Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 123

Cover Renegade Immortal 1

123. ปิศาจ

เมื่อหวังหลินเปล่งคำพูดออกมากลุ่มของโจวซื่อจงแต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนทันทีโดยเฉพาะหลินท่าวที่ใบหน้าซีดเผือด เขาถอยหลังแต่วิญญาณเร่ร่อนกระโดดเข้าหาเขาในทันทีหลังจากได้ยินคำสั่งของหวังหลิน

โจวซื่อจงเม้มริมฝีปาก เธอต้องการหยุดหวังหลินแต่เปล่งคำพูดออกมาไม่ได้ พี่หยางถอนหายใจออกมาและมีใบหน้าซับซ้อน

หลินท่าวเคลื่อนไหวเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้แต่ไม่ได้หนีไปเขาหลบไปด้านหลังและพยายามหนีห่างจากวิญญาณเร่ร่อนเขารู้ว่าแม้จะหนีออกไปได้หรือไม่ด้วยสนามรบต่างแดนที่ขนาดใหญ่เช่นนี้คงไม่สามารถมีชีวิตรอดจนเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายได้

พอคิดได้เช่นนี้เขาจึงรีบพูดขึ้น “ผู้อาวุโสข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดกับหม่าเหลียงเลย เราไม่ค่อยพูดกันได้โปรดช่วยข้าด้วย ผู้อาวุโส ข้า…ข้าจะเป็นข้ารับใช้ให้ท่าน”

หลินท่าวพูดอย่างกระวนกระวายขณะที่วิญญาณเร่ร่อนเข้าใกล้เขาแล้ว หวังหลินยิ้มบาง เขาสะบัดมือและวิญญาณเร่ร่อนก็หยุดลงทันที

หน้าผากหลินท่าวปกคลุมไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบเขาไม่กล้าจะเช็ดมันออกพลันพูดอย่างเคารพ “ท่านผู้อาวุโส…ท่านต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจากแคว้นอันดับสูงแน่ข้ารู้สึกเป็นเกียรติที่รับใช้ท่าน ข้าไม่มีความตั้งใจอื่นๆเลย” จบคำพูดฝ่ามือสร้างเป็นผนึกขึ้นมาและเขากดลงบนหน้าผากหยดโลหิตสีทองลอยออกจากหน้าผากเขาไปหาหวังหลิน

หลังจากหยดโลหิตสีทองปรากฎขึ้น ร่างกายหลินท่าวดูอ่อนแอลงอย่างมาก เขามองไปที่หวังหลินอย่างกังวลใจ

หวังหลินสะบัดมือ หลังจากเขาคว้าหยดโลหิตมา สายตาก็เพ่งมองไปที่ศิษย์พี่หยาง

หลังจากหลินท่าวเห็นหวังหลินยอมรับหยดโลหิตทองเขาก็ปล่อยลมหายใจออกมาทันที เขารู้ว่าชีวิตของเขาจะปลอดภัยหลินท่าวเป็นคนฉลาดหลักแหลมและพูดได้ว่าเขาเป็นคนแรกที่รู้ได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติเขาคิดได้ว่าหม่าเหลียงตายไปแล้วและถูกใครบางคนสิงร่างอยู่แต่เขาไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับอีกสองคน

หลินท่าวรู้เช่นกันว่าการติดตามหวังหลินเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะรอดชีวิตได้หากหวังหลินไม่สังหารเขาและปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว เขาจะตายแน่นอนดังนั้นที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ ไม่ต้องคิดให้รอบคอบก็รู้ได้ทันทีเมื่อหวังหลินสั่งการให้วิญญาณเร่ร่อนสังหารเขาเขาจึงรู้ได้ว่าหวังหลินคิดว่าเขารู้ตัวตนแล้วโดยไม่ต้องเล่นใบ้คำนั่นทำให้เขาตายเร็วขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นจุดที่หลินท่าวแสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาด เขาเป็นข้ารับใช้ของหวังหลินโดยไม่ลังเล กระทั่งนำหยดวิญญาณโลหิตของตัวเองออกมา

หลังจากหวังหลินได้รับหยดวิญญาณโลหิตของหลินท่าวหวังหลินสามารถสังหารเขาได้เพียงแค่คิด แต่หลินท่าวไม่มีทางเลือกอื่นถ้าเขาอยากติดตามหวังหลินต่อไป จึงต้องทำเช่นนี้

