ตอนที่ 1405 ฤดูหนาว เงาแห่งผืนฟ้า
“วงแหวนอาคมที่สิบห้า!” ขณะเดียวกับที่ซูหมิงเอ่ยขึ้น เข็มทิศใต้ร่างพลันหมุนโคจร แสงแห่งอักขระสว่างวาบ ขยับประกายไปไกลหมื่นจั้ง ด้วยความรุนแรงของแสงนี้ พริบตาเดียวจึงสะเทือนฟ้าดิน ทำให้ซูหมิงในสำนักเจ็ดจันทราเป็นที่จับตามองของ ทุกคน
ขณะเดียวกันปรากฏเงาสองร่างของเขาขึ้นรอบตัว ก่อนสมจริงกลายเป็นตัวเขาอีกสองคนนอกจากร่างจริง!
มองแวบแรกร่างจริงซูหมิงอยู่ตรงกลาง ร่างเงาทางซ้ายและขวามาพร้อมกับพลังที่เหมือนจะไม่เป็นรองร่างจริง หนึ่งมองฟ้า ความรู้สึกยิ่งใหญ่เหนือผู้ใดเด่นชัด อีกหนึ่งมองดิน ประกายแสงแห่งความโอหังน่าตื่นตกใจ
แต่ศิษย์ทั้งหมดในฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่งถึงห้าแห่งสำนักเจ็ดจันทรารอบๆ ยามที่พวกเขามองซูหมิง แม้แต่เสียงเกรียวกราวยังหายไปกลายเป็นเงียบสงัด
แต่ไม่นานกลับมีเสียงดังสนั่นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ดังกึกก้องราวกับเสียงระเบิด
“วงแหวนอาคมที่สิบสี่ ร่างเงาเขาแยกออกมาเป็นสองร่าง! หวังเทาคนนี้สมกับที่ถูกขนานนามว่าเป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดในตอนนั้น มิน่าผู้อาวุโสใหญ่ถึงรับ เป็นศิษย์ มิน่าเขาถึงเป็นผู้อาวุโส!”
“ไม่ผิด ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พรสวรรค์เขาแกร่งถึงขั้นเรียกได้ว่าหายากนับแต่โบราณ คนแบบนี้ควรจะเป็นผู้อาวุโส!”
“ต่อให้เป็นศิษย์พี่ใหญ่เฟยเฟิงหรือเฉินเถา แม้พวกเขาจะผ่านวงแหวนอาคมที่ สิบเจ็ดขึ้นไปแล้ว ทว่าพวกเขาฝึกฝนมาหลายปีแล้ว แต่หวังเทาเข้าสำนักมาไม่กี่ปี นี่เทียบกันไม่ได้เลย!”
“คอยดูเถอะ ในสำนักเจ็ดจันทราในภายภาคหน้าจะต้องมียุคที่หวังเทาผงาดขึ้นอย่างแน่นอน!”
“หวังเทาอะไร ควรเรียกผู้อาวุโสหวังต่างหาก!”
ระหว่างที่เสียงสนทนากับขึ้น มีศิษย์สำนักฝ่ายในชั้นสี่ไม่น้อยที่สนทนากันแบบนี้ ทำให้ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราสายเลือดที่สามต่างมีสีหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม จากที่บ่นในตอนแรก ตอนนี้กลายเป็นฮึกเหิมแล้ว ถึงอย่างไร…ซูหมิงก็เป็นอาจารย์อาของพวกเขา และยังได้ยืนยันพรสวรรค์ปีศาจของเขาอีกด้วย
เยวี่ยเยียนเงียบ แต่ตอนที่มองซูหมิงนัยน์ตาจะเกิดความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ไม่เพียงแค่นาง ตอนนี้เฉินเถาแห่งสายเลือดที่สองยังเดินออกมาจากถ้ำ ยืนอยู่ตรง หน้าผาเพ่งมองซูหมิง อำนาจคุกคามที่ซูหมิงมอบให้เขารุนแรงยิ่ง นั่นไม่ใช่ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ แต่เป็นการแข่งขันระหว่างคนในสำนัก
“ฝึกฝน…ก็ต้องแข่งขัน!” เฉินเถาพูดพึมพำ ขณะนั้นความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในดวงตาเปี่ยมล้นขึ้น
ส่วนเยี่ยหลง ตอนนี้ชาด้านไปแล้ว เขามองซูหมิง ฟังเสียงเกรียวกราวในคืนนี้ภายในสำนักเจ็ดจันทรารวมถึงเห็นทุกคนหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่รู้สึกขมขื่นแล้ว เพราะเหมือนว่าโลหิตเขาได้กลายเป็นความขมฝาดแล้ว
