257. นั่นเจ้า!
หลัส่งต้าหนิวและพ่อของเขาออกไป หวังหลินนั่งลงถัดจากกองไฟและรู้สึกเศร้าหมอง สิบเหรียญทองนับว่าเป็นความมั่งคั่งมหาศาลสำหรับคนธรรมดา แต่สำหรับเหล่าเซียนมันเหมือนกับฝุ่นละอองที่พวกเขาเองยังไม่ยอมรับ
เขานั่งอยู่ในร้านอย่างเงียบๆ หยิบท่อนไม้ขึ้นมาและเริ่มต้นการแกะสลักอีกครั้ง
วันเวลาผ่านไปและอีกสามปีก็ผ่านไป ขนาดร้านค้าของต้าหนิวใหญ่ขึ้นมาสองเท่าและแม่ของเขาคิดว่ากิจการกำลังเป็นไปได้ด้วยดี ทว่ายิ่งกิจการดีขึ้นเท่าไหร่ต้าหนิวก็มีเวลาอิสระน้อยลงเท่านั้นเพื่อทำงานช่างเหล็กกับพ่อ
มีเพียงหลังจากร้านปิดลงเท่านั้นต้าหนิวจึงย้ายร่างอันเหนื่อยอ่อนพร้อมกับเหล้าผลไม้เข้ามาและดูหวังหลินแกะสลัก
ในระว่างการทำงานช่างเหล็กจนเสร็จสิ้น ร่างกายต้าหนิวยิ่งแข็งแกรงมากขึ้น เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีใส่เสื้อบางๆแทบไม่รู้สึกหนาวเลย
ทว่าริ้วรอยของครอบครัวของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้น
ภาพลักษณ์ของหวังหลินแตกต่างจากปีก่อนเช่นกัน เขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มอีกแล้วแต่เป็นชายวัยกลางคนที่มีริ้วรอยบนใบหน้า
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะหวังหลินจงใจให้เป็นแบบนี้ นอกจากนั้นหากใครไม่เปลี่ยนไปเลยในเวลาหกปีคงเป็นเรื่องเหลือเชื่อต่อเพื่อนบ้านที่จริงใจรอบๆนี้
ในที่ผ่านมาสามปี ซิ่วเต่าเริ่มเข้ามาบ่อยขึ้น เขาเข้ามาทุกเดือนพร้อมกับเหรียญเงิน เหรียญทองและเจตนาวาดภาพหวังหลินไว้ข้างๆ ในทุกครั้งชี้ให้เห็นว่าเขาได้รับคำสั่งมาจากองค์ชายเพื่อแสดงความเคารพต่อหวังหลิน
หวังหลินไม่มีความสนใจต่อองค์ชาย เขาเข้ามาเมืองหลวงด้วยจุดประสงค์เดียวและนั่นคือประสบการณ์ชีวิตคนทั่วไปเพื่อที่จะทะลวงผ่านระดับการฝึกฝนของเขาให้ได้
พูดถึงเรื่องระดับการฝึกฝน เขาขี้เกียจเกินกว่าจะเกี่ยวข้องกับการต่อสู้ทางอำนาจของคนทั่วไป
ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงของปีนี้ ต้นไม้บนถนนถูกสายลมพัดใบออกไปไกลและแตกกิ่งก้านสาขา
เหล่าผู้คนสามารถเห็นใบไหม้ทั้งหมดเกลื่อนถนน หวังหลินเดินออกจากร้านค้าพร้อมกับสวมเสื้อคลุมหนาและหมวกหนัก หากตอนนี้ใครก็ตามจากแคว้นจ้าวหรือแคว้นซูอยู่ที่นี่ พวกเขาคงไม่สามารถจดจำหวังหลินได้เลย คนผู้นี้คือหวังหลินที่เดินทางไปทั่วแคว้น สังหารผู้คนหลายพันและฝ่ามือเปื้อนไปด้วยโลหิตคนนั้น
แม้กระทั่งเหล่าเซียนที่เคยสู้กับเขามิอาจจะจดจำได้
ตอนนี้เขาดูไม่แตกต่างไปจากคนทั่วไป เรื่องนี้ไม่ได้เกิดเพียงภาพลักษณ์ของเขาเท่านั้น มันยังรวมไปถึงวิญญาณ กระทั่งกระดูกยังสึกหรอ เขาเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
