Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 305

Cover Renegade Immortal 1

305. วิญญาณเร่ร่อนแสดงอำนาจ

วิญญาณเร่ร่อนหลายหมื่นตัวแผดเสียงร้องขณะที่พวกมันหมุนวนรอบตัวหวังหลิน แววตาเยือกเย็นแต่ละตัวมองไปที่ผู้คนที่ยืนอยู่บนแท่นเป็นบางครั้ง

วิญญาณเร่ร่อนเหล่านี้เป็นวิญญาณเร่ร่อนของจริงจากสนามรบต่างแดน หวังหลินใช้ความพยายามมากมายเพื่อผ่านกฎแห่งโลกใบนั้นเพื่อนำพวกมันออกมา

ความจริงหวังหลินเก็บรวบรวมมาได้มากกว่าแสนตัวในหลายปีที่เขาใช้เวลาอยู่ในสนามรบต่างแดนแต่หวังหลินเอาออกมาครั้งนี้เพียงแค่หมื่นตัวเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างวิญญาณเร่ร่อนและเหล่าปิศาจก็คือไม่ว่าศัตรูจะมีระดับฝึกตนอะไร พวกมันจะกระโจนเข้าใส่ทุกครั้งต่อให้หมายถึงการหลอมละลายร่างตัวเองก็ตาม

หวังหลินไม่ได้ต้องการทดสอบว่าเขาสามารถสังหารเซียนขั้ตัดวิญญาณด้วยการใช้วิญญาณเร่ร่อนทั้งหมดหนึ่งหมื่นตัวได้หรือไม่ นอกจากนั้นแล้วเขาไม่ต้องการให้วิญญาณเร่ร่อนที่ใช้ความพยายามมาอย่างยากลำบากพวกนี้เสียเปล่า เว้นแต่ว่าจะถึงคราวจำเป็นจริงๆ

แต่หวังหลินนึกถึงตอนที่จักรพรรดิโบราณถูกวิญญาณเร่ร่อนจู่โจมนับไม่ถ้วนจนเสียชีวิตไป

ในเหล่าวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้มีหนึ่งตัวที่แตกต่างจากตัวอื่นทั้งหมด แม้ว่ามันจะดูเหมือนกันแต่สายตาของมันมีความฉลาดซ่อนอยู่ มันคือเจ้าปิศาจฉวี่ลี่กั๋ว

มันรู้สึกภูมิใจมากขณะที่คิดว่าเจ้านายยังเอาใจใส่มันจริงๆ ปิศาจตัวที่สาม ตัวที่สี่ และตัวที่ห้าตายไปหมดแล้วแต่มีมันอยู่ที่นี่ รอบข้างเต็มไปด้วยผู้อาวุโสดังนั้นมันจึงรู้สึกปลอดภัยมากในตอนนี้

วังวนวิญญาณเร่ร่อนขนาดใหญ่มาก ผู้คนบนแท่นทั้งหมดกำลังจ้องมอง หนึ่งในนั้นให้ความสนใจอย่างมาก สายตาเขาสว่างขึ้นและสัญลักษณ์รูปขวานบนหน้าผากจางลงและหายไป

คนผู้นี้คือสมาชิกของเผ่ามารยักษ์ที่มาจากดาวเคราะห์ซูซาคุเช่นเดียวกัน

เขาสามารถระบุตัวตนหวังหลินได้ในทันทีและขบคิดเงียบๆ

หนึ่งในคนที่อยู่บนแท่นคือชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อโค้ทสีเทา ดวงตาของเขามืดมิด จมูกเบี้ยวนิดหน่อยและดูโศกเศร้ามาก เขามองไปยังตำแหน่งที่หวังหลินอยู่และก้าวเข้าหาเขา

สมาชิกของเผ่ามารยักษ์มองคนผู้นี้แต่เขาไม่ได้เอ่ยอะไรแต่กลับเผยใบหน้าเยาะเย้ยแทน ในสายตาเขาระดับฝึกฝนของคนผู้นี้ไม่ได้มีขั้นตัดวิญญาณเลยด้วยซ้ำ เป็นเพียงแค่วิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเท่านั้น จะเอาชีวิตของเซียนขั้นตัดวิญญาณผู้หนึ่งด้วยระดับฝึกฝนเช่นนี้ก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระแทกก้อนหิน

ชายชุดเทาเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังและเข้าใกล้วิญญาณเร่ร่อน เขาเริ่มร่ายมนต์และบอลอัคคีดำสร้างขึ้นในฝ่ามือ

เมื่อเปลวไฟสีดำปรากฎจึงเกิดคลื่นความร้อนกระจายออกมา

เขามองหวังหลินด้วยสายตาแห่งความโลภและโยนเปลวไฟเข้าใส่เขา

ขณะนั้นวิญญาณเร่ร่อนที่กำลังหมุนวนรอบหวังหลินพลันหยุดลงทันทีและจ้องชายเสื้อคลุมสีเทาทำให้เขาก้าวถอยหลัง

แต่ทันใดนั้นวิญญาณเร่ร่อนร้องเสียงแหลมและกระจายออก หนึ่งในสามของวิญญาณเร่ร่อนกระโจนเข้าใส่เปลวไฟดำและที่เหลือสองในสามกระโดดเข้าใส่ชายชุดคลุมสีเทา เหตุการณ์นี้ทำให้ตกใจอย่างมาก

ชายชุดเทาหน้าเปลี่ยนสีทันทีพร้อมกับนำกระบี่เหินออกมา เขาชี้นิ้วไปและกระบี่เหินลอยออกเข้าใส่เหล่าวิญญาณเร่ร่อน

ทว่าวิญญาณเร่ร่อนพวกนี้ไม่ใช่พวกปิศาจดังนั้นพวกมันจึงมีความต้านทานต่อบทเวทย์ประมาณนึง กระบี่เหินจึงทำไ้ดเพียงแค่ชะลอตัวลงช้าๆข้างหน้าขณะที่ส่วนที่เหลือมาถึงเบื้องหน้าชายชุดเทาและกระโจนเข้าใส่

เมื่อวิญญาณเร่ร่อนประมาณเจ็ดถึงแปดตัวเข้าไปในร่างชายชุดเทาทำให้ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที เขากัดลิ้นตนเองเล็กน้อยและพ่นโลหิตออกมากลายเป็นเปลวไฟอย่างรวดเร็ว เปลวไฟล้อมรอบตัวเขาในทันทีขณะนั่งลงเพื่อพยายามฝืนให้วิญญาณเร่ร่อนออกจากร่างกาย

ข้างนอกเปลวไฟที่กำลังล้อมรอบตัวเขานั้น วิญญาณเร่ร่อนจำนวนมากได้ล้อมรอบเปลวไฟและกระโดดเข้าใส่มัน เปลวไฟอ่อนแอลงอย่างช้าๆราวกับพร้อมจะหายไปได้ทุกเมื่อ

ส่วนเปลวไฟสีดำที่ถูกโยนออกไปกลับถูกเหล่าวิญญาณเร่ร่อนกระโจนเข้าใส่และอ่อนแอลง แม้ว่ามีวิญญาณเร่ร่อนไม่กี่ตัวที่ตายในตอนท้าย แต่เปลวไฟหายไปเมื่อมันห่างจากหวังหลินได้สามสิบฟุต

วิญญาณเร่ร่อนที่เหลือไม่ได้โจมตีแต่ล้อมรอบหวังหลินและจ้องมองผู้คนบนแท่นอย่างเยือกเย็น

ชายชุดคลุมสีเทาลอบสาปแช่งและเสียใจที่เขาลงมือไปแม้จะรู้ว่าผู้คนที่มาที่นี่ทั้งหมดต่างเตรียมการมาอย่างดีและถือได้ว่าเป็นหัวกะทิชั้นยอดของดาวเคราะห์เซียนของตนเอง

แต่เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถสร้างบาดแผลสาหัสให้กับฝ่ายตรงข้ามได้จนเกิดความหวาดกลัว หากฝ่ายตรงข้ามมีพลังเต็มที่ วันนี้เขาต้องตายที่นี่แล้ว

เมื่อเห็ฯว่าเปลวไฟรอบตัวเขากำลังจะหายไปและยังเหลือสิ่งมีชีวิตลึกลับพวกนี้อยู่มาก ชายชุดคลุมสีเทากัดฟันกรอดและสะบัดแขน จากนั้นหม้อเล็กๆปรากฎเบื้องหน้าศีรษะเขา แววตาเผยใบหน้าไม่เต็มใจขณะที่ใช้มันเพื่อกลับดาวเคราะห์เซียนของตัวเอง