ซูหมิงไม่ได้สนใจคนโดยรอบที่หน้าเปลี่ยนสี ตอนนี้เขายืนอยู่บนเข็มทิศที่ หมุนโคจรอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกถึงข้อดีของเข็มทิศรวมถึงความแกร่งของตน เขาในตอนนี้ หากรวมกับอีกสองร่างเงา ศักยภาพจะเพิ่มขึ้นไม่น้อย แม้จะยังเทียบกับขอบเขตวิญญาณเต๋าจริงๆ ไม่ได้ แต่ก็ปกป้องตัวเองได้
นี่คือความมั่นใจของเขา หากให้เวลามากพอ เขาจะหล่อหลอมสองร่างเงานี้ เพื่อฝึกฝนได้ เขารู้สึกรางๆ ว่าด้วยสองร่างเงานี้ บางทีตนอาจจะลองฝ่าขอบเขตวิญญาณเต๋าได้
‘หากมีสามร่างเงา ความมั่นใจที่จะฝ่าขอบเขตวิญญาณเต๋าได้ก็จะมากขึ้นอีกเล็กน้อย!’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ช่วงที่เข็มทิศใต้ร่างส่งเสียงดังสนั่นกึกก้อง บนเข็มทิศมีหิมะลอยขึ้น มันต่างจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย ไม่ได้ตกไปทั่วแผ่นดินกู่จั้ง แต่ปรากฏแค่บนเข็มทิศ ช่วงที่หิมะตกก็เกิดความหนาวเยือก ชั่ววูบเดียวก็ปกคลุมไปรอบๆ
“เริ่มจากวงแหวนอาคมที่สิบห้าก็จะเป็นร่างเงาของสี่สายเลือดฟ้า หนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ วงแหวนอาคมสี่ชนิดนี้ยากยิ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ทำให้เยวี่ยเยียนหยุดที่ วงแหวนอาคมที่สิบเจ็ด และข้า…ยังหยุดที่วงแหวนอาคมที่สิบแปด!
ทว่าตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ หากไม่นับศิษย์ทุกรุ่นที่หายสาบสูญไปในกาลเวลาเหล่านั้น สำนักเจ็ดจันทราในยุคนี้มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่เฟยเฟิงคนเดียวที่ผ่าน วงแหวนอาคมที่สิบแปด อีกทั้งยังผ่านวงแหวนอาคมที่สิบเก้า!” บนยอดเขาสายเลือดที่สอง เฉินเถามองหิมะที่โปรยลงบนเข็มทิศใต้ซูหมิงพลางพูดเรียบๆ
“ถึงหวังเทาจะมีพรสวรรค์ไม่เลว แต่หากมีพรสวรรค์แค่ไม่เลวก็อาจจะตายตั้งแต่เยาว์วัย ไม่รู้ว่าเขา…จะตระหนักรู้ได้กี่อันในเงาสี่สายเลือดฟ้า เจ้าว่าอย่างไร เยวี่ยเยียน” เฉินเถายิ้มเล็กน้อย ขณะกล่าวขึ้น เยวี่ยเยียนเดินออกมาจากข้างหลังเขาช้าๆ มายืนข้างกาย มองซูหมิง
“สี่ฤดูมีเงา นั่นคือเงาแห่งฟ้า วิชาเจ็ดชะตา ร่างจริงคือชะตาที่หนึ่ง กลายเป็นชะตามนุษย์ สองสามเป็นชะตาแห่งดิน หลังแยกออกชะตามนุษย์เชื่อมต่อกับ ปราณปฐพีแล้วก็จะจืดจางลง
ส่วนชะตาที่สี่ ห้า หกคือชะตาแห่งฟ้า ต้องตระหนักรู้จากสี่ฤดู หากสำเร็จ เจ็ดชะตาจะหลอมรวมเป็นเงาเต๋าแรก แบบนี้…ถึงจะถือว่าสำเร็จขั้นแรกของเต๋า เจ็ดเงาวิชาที่แกร่งที่สุดในสำนักเจ็ดจันทรา” เยวี่ยเยียนตอบกลับนิ่งๆ
“เต๋าเจ็ดเงา แม้จะปรากฏมาเพียงหนึ่งก็ก้าวสู่ขั้นจิตเต๋าขั้นหนึ่งได้โดยตรง หากบรรลุจิตเต๋าขั้นหนึ่งอยู่แล้วก็จะกลายเป็นขั้นสอง!” เฉินเถายิ้มเล็กน้อย เอ่ยนิ่งๆ พลางส่ายศีรษะ
“เราสองคนชี้แนะเขาแบบนี้ ข้ามีเป้าหมายของข้า เจ้าล่ะ?”