หลังผ่านเวลาหกปีของการเป็นคนทั่วไป เขาได้กลายเป็คนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาดูแก่ลงเล็กน้อย แม้ว่าแผ่นหลังจะยังตั้งตรง เขาดูไม่ต่างไปจากชายวัยกลางคนบนถนนคนอื่นๆเลย
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนทั่วไปก็คือสายตา มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างสีขาวและสีดำแฝงด้วยแสงที่ทำให้เขาไม่เหมือนคนทั่วไป
สามปีที่ผ่านมาหวังหลินไม่ได้ฝึกฝนเลยและสารสีแดงได้ถูกเขาควบแน่นกลายเป็นลูกปัดโดยไม่รู้ตัวซึ่งเขาเก็บมันไว้ในกระเป๋า
หวังหลินเปิดประตูร้านและสายลมเย็นๆของฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้าใบหน้า หวังหลินกระชับคอเสื้อ ปิดประตูร้านและเดินออกไปไกล
ขณะนั้นเองเด็กหนุ่มค่อนข้างแข็งแกร่งเดินออกมาจากตรงข้ามถนน เขากำลังแบกถ่านที่แตกเสียหายมาถังหนึ่ง หลังจากออกมาจากร้านเขาเห็นหวังหลินและยิ้มขึ้น “ลุงหวังจะไปงานแสดงนั้นอีกแล้วหรือ?”
หวังหลินหันกลับและยิ้ม “ต้าหนิว นำเหล้ามาไหนึง”
ชายหนุ่มพยักหน้า เขาโยนถ่านไว้ด้านข้างและเดินเข้าไปในร้าน หลังจากนั้นไม่นานจึงวิ่งออกมาพร้อมกับเหล้าหนึ่งไห เขาเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย “ลุงหวัง ด้วยอายุของท่านไม่ควรจะดื่มมากนัก ดื่มเล็กน้อยให้อบอุ่นร่างกายก็พอ”
หวังหลินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาตบไหล่ต้าหนิวจากนั้นหันกลับและจากไป
ต้าหนิวมองแผ่นหลังของหวังหลินพลันรู้สึกขมขื่นในใจ ในหกปีนี้ลุงหวังมีอายุเพิ่มขึ้นเยอะ เขายังจดจำลุงหวังเมื่อหกปีก่อนได้ที่ยังมีพลังและดวงตาที่ส่องแสงราวกับดวงดาว
ไม้แกะสลักที่เหมือนจริงถูกแกะสลักขึ้นในมือเขาทีละตัว
เขายังจดจำตอนที่ลุงหวังพูดว่าเมื่อเขาทำเงินได้ก้อนโตจะกลับไปแต่งงานกับภรรยา ทว่าในหกปีที่ผ่านมานี้ต้าหนิวไม่เคยเห็นภรรยาของลุงหวังเลย ดังนั้นเขาจึงไม่เคยถามเรื่องนั้นอีกครั้ง
ต้าหนิวถอนหายใจและกลับเข้าไปในร้าน เขาได้เติบโตขึ้นเช่นกันดังนั้นตอนนี้งานหลักก็คืออยู่ในร้านเหล็ก แม้หลังจากร้านปิดก็ยังมีหลายสิ่งให้เขาต้องทำเยอะมาก งานอดิเรกที่เขาดูหวังหลินแกะสลักทุกวันไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่องอีกต่อไป
ทุกสองสามวันเขาจะหาเวลาเพื่อคลุกคลีกับลุงหวังผู้โดดเดี่ยวคนนี้บ้าง
มีความหนาวเย็นซ่อนอยู่ในสายลมปลายฤดูใบไม้ร่วงแห่งนี้ หวังหลินเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมที่มุมถนน เพียงเมื่อเข้าไปเสี่ยวเอ้อที่ดูสดใสพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าบนไหล่พูดขึ้น “ถ้าไม่ใช่เถ้าแก่หวัง เข้ามาได้เลย!”