หลินท่าวเคลื่อนร่างไปด้านข้างของหวังหลินจากนั้นเขาชี้กระบี่ตัวเองไปที่อีกสองคนโดยไม่ลังเลเนื่องจากเขารู้แล้วว่าตัวเองเป็นข้ารับใช้จากนั้นเขาต้องทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แม้มันจะเป็นเพียงแค่การแสดงก็ตาม

ชายหนุ่มนามว่าหยางได้ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน เขาแตะหน้าผากตัวเองและหยดโลหิตวิญญาณก็ลอยไปหาหวังหลิน

เขาไม่ได้รู้ตัวช้ากว่าหลินท่าวในการตรวจสอบท่าทางแปลกประหลาดของหม่าเหลียงซึ่งถูกสิงร่างอยู่เขารู้สึกกังวลตลอดเวลา เนื่องจากทั้งหมดนี้อยู่ในที่โล่งเขาชั่งน้ำหนักตัวเลือกอย่างรวดเร็วและตัดสินใจเป็นข้ารับใช้หวังหลิน

เปรียบชีวิตและความตาย จะมีความภูมิใจใดกันเล่า? เช่นนั้นคนผู้นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเป็นเซียนจากแคว้นเซียนอันดับสูงและมีพลังแข็งแกร่งพอให้พวกสิ่งมีชีวิตประหลาดพวกนี้กลัวเกรงเขาหากเขาติดตามคนผู้นี้แล้ว เขาอาจจะมีโอกาสดีที่จะเติบโตขึ้นในอนาคต

หลังจากส่งหยดโลหิตวิญญาณออกไป เขามองไปที่ศิษย์น้องโจวซื่อจงด้วยใบหน้าซับซ้อนและพูดขึ้น “ศิษย์น้อง เจ้า…”

โจวซื่อจงสะบัดมือของเธอ เธอมองหวังหลินขณะที่กัดริมฝีปากล่างและถามขึ้น “ท่านผู้อาวุโส…ตอนที่ท่านสิงร่างนี้หม่าเหลียงตายหรือยังมีชีวิตอยู่หรือ?” แววตาใจเย็นจ้องมองไปที่หวังหลิน

เธอต้องการถามคำถามนี้ตอนที่เธอสังเกตได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติกับเขา หวังหลินมองเธอและพูดขึ้น

“ตาย”

โจวซื่อจงหายใจออกมา ไม่ว่าสิ่งที่หวังหลินพูดจะถูกหรือผิดเธอก็ไม่ต้องการถามต่อ ตามสัญชาตญาณ เธอคิดว่าหวังหลินไม่ได้โกหกสามคนนี้เป็นไม่ได้กระทั่งมดในสายตาเขาดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องโกหก

เช่นนั้นเธอก็ส่งหยดโลหิตวิญญาณของตนเองออกมาโดยไม่ได้กล่าวคำใดอีก

หยดโลหิตวิญญาณสีทองปรากฎด้านหน้าหวังหลิน เขาอ้าปากขึ้นและดูดมันเข้าไปจุดแสงสามจุดปรากฎในสัมผัสวิญญาณของเขาเพียงแค่คิดเขาก็สามารถสังหารทั้งสามคนได้

ความจริง หวังหลินไม่ต้องการพยายามซ่อนทุกอย่างตลอดเวลาทุกคนที่รู้จักหม่าเหลียงมาก่อนจะคิดได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติเพิ่มความจริงอีกข้อว่าเหล่าวิญญาณเร่ร่อนกลัวเขาใครก็เดาได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ

หวังหลินไม่ต้องการสังหารทั้งสามคน แต่หากทั้งสามคนนี้ไม่ได้ฉลาดเมื่อนั้นเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นความจริงที่เขากลืนร่างกายนั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่ควรรู้แต่หลังจากเขาออกจากสนามรบต่างแดนไปแล้วมันก็จะง่ายนอกจากนี้ห้าสิบปีเป็นเวลาเหลือเฟือที่นิสัยคนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปได้

หลังจากโจวซื่อจง หยางเซี่ยงและหลินท่าวกลายเป็นข้ารับใช้ของหวังหลินพวกเขาพลันผ่อนคลายทันทีและยืนอยู่ด้านหลังหวังหลินโจวซื่อจงมองหวังหลินด้วยใบหน้าซับซ้อน เธอรู้ว่าตัวเองเป็นคนมีเสน่ห์ในสำนักเธอถูกศิษย์หลายคนบอกรักและขอคบมาหลายคน แต่เธอปฏิเสธไปทั้งหมด