เยวี่ยเยียนไม่ตอบ
ตอนนี้ซูหมิงบนเข็มทิศเงยหน้าขึ้นมองเทือกเขาที่สองกลางเทือกเขารอบๆ เขาเห็นสองร่างเงาตรงนั้น ทั้งยังได้ยินคำพูดของสองคนที่ดังแว่วมาอย่างชัดเจน
‘วิชาเต๋าเจ็ดเงา’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววครุ่นคิด ก่อนนั่งขัดสมาธิลงบนเข็มทิศช้าๆ เมื่อนั่งลง ร่างเงาขนาบข้างสองร่างก็นั่งลงตาม
เวลาผ่านไปเนิบๆ หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่ไอหนาวรุนแรงกว่าเดิม ความมืดบนฟ้าไกลออกไปสิ้นสุดลง เกิดแสงยามรุ่งอรุณ ปรากฏดวงตะวันแรก
“สี่สายเลือดฟ้าที่ถ่ายทอดมาแต่ยุคโบราณแฝงไว้ด้วยสี่อภินิหารใหญ่ ตอนนี้เจ้ากับข้าต่างตระหนักรู้ได้หลายรูปแบบแล้ว ไม่รู้ว่าหวังเทาจะตระหนักรู้ได้หรือไม่” เฉินเถายิ้ม แต่กลับมองซูหมิงอย่างจริงจัง
เยวี่ยเยียนไม่ตอบ
เวลาผ่านไป ตะวันแรกลอยขึ้นช้าๆ วันใหม่มาถึง เดิมทีซูหมิงคิดจะจบการบุก วงแหวนอาคมครั้งนี้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนความคิดแล้ว วงแหวนอาคมมีส่วนช่วยเขา ไม่น้อย ในเมื่อบุกแล้วก็ต้องไปให้สุดถึงจะถูก
ยามเที่ยงตรง หิมะบนเข็มทิศตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ปกคลุมซูหมิงไปครึ่งตัวแล้ว เขายังไม่ลืมตา ภายในลูกตาใต้หนังตาที่ปิดอยู่กำลังมีประกายแสงเหลือล้นขยับ วูบวาบ เห็นรางๆ ว่าแฝงไว้ด้วยการตระหนักรู้ที่มีเพียงเขาที่เข้าใจ
‘หิมะมีเงาของมัน เงานี้เบาบางใต้แสงตะวัน หากมองดีๆ ก็จะเห็น การจะผ่านวงแหวนอาคมที่สิบห้านั้นไม่ยาก ขอเพียงหาเงาของหิมะเหล่านี้ให้พบ ตระหนักรู้เงาของหิมะ เข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีเงา จากนั้นควบคุมหิมะก็จะเท่ากับเข้าใจเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในวงแหวนอาคมที่สิบห้า
แต่ว่า…ข้าไม่ชอบยามกลางวัน’ ช่วงที่ยามโพล้เพล้ค่อยๆ มืดลง ตะวันยามอัศดงจะหายไปนั้น ซูหมิงลืมตาขึ้น แทบเป็นขณะเดียวกันนั้น ตะวันยามอัศดงลาลับแผ่นดินไปแล้ว โลกจึงมืดลง
เวลานี้ซูหมิงที่ลืมตาขึ้นยกมือขวาขึ้นช้าๆ
‘รูปแบบชะตาของข้า เดิมทีเริ่มจากฤดูหนาวไปสู่ใบไม้ผลิแห่งการคืนชีพ เดิมทีเดินจากความตายสู่ความเป็น หิมะของฤดูหนาวนี้ก็คือความตายในรูปแบบชะตาข้า เป็นฤดูหนาวในรูปแบบชะตาข้า
ฤดูหนาวเป็นวงแหวนอาคมที่สิบห้าจึงง่ายสำหรับข้าอย่างยิ่ง แต่ข้าไม่ได้ต้องการเงาหิมะปกคลุมแผ่นดินยามกลางวัน ข้าต้องการ…เงาทั้งฟ้ายามค่ำคืนปกคลุม ฤดูหนาวในคืนมืด!