หลังจากหวังหลินเข้าไป เขาถอดหมวกและยิ้มขึ้น “ข้าไม่ได้มีเหรียญเงินเป็นทิปให้เจ้าหรอกนะ ไม่ว่าเจ้าจะมีไมตรีแค่ไหนก็ช่วยไม่ได้”
เสี่ยวเอ้อยิ้มและเอ่ยขึ้น “ดูที่ท่านพูดสิ เถ้าแก่บอกไปแล้วว่าเก้าอี้ตัวแรกติดประตูหน้าต่างทิศตะวันตกถูกจองไว้ให้ท่านน่ะ” เช่นนั้นเขารีบเดินสองสามก้าวเข้าไปที่โต๊ะ กวาดมันด้วยผ้าเช็ดหน้าที่อยู่บนบ่าและโค้งคำนับก่อนจะออกมา
หวังหลินนั่งลงไปที่โต๊ะ ไม่นานนักเสี่ยวเอ้อนำจานสองสามใบและเตาถ่านเล็กๆพร้อมกับหม้อน้ำเดือนไว้ข้างน หวังหลินวางวางไหเหล้าในหม้อน้ำเพื่ออบอุ่นมัน
นานๆทีเขาถึงจะรินแก้วนึงให้ตัวเองดื่ม เขานั่งอยู่ที่นี่มองผู้คนค่อยๆเข้ามาในโรงเตี๊ยมมากขึ้น หลังผ่านไปเวลาครึ่งชั่วโมง นักแสดงออกมาจากหลังโรงเตี๊ยมและแขกทั้งหมดเริ่มส่งเสียงร่าเริง
ในเหล่านักแสดงมีสตรีคนหนึ่งที่ดูน่ารักสดใส แขกส่วนใหญ่ในโรงเตี๊ยมอยู่ที่นี่เพื่อมองนาง
สายตาของนางสวยสดงดงามมาก แขนเสื้อยาวๆของนางเต้นระบำขณะที่นางเริ่มร้องเพลง
น้ำเสียงดึงดูดใจทำให้ลูกค้าในโรงเตี๊ยมต่างร้องตะโกนสรรเสริญ ในชั่วขณะนั้นอารมณ์เพิ่มขึ้นถึงจุดสุดยอด
หวังหลินยิ้มขณะมองสตรีนางนั้นร้องเพลง เขาใช้เวลาของเขาแบบนี้มามากกว่าหนึ่งปี
หลังจากนั้นไม่นานชายวัยกลางคนร่างอ้วนสวมชุดคลุมหนาเดินออกมาจากด้านหลังและนั่งลงโต๊ะเดียวกันกับหวังหลิน เมื่อเขามาถึง เสี่ยวเอ้อรีบนำเหล้ามาให้เขา
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนรีบเทใส่ถ้วยและดื่มมัน เขามองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่หวัง เรื่องนี้..”