โจวซื่อจงสาบานไว้ว่าก่อนที่เธอจะถึงขั้นแตกหน่อเธอจะไม่ฝึกเซียนคู่กับใครเด็ดขาดแต่ตอนนี้เธอกลายเป็นข้ารับใช้ของคนผู้หนึ่ง หากเจ้านายของเธอต้องการเธอคงปฏิเสธไม่ได้ พอคิดถึงเรื่องนี้ทำให้จิตใจของเธอวุ่นวายมาก

เธอไม่ได้รู้เลยว่าหวังหลินไม่ได้สนใจเธอเลย

หลังจากเก็บหยดโลหิตวิญญาณไป หวังหลินมองไปยังวิญญาณเร่ร่อน เขาลูบคางตัวเองและส่งข้อความไปให้กับเหล่าเพื่อนบ้านทั้งสาม

“ข้าต้องการวิญญาณเร่ร่อนตัวนี้”

เพื่อนบ้านทั้งสามครุ่นคิดเล็กน้อยและจากนั้นก็ตอบกลับมา

“วิญญาณกลืนกินเกิดใหม่เอ๋ย มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้ายังไม่เข้าใจ เมื่อเจ้าเกิดเป็นวิญญาณ เจ้าจะไม่สามารถออกจากที่นี่ได้”

“วิญญาณเร่ร่อนตัวนี้ก็เป็นวิญญาณชนิดหนึ่งด้วยเช่นกันพวกมันไม่ได้แข็งแกร่งดังเช่นปิศาจ แต่สิ่งมีชีวิตคืออาหารของพวกมันและเช่นเดียวกัน พวกมันก็คืออาหารของเรา”

“วิญญาณกลืนกินแบบพวกเราไม่สามารถกลืนกินวิญญาณมนุษย์ตรงๆได้ เรากลืนกินได้เพียงวิญญาณเร่ร่อนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง”

“วิญญาณเร่ร่อนที่แข็งแกร่ง พวกเซียนระดับต่ำจะไม่มีโอกาสต่อต้านได้แม้ว่าพวกเซียนขั้นสูงไม่ได้กลัวมัน ตราบใดที่มีวิญญาณเร่ร่อนมากพอผลลัพธ์ยังเป็นเหมือนเดิม และสำหรับวิญญาณเร่ร่อนของพวกเรามันเป็นทั้งอาวุธข้ารับใช้ และเป็นอาหารด้วยเจ้าคิดว่าวิญญาณเร่ร่อนในโลกมนุษย์จะเป็นเช่นไรงั้นหรือ?”

“วิญญาณเร่ร่อนเกิดใหม่เอ๋ย ให้ข้าบอกเจ้าชัดๆหากวิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้ได้รับอิสระในโลกมนุษย์ แม้มันจะไม่ได้มีจำนวนมากมันจะเป็นหายนะได้ทันทีวิญญาณเร่ร่อนในโลกมนุษย์ถูกเรียกขานกันว่าเหล่าปิศาจ”

“หากพวกมันเข้าไปในโลกมนุษย์จำนวนมากโลกมนุษย์จะกลายเป็นโลกแห่งการล่มสลายเช่นเดียวกับที่เราอยู่ที่นี่และในเหล่าปิศาจ หัวหน้าพวกมันจะกลายเป็นวิญญาณกลืนกิน”

“มีกฎหนึ่งระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งการล่มสลายนั่นคือ ใครก็ตามที่พยายามทะลายกฎจะถูกสังหาร”

เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่หวังหลินไม่รู้มาก่อน เขาครุ่นคิดชั่วขณะและถามขึ้น “เช่นนั้นสนามรบต่างแดนแห่งนี้เป็นสถานที่แบบไหนกัน?”

“สถานที่ยุ่งเหยิงแห่งนี้เปิดขึ้นโดยเซียนผู้แข็งแกร่งจากโลกมนุษย์มันอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งการล่มสลาย แต่ถึงเช่นนั้นวิญญาณเร่ร่อนโดยปกติจะไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้มีเพียงหลังจากเราเข้ามาเท่านั้นพวกมันถึงเข้ามาได้”

“เช่นนั้นเจ้าจะไม่สามารถออกไปได้ ไม่ต้องพูดถึงวิญญาณเร่ร่อนพวกนั้นเลย”

