Skip to content

สู่วิถีอสุรา 1342

ตอนที่ 1342 สามคำถาม

คล้อยหลังคูมู่ ภายในถ้ำ เด็กเลี้ยงสัตว์มีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขาย่อมรู้นิสัยคูมู่ แต่ถึงอย่างไรคูมู่ก็เป็นคนที่เขาเชิญมา จึงไม่ดีถ้าจะพูดอะไร ทำได้เพียงมองซูหมิง ชายชราชุดคลุมม่วงข้างๆ กลับมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขาลอบถอนหายใจเบา คิดในใจว่า ซูหมิงยังไม่เหี้ยมโหดพอ มิเช่นนั้นคงไม่มีทางยอมให้คูมู่ไปจากที่นี่

ชายหนุ่มชุดคลุมขาวกวาดสายตามองซูหมิงด้วยสีหน้าราบเรียบ อ่านความคิดไม่ออก

เพียงแต่ว่าพวกเขาเพิ่งพบซูหมิงเป็นครั้งแรกเลยเข้าใจแบบตื้นเขินเท่านั้น ไม่รู้นิสัยจริงๆ ของซูหมิง หากมีคนรู้จักซูหมิงอยู่ที่นี่ พอเห็นเหตุการณ์นี้แล้วจะต้องเข้าใจแน่ว่ามีโอกาสสูงมากที่คูมู่จะมีแนวโน้มไปทางร้ายมากกว่าดี

ซูหมิงยกมือขวาคว้าไป แก้วสุราที่เต็มไปด้วยโลหิตคูมู่มาวางอยู่กลางมือ เขามองโลหิตในนั้นแวบหนึ่ง ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วขยับประกาย พลังแห่งคำสาป หลอมรวมเข้าไปในโลหิตนี้

โลหิตในแก้วพลันเดือดขึ้นมา ช่วงที่พวกเด็กเลี้ยงสัตว์มองมา พวกเขาเห็นโลหิตลอยออกจากแก้วด้วยใจสั่นสะท้าน ก่อนกลายเป็นคนเล็กโลหิตกลางอากาศ

หน้าตาคนเล็กนี้คล้ายกับคูมู่ ภายใต้สายตาของทุกคน คนเล็กตัวสั่นเร็วๆ ขณะตัวสั่นภายในร่างกายยังระเหยควันดำขึ้น มันลุกลามไปทั่วร่างอย่างเร็วไว นี่คือวิชาคำสาปของซูหมิง เพียงไม่กี่ลมหายใจ คนเล็กกลายเป็นสีดำ มันระเบิดออกดังปังกลายเป็นควันดำหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขณะเดียวกัน คูมู่ที่เต็มไปด้วยความแค้นกลางฟ้า ขณะกำลังห้อเหยียดพลันตัวสั่น ตอนที่ก้มหน้ามองเขาเห็นว่าร่างกายแห้งเหี่ยวของตนเกิดจุดดำขึ้นจำนวนมาก จุดดำเหล่านี้ปกคลุมทั่วร่างในพริบตา ชั่วขณะที่ตกใจกลัว ร่างกายพลันเน่าเปื่อย เขาร้องโหยหวน เพียงไม่กี่ลมหายใจ ผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกนี้สิ้นชีพลงกลางฟ้า!

พวกเด็กเลี้ยงสัตว์สามคนไม่เห็นภาพนี้ แต่ด้วยพลังและประสบการณ์พวกเขา ตอนที่เห็นคนเล็กสีโลหิตกลายเป็นสีดำหายไป ต่างก็เข้าใจกันแล้ว

สายตาที่มองซูหมิงมีความต่างออกไปอีกครั้งทันที

“ฮ่าๆ เมื่อครู่นี้ยังไม่ได้แนะนำสหายซูให้กับสหายทุกท่านเลย สองท่านก็สังเกตเห็นจากดวงจิตก่อนหน้านี้แล้ว สหายซูมีพลังไม่ธรรมดา มีเบื้องหลังลึกลับ พวกเราควรทำความรู้จักกันให้มากขึ้นจะดีกว่า” เด็กเลี้ยงสัตว์ยิ้ม ไม่เอ่ยถึงเรื่อง ของคูมู่ พูดจบก็ยืนขึ้นประสานมือคารวะซูหมิง