ทว่าขณะที่เขาเตรียมการที่จะเปิดหม้อใบหน้า หวังหลินลืมตาขึ้นทันทีและยื่นมือออกมา หม้อเหล็กหลุดจากแขนเขาทันทีและลอยเข้าหาฝ่ามือหวังหลิน

ใบหน้าชายชุดคลุมสีเทาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที เหม็ดเหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นบนหน้าผาก

ใบหน้าหวังหลินมืดมนขณะบีบฝ่ามือจนเกิดเป็นฟองปะทุและเปลวไฟรอบชายชุดคลุมสีเทาที่กำลังจางหายได้หายวับไปโดยสิ้นเชิง

ขณะที่เปลวไฟหายไป ชายชุดคลุมสีเทากรีดร้องอย่างประสาทเสียและเคลื่อนย้ายพริบตาเข้าหาวังวนทันที ในสายตาเขา ทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดคือเข้าไปในดินแดนสวรรค์

แต่มันสายเกินไปแล้ว ความเร็วของวิญญาณเร่ร่อนกระทั่งเร็วมากกว่าเขา ขณะที่เขาปรากฎตัววิญญาณเร่ร่อนนับไม่ถ้วนได้มาถึงก่อนแล้วและเข้าไปในร่าง ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะฟุบลงบนแท่นด้วยเสียงร้องโหยหวน ร่างกายกระตุกชั่วครู่ก่อนจะแน่นิ่ง

เลือดเนื้อบนร่างค่อยๆหายไปจนกลายเป็นโครงกระดูก แต่ละคนต่างเห็นเหล่าวิญญาณเร่ร่อนเคลื่อนไหวผุบๆโผล่ๆบนร่างเขาอย่างมีความสุข

แววตาหวังหลินสว่างขึ้น ภายใต้คำสั่งของเขาวิญญาณเร่ร่อนรอบๆกลับเข้ามาและหายไปในระหว่างคิ้ว

ขณะนี้เองชายกำยำจากเผ่ามารยักษ์หัวเราะออกมา เขาก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวและเอ่ยขึ้น “สหายเซียน เกิดอะไรขึ้นจนทำให้อยู่สภาวะที่แม้แต่เซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดยังกล้าโลภต่อเจ้าเช่นนี้?”

หวังหลินมองเขาและเอ่ยด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ดินแดนสวรรค์ส่วนหนึ่งล่มสลาย”

ชายจากเผ่ามารยักษ์ตกตะลึง เขามองหวังหลินด้วยใบหน้าประหลาดใจ “สหายเซียน ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถหนีรอดจากการล่มสลายของชิ้นส่วนดินแดนสวรรค์ได้ ข้าชื่นชมเจ้าจริงๆ! ข้าฉีหูจากเผ่ามารยักษ์ เจ้าชื่ออะไร?”

หวังหลินส่ายศีรษะและเอ่ยตอบ “แค่โชคดีเท่านั้น ชื่อชื่อเซิ่งหนิว!” เมื่อคิดเรื่องการล่มสลายของชิ้นส่วนแดนสวรรค์จึงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว หากหวังหลินไม่มุทะลุกลืนกินหยกสวรรค์ เขาคงตายไปแล้ว

“เซิ่งหนิว..” ฉีหูครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่สายตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดและถามขึ้น “หรือสหายเซียนเป็นสมาชิกตระกูลเซิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเซียนอันดับห้าวิญญาณสวรรค์ในทิศใต้ของดาวเคราะห์ซูซาคุ?”