“ถ้าเจ้าชอบวิญญาณเร่ร่อนตัวนั้น ข้าจะให้มันเป็นของขวัญกับเจ้าแต่ในที่สุดเจ้ายังต้องกลับไปที่โลกแห่งการล่มสลายนั่นเป็นภารกิจของเหล่าวิญญาณกลืนกิน”

น้ำเสียงเพื่อนบ้านทั้งสามคนค่อยๆหายไปขณะที่หวังหลินยืนอยู่เงียบๆด้วยสีหน้าอันซับซ้อน

ทั้งสามคนสังเกตเห็นได้ว่าหวังหลืนยืนอยู่เงียบๆเป็นเวลานานแล้ว หัวใจแต่ละคนเต้นรัวและกลายเป็นเคร่งเครียด

หลินท่าวกำลังคิดได้ว่าหวังหลินอาจจะยังไม่รู้สึกปลอดภัย สงสัยว่าควรจะทำอะไรดีหากหวังหลินต้องหารสังหารเขา

โจวซื่อจงคิดเรื่องหากเขาต้องการเธอหล่ะ ใบหน้าโจวซื่อจงเผยแววตาดิ้นรนขณะที่หยางเซี่ยงยิ่งคิดมากไปหลายอย่าง เขาไม่เพียงแต่กลัวตายแต่กลับกลัวว่าหวังหลินจะยกเลิกร่างหม่าเหลียงมาสิงร่างเขา

ใบหน้าหวังหลินเผยแววตาเศร้าหมองขณะที่เขาเหาะไปทางค่ายกลเคลื่อนย้ายสามผู้รับใช้รีบติดตามเขาไปอย่างรวดเร็วและวิญญาณเร่ร่อนติดตามอยู่ห่างๆด้านหลัง

ยิ่งพวกเขาเดินหน้าเข้าไปก็ยิ่งมีซากร่างกายให้เห็นมากขึ้นแต่ขณะที่หวังหลินเข้าใกล้เหล่าวิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดต่างหนีห่างและไม่กล้าขวางทางเขา

ฉากแปลกประหลาดเช่นนี้ดึงดูดความสนใจของเหล่าเซียนรอบๆได้บางคนนำเหล่ากลุ่มเซียนติดตามทั้งสี่คนไปหวังหลินไม่ได้สนใจพวกเขาขณะที่เหาะเหินไปอย่างต่อเนื่อง

เหล่าวิญญาณเร่ร่อนลังเลเล็กน้อยขณะที่กลืนกินเซียนคนหนึ่งด้านหลังอย่างระมัดระวังหลังจากพวกมันสังเกตได้ว่าหวังหลินไม่ได้สนใจพวกมันกระโดดเข้าหาเหล่าเซียนทันทีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากกลุ่มที่ติดตามหวังหลินขณะที่มีเซียนที่หนีออกมาจากกลุ่มตนเองหลงเหลืออยู่น้อยนิด

หนึ่งวันผ่านไป ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ในระยะสายตามีซากร่างกายที่เป็นมัมมี่มากขึ้นและทั่วบริเวณเต็มไปด้วยวิญญาณเร่ร่อนผลก็คือพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามที่ไม่มีเซียนคนใดกล้าเข้าใกล้คนที่โชคดีพอที่จะมาถึงที่นี่จะถูกรุมด้วยเหล่าวิญญาณเร่ร่อนเมื่อพวกเขาเข้ามาในพื้นที่พวกนี้

พื้นที่ในรัศมีสิบลี้ ไม่มีสัญญาณสิ่งมีชีวิตนอกจากเหล่าผู้โชคดีที่มาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้และกลุ่มทั้งสี่คนของหวังหลิน

เมื่อมองค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่ไกลๆ หวังหลินพูดขึ้น “เจ้าทั้งสามเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายก่อน”

ทั้งสามคนไม่กล้าปฏิเสธ พวกเขากัดฟันแน่นและเหาะไปข้างหน้าเป็นเรื่องดีที่เหล่าวิญญาณเร่ร่อนดูเหมือนจะได้รับคำสั่งจากเขาและไม่ได้โจมตีทั้งสามขณะที่พวกเขาเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายได้อย่างปลอดภัยหลังจากนั้นหวังหลินนั่งขัดสมาธิใกล้ๆและจ้องไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย

เขายื่นมืออกมาและวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่งสั่นระริกพร้อมกับเหาะตรงเข้าหาเขาทันทีหวังหลินชี้ไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายวิญญาณเร่ร่อนตัวนั้นพยายามต่อสู้ดิ้นรนแต่มันกลับพุ่งไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!