ชายชราชุดคลุมม่วงเผยรอยยิ้มอบอุ่น มองซูหมิงอย่างเป็นมิตรพลางประสานมือคารวะ

และยังมีชายหนุ่มชุดคลุมขาว เขาไม่มีสีหน้าเย็นชาอีก ยามที่มองซูหมิงมีความเคารพเพิ่มมา ยิ้มพลางประสานมือคารวะซูหมิงเช่นกัน

ซูหมิงยืนขึ้นประสานมือคารวะสามคน หลังจากต่างฝ่ายต่างคารวะกันเสร็จแล้ว ภายใต้การต้อนรับของเด็กเลี้ยงสัตว์ ทุกคนต่างดื่มสุราชั้นดี และยังมีหญิงงามออกมาเต้นระบำ บรรยากาศครึกครื้นขึ้นมาเล็กน้อย

หลังดื่มสุรากันไปสามครั้ง ชายชราชุดคลุมม่วงลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วมองซูหมิง

“สหายซูจะต้อง…มาจากโลกข้างนอกแน่ มาโลกนี้มีเรื่องอะไรรึ?”

เด็กเลี้ยงสัตว์ได้ยินดังนั้นก็มองซูหมิงเช่นกัน เขายกมือขวาโบกไป หญิงงามที่เต้นระบำกับผู้เยาว์รอบๆ ต่างถอยออกไป ทำให้ในถ้ำเงียบลงอีกครั้ง

“อยากมาดูช่องโหว่ไปสู่จักรวาลกว้างใหญ่ ต้องขอคำชี้แนะเรื่องช่องโหว่จาก ทุกท่านด้วย” ซูหมิงวางแก้วสุราลงแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

“สำหรับพวกเราโลกฟ้าแหว่งแล้ว นั่นคือหนึ่งในสองแดนลับที่ยิ่งใหญ่” ชายชราชุดคลุมม่วงตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วตอบกลับช้าๆ

“ไม่ผิด สองแดนลับยิ่งใหญ่นี้ หนึ่งคือช่องโหว่ที่สหายซูพูดถึง อีกหนึ่งคือ ไม้เทพเรือมารดา” ชายหนุ่มชุดคลุมขาวยกแก้วสุราขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งแล้วพูดขึ้นนิ่งๆ

“ช่องโหว่ที่สหายซูพูดถึงในนั้น ข้าเคยไปมาแล้วหลายครั้ง เข้าไปแล้วจะเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุด เคยมีสหายหลายคนลองไปสำรวจในจักรวาลกว้างใหญ่นั้น แต่ว่าหากออกไปไกลก็แทบจะไม่มีใครได้กลับมา ล้วนสิ้นชีพลงทั้งหมด…

ที่นั่นมีพายุที่ฉีกพวกเราได้อยู่ มีหมอกที่จมวิญญาณได้ และยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดนับไม่ถ้วน…เพียงแต่ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีสติปัญญา กระทั่งไม่มีร่างกายจริงๆ เหมือนเกิดมาจากอากาศธาตุ

พวกมันจะไม่เข้าใกล้โลกที่พวกเราอยู่…” เด็กเลี้ยงสัตว์ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เขารู้ทั้งหมด

“ไม้เทพเรือมารดาคืออะไร?” ซูหมิงขบคิดเล็กน้อยแล้วถามขึ้น

“นั่นคือไม้ยักษ์ที่มีน้อยคนนักที่รู้รายละเอียดว่ามันปรากฏขึ้นในยุคใด ไม้นี้มี ผนึกธรรมชาติ ขวางจิตสัมผัสได้ทุกอย่าง ภายในยังเป็นที่หลับใหลที่เหมาะกับ พวกเรายิ่ง ดังนั้นทุกครั้งที่ช่วงหลับใหลมาถึง พวกเราจะหลับใหลกันที่นั่น

อีกทั้งด้วยพลังและโครงสร้างของคนต่างกัน ช่วงเวลาหลับใหลจึงต่างกัน บางคนแค่หลายพันปี บางคนหลายหมื่นปี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม้เทพทำให้พวกเรา ลดเวลาในการหลับใหลลงมาก