เงานี้ไม่ใช่เงาหิมะ แต่เป็น…เงาแห่งฤดูหนาวและผืนฟ้า!
ดังนั้นแล้ว วิชาเจ็ดชะตาจึงไม่ได้เหมาะกับข้ามาก วิชานี้มีแสงสว่างมากเกินไป จะแกร่งที่สุดยามกลางวัน ในยามราตรีเงาจะถูกคืนมืดซ่อนเอาไว้ ดังนั้นมันจึงอ่อนแอที่สุด แต่สิ่งที่เหมาะกับข้าจริงๆ…น่าจะเป็นวิชาเจ็ดยมโลกหลังถูกข้าปรับแก้แล้ว!
หลังฝึกวิชาถึงระดับสูง เงาฟ้าดินในยามราตรีจะเป็นเงาของข้าซูหมิง!’ นัยน์ตา ซูหมิงเปล่งแสงมืดหม่นเด่นชัด เขายกมือขวาขึ้นไม่ได้คว้าไปทางหิมะโปรยปราย แต่สะบัดแขนเสื้อ ปรากฏฟ้าขึ้นข้างบนอีกที ก่อนบดบังฟ้านอกจากแขนเสื้อซูหมิง!
เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง หิมะที่โปรยปรายมาเหล่านั้นพลันกลายเป็นสีดำ ไม่ใช่ว่าพวกมันเปลี่ยนสี แต่ถูกคืนมืดย้อมให้เป็นสีดำ รวมถึงหิมะรอบตัวซูหมิง หลังกลายเป็นสีดำสนิทแล้ว ซูหมิงถึงยืนจากท่านั่งสมาธิช้าๆ
“ฤดูหนาว เงาแห่งผืนฟ้า!” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเรียบๆ หิมะโดยรอบพลันสั่นสะเทือน มันกระจายออกจากเข็มทิศ โปรยปรายไปยังฟ้าเหนือฟ้าชั้นสี่ ขณะเดียวกันฟ้าเหนือฟ้าชั้นสาม ชั้นสอง ชั้นหนึ่งยังมีหิมะสีดำโปรยปราย!
ภายในสำนักเจ็ดจันทรา…มีหิมะสีดำโปรยปรายในฟ้าเหนือฟ้าสี่ชั้นแรกพร้อมกันเป็นครั้งแรก ขณะเดียวกันพริบตาที่ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า เกิดเสียงดังสนั่นครึกโครม ฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า…ปรากฏหิมะสีดำของซูหมิงเช่นกัน!
ทั้งสำนักเจ็ดจันทราเงียบสงัด เฉินเถาเหม่อมองหิมะสีดำที่ลอยล่องตรงหน้า เขายกมือขวาขึ้นโดยจิตใต้สำนึก ช่วงที่หิมะตกลงบนฝ่ามือมันกลายเป็นความเจ็บปวด เขาก้มหน้าลงมอง นั่นไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเงาแห่งฟ้าเล็กๆ ที่เกิดจากคืนมืดสะท้อน บนหิมะ
เยวี่ยเยียนหน้าซีดขาว ตอนที่เงยหน้าขึ้นในฉับพลัน เฉินเถาก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเช่นกัน
คืนมืดในยามนี้ราวกับแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นหิมะสีดำนับไม่ถ้วนโปรยลงมายังโลกมนุษย์ เหล่านั้นไม่ใช่หิมะ แต่เป็นเงาแห่งผืนฟ้า
เฟยเฟิง ศิษย์ใหญ่สำนักเจ็ดจันทราที่นั่งฌานมาตลอดปีของสายเลือดที่หนึ่งลืมตาขึ้น เดินออกมาจากถ้ำ เงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสของฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้าก็มองฟ้าเช่นกัน พวกเขาต่างมีสีหน้าจริงจัง ขณะเงียบยังมีหลายคนที่มีแววตาตกตะลึง
ภายในฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก เต้าหานชายชุดคลุมแดงที่อยู่เพียงคนเดียวในฟ้าเหนือฟ้าชั้นนี้กำลังยืนอยู่บนยอดเขาสายเลือดที่สิบสามของฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก ตอนที่ มองฟ้า…เขาหรี่ตาลง มองหิมะที่โปรยปรายบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก
“ตระหนักรู้สร้างอภินิหารของขอบเขตวิญญาณเต๋าด้วยพลังตอนนี้ได้…เขาคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!” ชายชุดคลุมแดงกล่าวเสียงเบาด้วยสีหน้าจริงจัง