หวังหลินยกไหเหล้าขึ้นมาดื่มไปหนึ่งจิบและเอ่ยขึ้น “เถ้าแก่ลี วันนี้ข้าไม่ได้มาเพื่อเก็บค่าเช่า สบายใจได้น่า”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนยิ้มขึ้นและเอ่ยออกมา “กิจการเร็วๆนี้ไม่ได้ดีนัก วันนี้มีลูกค้าเยอะไม่ได้แปลว่าดี ข้าใช้เงินไปมากเพื่อจ้ากลุ่มนี้มาแสดง กิจการเช่นนี้ไม่ง่ายเลย”
หวังหลินยิ้ม เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแลเพียงจ้องมองการแสดงอย่างเงียบๆ ชายคนนี้ชื่อลี ส่วนชื่อจริงหวังหลินไม่ทราบนัก สองปีก่อนเขาเข้ามาหาหวังหลินและจำนำร้านแห่งนี้เพื่อยืมเงินยี่สิบเหรียญทองจากหวังหลิน วันนี้เขายังไม่ได้จ่ายหวังหลินคืน ดังนั้นร้านแห่งจึงเป็นของหวังหลินในตอนนี้
ปีที่ผ่านมา เขาเห็นหวังหลินเข้ามาทุกวัน นั่นทำให้เขารู้สึกเคร่งเครียดดังนั้นจึงมักจะเข้ามาตรวจสอบจุดประสงค์ของหวังหลินอยู่บ่อยๆ
ขณะที่สายตานักแสดงสตรีกวาดผ่านฝูงชน ผู้ชมทั้งหมดส่งเสียงให้กำลังใจ ขณะนั้นน้ำเสียงหนึ่งดังออกมาจากนอกโรงเตี๊ยม “เฮ้ สุดที่รักคนนี้ร้องเพลงดีจริงๆ นางยั่วยวนข้ามาให้มาที่นี่จากฝั่งเหนือเลยนะ”
หลังจากพูดเช่นนั้นชายชราสวมชุดคลุมสีเทาเดินเข้ามา เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ใบหน้าฟกช้ำและมีรอยเท้าใหญ่บนอก
เมื่อเดินเข้ามาเขาเริ่มร้องตะโกน เสี่ยวเอ้อขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้น “ขอทานคนนี้มาจากไหนกันนี่? วันนี้ไม่มีเงินให้เจ้าหรอก!” เช่นนั้นเขาเดินขึ้นเพื่อจะผลักขอทานไปไกลๆ
ชายชราจ้องมองเขาและเอ่ย “เจ้ากล้าแตะต้องข้าหรือ? ถ้าเจ้าเตะต้องข้า ข้าจะนอนลงที่นี่และวันนี้จะไม่ลุกขึ้นอีกเลย ข้ามาฟังเสียงเพลง!”
เมื่อหวังหลินเห็นชายชรา แสงที่ไม่ส่องส่องในแววตามาหลายปีพลันลุกโชนขึ้น ชายชราคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นคนที่หลอกมื้ออาหารเขาเมื่อหกหรือเจ็ดปีก่อน
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมซึ่งนั่งถัดจากหวังหลินพลันยืนขึ้น เขาคุ้ยเหรียญทองแดงในกระเป๋าและโยนไปที่ชายชราพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ข้าให้เงินเจ้าแล้วก็ออกไปซะ เจ้าทำลายบรรยากาศเสียหมด”
ชายชราหยิบเหรียญขึ้นและกัดมัน เขายิ้มไปที่เสี่ยวเอ้อและเอ่ยขึ้น “ของจริง แข็งกว่าทอง ดูสิเถ้าแก่ของเจ้ายังรู้ว่าต้องทำอะไร ฮี่ฮี่” เช่นนั้นเขาโยนเหรียญใส่มือเสี่ยวเอ้อ “ชาถ้วยนึง!”
จากนั้นดวงตากวาดไปทั่วบริเวณ สายตาตกลงบนหวังหลินและเดินเข้าหา ไม่ใช่ว่าเขาจดจำหวังหลินได้แต่มีเพียงที่นั่งเดียวในโรงเตี๊ยมที่ว่างอยู่ถัดจากหวังหลิน
เสี่ยวเอ้อตกใจ เขามองเหรียญทองแดงและหันไปที่เถ้าแก่ เขาเห็นขอทานมาเยอะแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นขอทานกัดเหรียญทองแดงและใช้มันชื่อน้ำชา
ใบหน้าชายอ้วนวัยกลางคนบิดเบี้ยว เขาดึงแขนเสื้อขึ้นเพื่อจะโยนชายชราออกไปแต่หวังหลินรั้งมือเขาไว้และเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ”
ชายวัยกลางคนร่างอ้วนหยุดทันที เขาลังเลเล็กน้อย พึมพำสองสามคำและหันกลับเข้าไปหลังร้าน
ชายชรายิ้มอย่างซุกซน เขามองหวังหลินและเอ่ยขึ้น “เจ้า….” ขณะที่กำลังจะพูด พลันตกตะลึงเมื่อจ้องหวังหลินอย่างละเอียดยิบและเผยใบหน้าตกใจ “นั่นเจ้า!”