Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 158

Cover Renegade Immortal 1

158. สายหมอกเปลี่ยนเป็นทะเล

 

ทันใดนั้นทั้งโรงเตี๊ยมเงียบเสียง สายตาทุกคนมองไปบนร่างชายชราชุดคลุมสีเขียว เขากุมชายหนุ่มไว้ในมือขณะมองคนอื่นอย่างเย็นชา

“ดวงตาราวกับสายฟ้า” สามคำผุดขึ้นในใจเซียนรอบด้าน พวกเขารู้สึกราวกับทั้งร่างถูกมองทะลุและถังน้ำเย็นๆราดลงบนหัวในเวลาเดียวกัน

แก้วของเซียนขั้นแกนวิญญาณระดับต้นหล่นลงกับพื้นขณะที่ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาลอบร้องคราง “ความรู้สึกนี้…ขั้นวิญญาณแรกกำเนิด”

ชายชราถอนสายตาและคลายมือออก คอของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยช้ำ

ชายชรารินแก้วหนึ่งให้เขา ดื่มหนึ่งอึดและค่อยๆพูด “พูดมา เกิดเรื่องทั้งหมดขึ้นได้อย่างไร?”

ชายหนุ่มไม่กล้าหายใจเสียงดัง ด้วยขั้นพื้นฐานลมปราณระดับปลายของตัวเองจึงไม่อาจมองทะลุชายชราคนนี้ได้เลย ทว่าด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปีจึงรู้ได้ว่าอย่างน้อยเขาต้องมีขั้นแกนลมปราณระดับกลางหรือกระทั่งระดับปลาย

“คนผู้นั้นจู่ๆก็ปรากฎตัวขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน สังหารผู้อาวุโสของสำนักมารปิศาจรบไปสิบคนและด้วยเหตุผลบางอย่างได้ติดป้ายอาญาสิทธิ์สั่งตาย…” ชายหนุ่มอธิบายทุกสิ่งที่เขารู้มาทั้งหมด

ชายชราหลับตาและสะบัดมืออย่างลวกๆ ดวงตาชายหนุ่มเบิกกว้างขณะที่ทั้งร่างกลายเป็นหมอกโลหิต จากนั้นลมประหลาดพัดเข้ามานำหมอกโลหิตออกไป

เหล่าเซียนทั้งหมดในโรงเตี๊ยมต่างตกใจกลัว ทั้งหมดต้องการออกไปแต่ไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวคนแรก ชายชราครุ่นคิดเล็กน้อย เขาลืมตาขึ้นและจ้องไปยังร่างเซียนขั้นแกนลมปราณระดับต้นคนหนึ่ง “เจ้าเข้ามาตรงนี้”

ร่างเซียนผู้นั้นสั่นสะท้านขณะที่เขาลุกพรวกและเคลื่อนไหวมาถึงชายชราพลางพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ผู้น้อยฉวี่มู่(許木 Xǔ mù)ขอคารวะผู้อาวุโส สิ่งใดที่ผู้อาวุโสต้องการโปรดถามไถ่ ผู้น้อยสาบานต่อแกนพลังสีทองของตัวเองว่าสิ่งที่ผู้น้อยพูดเป็นความจริง ขอโปรดเมตตา”

ชายชรารินเหล้าหนึ่งจอก หลังจากดื่มมันเขาก็พูดขึ้น “นับตั้งแต่เข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ทุกครั้งที่เรื่องชายคนนั้นเล่าลือกันทว่าพลังปราณในร่างเจ้าหลุดจากการควบคุม ข้าเดาว่าเจ้าต้องเคยเจอเขา”

ฉวี่มู่สูดหายใจลึก ความกลัวปรากฎในสายตาขณะที่กระซิบขึ้น “ผู้น้อยเคยเห็นเจ้าอสูรตนนั้นจริงๆ”

“มันมีระดับฝึกตนอะไร?” แสงลึกลับปรากฎในดวงตาชายชราขณะที่เขาถามคำถามขึ้น เขาต้องการรู้เรื่องนี้มากที่สุดนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสังหารชายหนุ่มเมื่อครู่ ชายหนุ่มคนนั้นพูดแต่เรื่องไร้ประโยชน์แต่ไม่เคยพูดระดับฝึกตนของมัน

