตสังหารเหลือล้น!

แต่ดัน…กลับมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือโผล่มาจริงๆ!

“หลงระเริงเสียจริงๆ!” ระหว่างที่เสียงเย็นชาดังกังวาน บนยอดเขาอีกแห่งซึ่งห่างจากซูหมิงไม่ไกลนักเผยเป็นร่างเงาของชางซานหนูชัดเจน เขายืนอยู่ตรงนั้น มองซูหมิงด้วยแววตามุ่งมั่นในการต่อสู้แรงกล้า

“ข้าจักรพรรดิรุ่งอรุณขั้นไม่อาจกล่าว ชาง…” ชางซานหนูสะบัดแขนเสื้อแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ยังไม่ทันพูดนามจบ ซูหมิงพลันหันหน้ากลับมาด้วยสีหน้าเหี้ยมโหดและมีจิตสังหาร

“ไสหัวไป!” เพียงประโยคเดียวฟ้าดินเกิดเสียงดังสนั่น ทั้งดาวสั่นสะเทือนชั่วครู่ ทั้งโลกสั่นไหว ตอนที่เสียงดังก้องราวกับฟ้าผ่าทั้งโลกนี้ มวลอากาศตรงหน้าซูหมิง บิดเบี้ยว ชางซานหนูหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง เทือกเขาใต้ร่าง…พังทลายลง มิได้ แตกเป็นเสี่ยงๆ แต่เป็นเถ้าธุลีหายไปในพริบตา

ชางซานหนูกระอักเลือดติดต่อกันเจ็ดครั้ง ร่างถอยไปมากกว่าเจ็ดพันจั้ง เมื่อหยุดลงอย่างยากลำบากแล้วถึงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว

เสียงซูหมิงดังก้องทั้งโลกเผ่าวิญญาณ ขณะเดียวกับที่ชางซานหนูใจสั่นสะท้าน ในโลกเผ่าวิญญาณมีคนชุดคลุมดำสามคนที่ร่างพวกเขาถูกหมอกโอบล้อมปรากฏกายขึ้นกลางโลกเผ่าวิญญาณ

สามคนนี้แยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว จุดที่ผ่าน หลังปะทะกับดวงจิตซูหมิงแล้วจะเหมือนข้ามผ่านแบบโปร่งใสไป ราวกับว่าไม่อาจตรวจพบคนชุดคลุมดำสามคนนี้ เหมือนว่าในตัวพวกเขามีของมหัศจรรย์บางอย่างที่หลบดวงจิตของซูหมิงได้

พวกเขาแยกกันไปสามทิศทาง อีกทั้งยังขยับไหวแบ่งร่างเป็นอีกนับไม่ถ้วนเข้าไปในโลกเผ่าวิญญาณ ทำการค้นหาผู้แข็งแกร่งบนดาวแทบทุกดวง ทั้งยังพูดเสียงต่ำมาประโยคหนึ่ง

“ดวงจิตโลกนี้ของโลกเผ่าวิญญาณเจ้าถูกคนเอาไปแล้ว คนนี้มีนิสัยชอบ การสังหาร เหี้ยมโหดไร้ปรานี หลังชิงดวงจิตของโลกเจ้าไปแล้ว ภายในห้าร้อยปีสิ่งมีชีวิตในโลกนี้จะต้องตายลงอย่างแน่นอน ภัยพิบัติจะมาเยือน

กระทั่งจากนี้ไป ผู้ฝึกฌานทั้งหมดในโลกของเจ้าขั้นพลังจะไม่ก้าวหน้าอีกเลย เพราะว่าเขา…ชิงทุกอย่างของพวกเจ้าไปแล้ว!

เขามีนิสัยน่ากลัวประหนึ่งภูตผี พลังเป็นดั่งต้นไม้ มีต้นไม้มากก็เป็นป่า…ตัดไม่หัก ทำลายไม่ได้ ได้แต่ผนึก!

พวกเรามาจาก…วิหารแห่งการทำลายล้างชีวิต!”

คนชุดคลุมดำสามคนนี้ตามหาผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกเผ่าวิญญาณและ เอ่ยประโยคแบบนี้ออกไป ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นเงียบ เดิมทีไม่เชื่อง่ายๆ แต่คำว่า วิหารแห่งการทำลายล้างชีวิต…คลายข้อสงสัยทุกอย่าง กลายเป็นความเชื่อมั่น

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!