สหายซูเองก็คงเป็นยอดฝีมือที่หลอมรวมกับตัวเองเหมือนกัน เช่นนั้นควรจะชิงถ้ำในไม้เทพมาสักแห่งเพื่อใช้หลับใหลในภายภาคหน้า รอยุคใหม่มาถึง” คนที่ตอบกลับ ซูหมิงคือชายหนุ่มชุดคลุมขาว

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ว่า บางที…อาจไม่มียุคต่อไปอีก

“ที่นี่มีเรือโบราณหรือไม่?” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นถามขึ้นอีกครั้งพลางกวาดสายตามองสามคน

พูดจบสามคนนี้หรี่ตาลง ไม่มีใครตอบ ทำให้ที่นี่เงียบสงัด เหมือนว่าแม้แต่ เสียงครึกโครมที่ดังนอกดาวตลอดปีจะหายไปด้วย

ภาพนี้ทำให้ซูหมิงยิ้มมุมปาก

ชายชราชุดคลุมม่วงกระแอมไอหลายที เขามองเด็กเลี้ยงสัตว์ ชายหนุ่มชุดคลุมขาว ก้มหน้าลง เหมือนไม่ได้ยินคำถามซูหมิง เด็กเลี้ยงสัตว์ก็มีสีหน้าลังเลอย่างพบเห็น ได้ยาก

ผ่านไปนานเขาก็ยิ้มเฝื่อนส่ายหน้าให้ซูหมิง

“ข้ารู้ แต่ข้าพูดไม่ได้ ข้าพูดได้แค่ว่า…ในโลกฟ้าแหว่งนี้มีสำนักลึกลับแห่งหนึ่ง มันเรียกว่าวิหารแห่งการทำลายล้างชีวิต ความแกร่งของสำนักนี้…ต่อให้เป็นพวกเราสามคนก็ยังเป็นแค่สมาชิกฝ่ายนอกในสำนัก ในไม้เทพ แทบทุกคนล้วนเป็นคน ของสำนักนี้

ความแกร่งของสำนักนี้…สหายซูน่าจะรู้มาบ้างแล้ว” เด็กเลี้ยงสัตว์พูดถึงตรงนี้แล้วก็เงียบไป

ซูหมิงพยักหน้า เด็กเลี้ยงสัตว์ต้อนรับเขาอย่างเป็นมิตร ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากพูด ซูหมิงก็จะไม่เค้นถาม เขายืนขึ้นแล้วประสานมือคารวะสามคน

“เช่นนั้นแซ่ซูขอตัวก่อน หากมีวาสนา…พวกเราคงได้พบกันอีก” ซูหมิงพูดพลางขยับไหวตัวจะจากไป แต่ทันใดนั้นนัยน์ตาเด็กเลี้ยงสัตว์ฉายแววเด็ดขาด ก่อนเดินหน้าไปหนึ่งก้าว

“สหายซูอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ข้ามีคำถามสามข้อ หากสหายช่วยไขกระจ่างให้ข้าได้ ป้านปู่จื่อจะยอมมอบชีวิตให้ทั้งหมด และยังบอกความลับแก่สหายเล็กน้อยด้วย”

ซูหมิงหยุดชะงักแล้วหมุนตัวกลับมามองเด็กเลี้ยงสัตว์ ทันทีที่เด็กเลี้ยงสัตว์พูดขึ้น ชายชราชุดคลุมม่วงหน้าเปลี่ยนสี เหมือนอยากจะจากไป แต่กลับลังเลก่อนกัดฟันยกมือขวาขึ้นโบกไปบนปากถ้ำข้างบน ทันใดนั้นมีหมอกเข้ามาอบอวลปิดทางเข้าเอาไว้

ส่วนชายหนุ่มชุดคลุมขาว เงียบ แต่ใช้การกระทำแสดงความในใจ กระบี่ข้างหลังเขาพุ่งขึ้นไป ทว่าไม่ได้มีกลิ่นอายสังหาร แต่กลายเป็นพลังมหาศาล ตอนที่ลอยอยู่กลางหมอกนั้น มีวิญญาณหลายล้านดวงพุ่งออกมาจากข้างใน อัดแน่นไปโดยรอบเป็นผนึก