“ขั้นแกนลมปราณระดับต้นครับ!” ฉวี่มู่รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยดังนั้นจึงรีบพูดเสริม “ผู้อาวุโส ชายคนนั้นดูเหมือนพึ่งจะบรรลุขั้นแกนลมปราณระดับต้น แต่เขามีสมบัติวิเศษสองชิ้น…”

เมื่อคำว่า “สมบัติวิเศษสองชิ้น” ผ่านเข้ามาท่าทางของชายชรายังคงเหมือนเดิมแต่ลอบตื่นตัว

“หนึ่งในนั้นเป็นกระบี่เหินที่สามารถเคลื่อนที่พริบตาได้….”

ชายชรารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยขณะที่รินอีกจอกและดื่มมัน

ฉวี่มู่สังเกตชายชราอย่างระมัดระวังขณะที่เขาพูดอย่างเคร่งเครียด “อีกหนึ่งชิ้นมันคือ….ผู้น้อยไม่เข้าใจจริงๆว่ามันคืออะไร ข้าเพียงแต่เห็นแสงสีแดงและมีบางสิ่งภายในแสงสีแดงนั้น ทว่าเมื่อถูกแสงสีแดงสัมผัสร่างกายของคนผู้นั้นจะหลงเหลือแต่เพียงโครงกระดูก”

ชายชราครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นยืนขึ้น วางหินวิญญาณระดับต่ำไว้ก้อนหนึ่งและจับฉวี่มู่ขึ้น ทั้งคู่เดินทางมากกว่าห้าร้อยลี้ทันที

ขณะที่เขาจากไปเหล่าเซียนทั้งหมดในโรงเตี๊ยมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว สามคำในหัวทุกคนคือ “วิญญาณแรกกำเนิด!”

ภายใต้การชี้นำของฉวี่มู่ ชายชราเคลื่อนที่พริบตาไปถึงสำนักปิศาจรบในครึ่งชั่วโมง เขากระจายสัมผัสวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมาและพบกับซางก้วนโม่

ซางก้วนโม่ตกใจ ชายชรานำจิตวิญญาณโลหิตอีกหยดของเขามาเชื่อมต่อกันระหว่างอีกหยดเพื่อติดตามหวังหลิน จากนั้นเขาโยนฉวี่มู่ลงและจากไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนหวังหลิน เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่อุ้มลี่มู่หวานไปด้วย กระบี่เหินเปิดสายหมอกหนาๆของทะเลปิศาจออกเป็นทาง

ทะเลปิศาจเต็มไปด้วยสายหมอกหนาตลอดทั้งปี แต่มีเพียงหนึ่งเดือนที่สายหมอกจะกลายเป็นน้ำ ทุกปีที่หวังหลินพักอยู่ในทะเลปิศาจระหว่างนั้นเขาปิดด่านฝึกตน จึงไม่ได้พบเจอกับปรากฎการณ์นี้

หนึ่งเดือนหลังจากเข้าเข้ามาในหุบเขาซากศพแห่งที่สิบสี่ สายหมอกเปลี่ยนเป็นทะเล เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทุกปีที่เขาใช้เวลาอยู่ที่นั่นและตอนนี้มันกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

ลี่มู่หวานแตกต่างกัน เธอใช้ชีวิตโดดเดี่ยวทุกปี ด้วยการป้องกันของค่ายกลทำให้ทะเลไม่อาจเข้ามาในถ้ำได้แต่เธอเห็นทะเลสีฟ้าภายนอกได้ชัดเจนพร้อมกับอสูรวิญญาณหายากหลายตัวที่สามารถว่ายน้ำได้

เวลาสี่ปีนั่นหมายถึงหมอกเปลี่ยนเป็นทะเลสี่ครั้ง ทุกครั้งลี่มู่หวานจัดการค่ายกลด้วยตัวเองและคลายใจหลังจากทะเลหายไป

สายหมอกตอนนี้หนามากกว่าครั้งแรกที่พวกเขามาถึงทะเลปิศาจ บางส่วนได้กลายเป็นแอ่งน้ำไปแล้ว