หวังหลินตกตะลึงและส่ายศีรษะอย่างเงียบๆ

ฉีหูคิดอยู่พักใหญ่ แคว้นเซียนอันดับสูงกับตระกูลเซิ่งมีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือแคว้นวิญญาณสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ยอมรับมัน ฉีหูไม่เชื่อว่าเซิ่งหนิวจะได้รับระดับฝึกตนมาด้วยตัวเอง เขาเชื่อว่าเซิ่งหนิวคนนี้เป็นศิษย์หลักที่ถูกแคว้นเซียนอันดับห้าฝึกฝนมา

ไม่เช่นนั้นหากเป็นคนจากแคว้นเซียนอันดับสี่ ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จัก

กล่าวได้ว่าเผ่ามารยักษ์เป็นแคว้นเซียนอันดับสี่ดังนั้นจึงรู้จักอัจฉริยะของแคว้นเซียนอันดับสี่คนอื่นๆ หลังคิดเรื่องนี้ท่าทีที่เขามีต่อหวังหลินได้เปลี่ยนไปมาก แต่ด้วยระดับฝึกฝนของเขาจึงไม่เปิดเผยมัน

ฉีหูลังเลเล็กน้อยและถามอย่างช้าๆ “น้องเซิ่ง ขอข้าเข้าไปคุยกับเจ้าใกล้ๆได้ไหม?”

หวังหลินมองเขาด้วยแววตาสงบนิ่งและพยักหน้า

ฉีหูเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วจนถึงขอบแท่นที่หวังหลินกำลังยืนอยู่ เขาโบกแขนอย่างลวกๆเกิดเป็นม่านแสงขึ้น

ใบหน้าหวังหลินยังคงเดิมแต่ลอบระมัดระวังตัว

ฉีหูพูดอย่างจริงใจ “น้องเซิ่ง นับตั้งแต่ที่เรามาจากซูซาคุเหมือนกัน ข้าหวังว่าเจ้าสามารถช่วยข้าได้!”

หวังหลินยิ้ม “โอ้? หากพี่ฉีหูมีปัญหาอะไรก็บอกมาเถิด”

ฉีหูกัดฟันแน่นนำหินหยกออกมาโยนเข้าหาหวังหลิน จากนั้นเอ่ยขึ้น “เมื่อสหายเซียนเห็นสิ่งนี้ เจ้าจะเข้าใจ”

หวังหลินรับหินหยกและตรวจสอบมันด้วยสัมผัสวิญญาณ แม้แต่หวังหลินเองก็ช่วยไม่ได้ที่หลุดการควบคุมอารมณ์ของตัวเองเล็กน้อย หินหยกนี้บรรจุภาพบันทึกด้วยสัมผัสวิญญาณไว้ นี่คือฉากที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่ง มันเต็มไปด้วยดอกไม้ ใบหน้าสีเขียวและน้ำสดใส

สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่สระน้ำหนึ่ง สิ่งที่ลอยอยู่บนสระน้ำคือโลงศพหยก

กระบี่สวรรค์สามเล่มผสานกันข้างนอกโลงศพหยก กระบี่เหล่านี้ดูช่างคล้ายคลึงกับเล่มที่อยู่ในมือโครงกระดูกสีดำนั่น

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รูม่านตาหวังหลินหดเล็กนั่นก็คือถ้าเขาเดาไม่ผิด ทั้งโลงศพหยกนี้ถูกสร้างจากหินหยกสวรรค์

ในขณะเดียวกันมีพืชพรรณหลากหลายชนิดลอยอยู่บนสระน้ำแห่งนี้ ชัดเจนแล้วว่าพืชพวกนี้ไม่ใช่ของทั่วไป

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะยื่นหินหยกกลับไปให้ฉีหู เขายังเงียบเสียง

ฉีหูมองหวังหลินและกระซิบ “น้องเซิ่ง สถานที่แห่งนี้ถูกพบขึ้นโดยหนึ่งในอัจฉริยะของเผ่ามารยักษ์เมื่อหลายปีก่อนตอนที่เขามาที่นี่ เขาพบมันโดยบังเอิญแต่มันถูกพิทักษ์โดยอสูรสวรรค์และกฎเกณฑ์อันทรงพลังและเพราะเขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งเพียงพอจึงบันทึกสถานที่แห่งนี้ไว้อย่างลับๆและกลับมา”

หวังหลินครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้น “นั่นมันหลายปีมาแล้ว มันอาจจะถูกคนอื่นพบไปก็ได้”

ฉีหูยิ้ม “เป็นไปไม่ได้ น้องเซิ่ง ข้าสัญญากับเจ้าว่าสถานที่แห่งนี้ยังไม่ถูกคนอื่นพบ ขออภัยด้วยแต่ข้าไม่สามารถบอกเหตุผลได้ในตอนนี้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!