ขณะเดียวกันเด็กเลี้ยงสัตว์เหยียบเท้าลงพื้น ถ้ำพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดเค้าลางจะลดระดับลง หากมองจากฟ้าจะเห็นว่าเทือกเขานี้เหมือนถูกแผ่นดินกิน หากใช้ ดวงจิตมองจะเห็นชัดว่าข้างหลังสิ่งมีชีวิตก้อนเนื้อยักษ์นี้เกิดรอยแยกเลือดเนื้อขึ้น ดึงถ้ำนี้เข้าไปในร่างกาย ใช้ร่างกายผนึกเอาไว้

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ไม่ได้หน้าเปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ตอนที่ชายชราชุดคลุมม่วงใช้หมอกเขาก็มองออกแล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลงมือกับเขา แต่จะผนึกที่นี่ เป้าหมายไม่ใช่ผนึกคนข้างใน แต่ไม่ให้จิตสัมผัสรวมถึงดวงจิตข้างนอกเข้ามาต่างหาก

กระทั่งตอนนี้เขายังเห็นเด็กเลี้ยงสัตว์ยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏท่อนไม้สีดำขนาดเท่าฝ่ามือท่อนหนึ่ง เขานำท่อนไม้นี้วางลงบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง ยามที่ซูหมิง มองไป สายตาเขาบิดเบี้ยว จิตสำนึกยังไม่อาจขยายไปถึงท่อนไม้นั้นได้เลย

“ไม้เทพรึ?” ซูหมิงถามขึ้นเนิบๆ

“ข้าได้มาจากจักรวาลกว้างใหญ่ เพิ่งใช้มันเป็นครั้งแรกเลย” เด็กเลี้ยงสัตว์พยักหน้าแล้วตอบกลับอย่างจริงจัง

“คำถามสามข้อของเจ้าคืออะไร พูดมา” ซูหมิงละสายตากลับจากไม้เทพมามองเด็กเลี้ยงสัตว์ ชายชราชุดคลุมม่วงกับชายหนุ่มชุดคลุมขาวข้างๆ นั่งเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้รู้สิ่งที่เด็กเลี้ยงสัตว์จะถามอยู่แล้ว

“คำถามแรก ภัยพิบัติที่จะมาถึงในครั้งนี้คือ จุดจบของยุคนี้…หรือจุดจบของ ซางเซียงตัวนี้!” เด็กเลี้ยงสัตว์ถามขึ้นพลางเพ่งมองซูหมิง

“เหตุใดถึงถามแบบนี้?” ซูหมิงมีสีหน้าปกติ แต่ในใจให้ความสำคัญกับ เด็กเลี้ยงสัตว์แล้ว คนที่ถามแบบนี้ได้มิใช่คนธรรมดา

“เพราะข้าเคยไปจักรวาลกว้างใหญ่ เคยเห็น…ซางเซียงที่พวกเราอยู่ เป็นอย่างตำนานว่าไว้ มัน…เป็นผีเสื้อตัวหนึ่งจริงๆ ข้า…เห็นถึงกลิ่นอายมรณะเข้มข้นจากตัวมัน โดยเฉพาะยุคนี้ กลิ่นอายมรณะเข้มข้นราวกับคนจะตาย!

เพราะว่าเจ้าต่างกับพวกเราอย่างชัดเจน เจ้าคือคนของยุคนี้ อีกทั้งหากเจ้าเป็น ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ เช่นนั้นเจ้าก็เหนือกว่าผู้แข็งแกร่งที่สุดจากยุคอื่นที่ข้าเคยพบมาทั้งหมด ตามหลักการกำเนิดและมอดดับของทุกสิ่งแล้ว มีเพียงตอนที่สิ่งมีชีวิตถึงจุดที่ใกล้จะตายแล้วเท่านั้น มันถึงจะระเบิดพลังที่แกร่งที่สุดภายใต้ความบ้าคลั่งออกมาอีกชนิดหนึ่งได้!

หากเจ้าไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดในยุคนี้ เช่นนั้นเรื่องนี้…ก็น่ากลัวยิ่งกว่า” เด็กเลี้ยงสัตว์พูดอย่างขมขื่น

“เป็นจุดจบของยุคนี้ หรือไม่ก็จุดจบของซางเซียง” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจเบา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!