ขณะที่ทั้งสองเหาะเหินสูงขึ้น หมอกเริ่มหนาขึ้นและหนาขึ้นจนกระทั่งพวกเขารู้สึกกำลังว่ายในน้ำ

ลี่มู่หวานกระซิบ “มันกำลังกลายเป็นทะเล”

หวังหลินไม่ตอบ ทันใดนั้นเขาหยุดกึกมองด้านหลังและจ้องสังเกตสายหมอกรอบด้าน เขาเห็นได้ว่าสายหมอกเคลื่อนที่ช้าลงมากกว่าครั้งก่อนราวกับว่ามันกำลังถูกผลักไปข้างหน้า แม้แต่สิ่งมีชีวิตรอบด้านยังเคลื่อนที่กระจายไปทุกทิศทางยกเว้นทางข้างหน้า

ลี่มู่หวานเห็นท่าทางของหวังหลินพลันกระซิบขึ้น “ท่านพี่มีอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไร” หลังจากหวังหลินพูดจบเขาเหาะไปข้างหน้าเร็วกว่าเดิม เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นการเคลื่อนที่ของสายหมอก เห็นได้ชัดว่ามีบางคนเหาะเหินมาทางนี้เร็วมาก คนผู้นั้นที่กำลังไล่ล่าด้านหลังเขาเป็นเซียนที่แข็งแกร่งมากไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่สามารถสร้างผลกระทบกับสายหมอกเช่นนี้

อีกทั้งสิ่งมีชีวิตรอบด้านต่างกระจายไปทุกทิศทุกทางยกเว้นทางข้างหน้าเขา สิ่งนี้ทำให้หวังหลินมั่นใจมากกว่าเดิมว่ามีบางคนกำลังเข้าใกล้เขาจากด้านหลัง

ความจริงแล้วเรื่องนี้อธิบายได้ง่ายมาก หากมีกลุ่มปลาตัวเล็กกำลังว่ายในน้ำและจากนั้นกระบี่พุ่งผ่านพวกมันอย่างรวดเร็ว มันคงแตกกระเจิงทุกทิศทางทันทียกเว้นทางข้างหน้าพวกมัน

หวังหลินเคยเล่นน้ำใกล้หมู่บ้านกับเด็กคนอื่นตอนที่ยังเป็นเด็ก หลังจากเห็นเรื่องนี้เขาจึงเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและตรวจพบสิ่งผิดปกติได้

สายตาหวังหลินหนาวเย็นขณะที่เขานำน้ำพลังปราณออกมาและดื่มไปอึกใหญ่ แกนพลังสีทองในร่างเขาหมุนคว้างอย่างรวดเร็วขณะที่ดูดซับพลังปราณในน้ำที่ดื่มไป ทำให้เขาปลดปล่อยพลังปราณได้มากขึ้นเป็นผลให้ความเร็วเพิ่มขึ้นด้วย

ลี่มู่หวานรู้ได้สึกได้ถึงความเครียดของหวังหลิน เขารีบนำวัตถุดิบออกมาและสร้างค่ายกลอย่างง่ายๆโยนไปเบื้องหลังเขา

หวังหลินมองด้านหลังและเผยใบหน้าชื่นชม ลี่มู่หวานรู้สึกอบอุ่นในใจแต่เธอใช้พลังงานครั้งก่อนไปมากดังนั้นตอนนี้จึงรู้สึกราวกับไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ เมื่อเธอเห็นความเร้วของหวังหลินเพิ่มขึ้นหลังจากดื่มน้ำพลังปราณ เธอลังเลเล็กน้อยก่อนจะนำขวดน้ำพลังปราณที่หวังหลินให้เธอออกมา เธอดื่มไปไม่กี่หยดและรู้สึกตกใจทันทีพลางเก็บมันอย่างระมัดระวังและสร้างค่ายกลขนาดเล็กต่อไป

ขณะที่ทั้งสองเหาะเหินสูงขึ้น ในที่สุดพลังที่มองไม่เห็นได้ปรากฎตัวขึ้น มันเป็นแรงกดดันของทะเลที่เป็นเอกลักษณ์ของทะเลปิศาจ ใครก็ตามที่พยายามหนีจะเผชิญหน้ากับแรงกดดันนี้

สามหมื่นห้าพันลี้เบื้องหลังหวังหลิน ชายชราตบกระเป๋าและนำน้ำเต้าสีเขียวออกมา น้ำเต้าขยายขนาดหนึ่งร้อยเท่าทันที ชายชรานั่งบนน้ำเต้าอย่างลวกๆขณะที่มันเหาะเหินไปข้างหน้า ต้องขอบคุณน้ำเต้านี้ทำให้ความเร็วของเขาอย่างน้อยเพิ่มขึ้นสองเท่า

ขณะที่หวังหลินเคลื่อนที่ไปเขารู้สึกได้ถึงแรงพลักของสายหมอกที่กำลังแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าบางส่วนจะเป็นความเร็วของเขาเองทว่าหวังหลินสังเกตคนที่กำลังไล่ล่าเขาเพิ่มความเร็วของตัวเองด้วยวิธีการบางอย่าง

สายหมอกในทะเลปิศาจได้บางลงขณะที่น้ำจำนวนมากเริ่มปรากฎให้เห็น หากใครมองทะเลปิศาจจากด้านบนจะเห็นได้ว่าสายหมอกบางจนเห็นภายในได้

ภายใต้แสงจันทรา ทะเลปิศาจส่องประกายราวกับระดับน้ำหนึ่งชั้นได้สร้างขึ้น น้ำกระจายไปรอบๆเมื่อเวลาผ่านไปและคลื่นคำรามกู่ก้องเมื่อปะทะกับผืนดิน

ชายชราขมวดคิ้วขณะนั่งอยู่บนน้ำเต้า ด้านหน้าเขาเป็นค่ายกลที่กำลังเปิดใช้งานแม้ว่าค่ายกลพวกนั้นจะอ่อนแอและเขาไม่ได้ใส่ใจ หากเคลื่อนที่ต่อไปพร้อมกับโดนปะทะทีละชิ้นมันคงขัดขวางเขาเป็นแน่

ชายชราปล่อยลมหายใจออกมาขณะที่สะบัดแขนและตบเข้ากับน้ำเต้า ผนึกบนน้ำเต้าเปิดขึ้นและพลังอันรุนแรงพุ่งออกมา

ระลอกเริ่มกระจายออกจากปากน้ำเต้า ค่ายกลทั้งหมดปะทะเข้ากับคลื่นต่างถูกทำลายทันที แม้กระทั่งสายหมอกและทะเลก็ถูกผลักไปด้านข้างสร้างเป็นอุโมงค์ทางเดินด้านหน้า

ชายชรานั่งบนน้ำเต้าขณะพุ่งเข้าอุโมงค์อย่างรวดเร็ว

ร่างหวังหลินชุ่มไปด้วยน้ำ เขาดื่มน้ำพลังปราณไปอีกหนึ่งอึกและพุ่งเข้าหาทะเลที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

หวังหลินกอดลี่มู่หวานและผลักร่างตัวเองไปด้านหน้า ร่างกายเคลื่อนผ่านสายน้ำราวกับปลาตัวหนึ่ง ในไม่ช้าเขาก็เห็นพื้นผิว สายตากลายเป็นเย็นชาขณะที่ชี้เบื้องหน้าและกระบี่เหินหายไปทันที

จากนั้นหวังหลินลากลี่มู่หวานออกจากสายน้ำราวกับกระบี่เล่มหนึ่งแทงผ่านสวรรค์ ขณะที่ทั้งสองออกมาจากทะเล ทั้งคู่หายตัวไปในแสงเป็นรอยทาง

กระบี่ผลึกเคลื่อนไหวพร้อมกับจังหวะคลื่น รอคอยจังหวะโจมตี

ครึ่งชั่วโมงถัดมาน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฎขึ้นในทะเล น้ำวนนี้มีความกว้างราวสามสิบจ้างและเคลื่อนที่ไปทิศทางหนึ่ง

อุโมงค์สีดำเชื่อมต่อกับใต้ทะเลปิศาจที่ใจกลางน้ำวน น้ำเต้าสีเขียวค่อยๆลอยขึ้นมาจากอุโมงค์แห่งนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!