307. ราชรถสังหารเทพ
ถ้ำแห่งนี้มีทั้งหมดเก้าห้องและทุกห้องว่างเปล่า แต่ขณะนั้นสายตาหวังหลินจ้องไปในห้องที่ใหญ่ที่สุดด้วยใบหน้าครุ่นคิด
ข้อมูลจากเศษโลหะได้บอกวิธีการเปิดประตูห้องเหล่านี้อย่างชัดเจนและมีทั้งหมดสิบห้อง ตำแหน่งของราชรถสังหารเทพอยู่ในห้องที่สิบ
“มีเพียงเก้าห้อง ห้องที่สิบอยู่ไหนกัน?” หวังหลินขมวดคิ้วเมื่อพบว่าหลังกระจายสัมผัสวิญญาณออกกลับไม่เจอสิ่งใดอีก
หวังหลินก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวและสัมผัสผนัง ผนังให้ความรู้สึกหนาวเย็นแต่ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนจะตบกระเป๋า เศษโลหะปรากฎบนฝ่ามือ
ขณะที่โลหะปรากฎมันปลดปล่อยแสงสว่างทันทีและเริ่มร้อนขึ้น หวังหลินรู้สึกตื่นเต้น เขาถอยหลังและโยนเศษโลหะเข้าไปบนอากาศ
ทันใดนั้นเศษโลหะเริ่มสว่างขึ้นและสว่างขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมันละลาย ทว่ามันไม่หยดลงมาเลยแต่กลับเปลี่ยนเป็นควันก้อนเมฆแทน
ข้างในควันรูปร่างทรงเห็ดนี้มีร่างหนึ่งค่อยๆก่อขึ้น เขาผู้นี้ดูหล่อเหลามาก เส้นผมพริ้วไหวแม้ไม่มีลมพัด สัมผัสความสูงส่งออกมาจากตัวเขา
ดวงตาหวังหลินสว่างขึ้นขณะก้าวถอยหลังและต่อมามองด้วยสายตาเยือกเย็น
หลังร่างนี้ปรากฎขึ้นเขาสร้างผนึกจนเกิดเป็นลำแสงสีทองปกคลุมตลอดทั้งถ้ำ ทันใดนั้นเกิดเสียงดังก้องพร้อมกับถ้ำเริ่มจมลง
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าหวังหลินสั่นไหวแต่เขาสงบนิ่งพร้อมกับสังเกตการณ์รอบด้านอย่างระมัดระวัง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ทั้งถ้ำก็เริ่มหยุดสั่นไหว บนกำแพงหนึ่งปรากฎประตูสีเรืองแสงสีม่วงขึ้น
ร่างนั้นสร้างผนึกประหลาดหลายชุดและชี้ไปที่ประตูสีม่วงก่อนจะหายวับไป แม้กระทั่งเศษโลหะก็หายไปด้วยเช่นกัน
หวังหลินสูดหายใจลึกและหันกลับไปจ้องประตูม่วง เมื่อรวมกับประตูบานนี้ ถ้ำจึงมีทั้งหมดสิบห้อง
หวังหลินลอบคิดขึ้นว่า ‘ร่างคนผู้นั้นต้องเป็นเทวดาสมบัติสวรรค์ เขาเป็นปรมาจารย์การหลอมสมบัติตัวจริง แม้คนจะหาถ้ำนี้เจอก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถค้นหาสมบัติของจริงข้างในได้’
หวังหลินเดินเข้าไปที่ประตูม่วง หลังขบคิดเล็กน้อยเขาสร้างผนึกที่ร่างนั้นแสดงให้เห็นและกดลงบนประตู
ประตูขยับเขยื้อนทันทีและค่อยๆเปิดออก
สัมผัสวิญญาณของหวังหลินกระจายออกไปและสายตาสว่างขึ้นทันที
ห้องที่สิบนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เครื่องมือทั้งหลายกระจัดกระจายไปด้านข้าง สายตาจับจ้องไปยังของมหึมาสามชิ้นที่อยู่ตรงกลาง
ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงเลยที่จะบอกว่าพวกมันเป็นของชิ้นมหึมาเพราะของเหล่านี้ดูเหมือนจะปกคลุมด้วยสิ่งที่คล้ายกับหนังสัตว์และสิ่งที่โผล่ออกมาคือหนามแหลมจำนวนมากซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดเท่ากับคนผู้หนึ่ง
นี่เป็นเพียงแค่ส่วนบนของมัน ส่วนล่างเป็นเหมือนกับรถศึกสงครามขนาดใหญ่ที่มีล้อเลื่อนขนาดใหญ่สี่ล้อ
ราชรถเหล่านี้มีความกว้างราวๆสิบฟุต ทั้งสามชิ้นตั้งอยู่ตรงกลางซึ่งใช้พื้นที่เกือบเต็มห้อง
เมื่อหวังหลินเดินเข้ามาข้างใน วิญญาณอสูรทั้งสามตัวปรากฎเหนือราชรถแต่ละตัวตามลำดับ พวกมันดูดุร้ายป่าเถื่อนมากกว่าราชรถแต่ละคันเสียอีกและพวกมันเริ่มร้องคำรามไปที่หวังหลิน
วิญญาณของพวกมันบรรจุพลังที่ทำให้แม้แต่วิญญาณคนธรรมดาต้องสั่นคลอน เสียงคำรามแต่ละตัวเต็มไปด้วยพละกำลังที่เฉียบแหลมจนทำให้ทั้งถ้ำสั่นไหว
หนึ่งในนั้นมีหัวทรงสามเหลี่ยมและร่างกายเป็นวัว หางด้านหลังดูดุร้ายมากซึ่งคล้ายกับมีดวงตา จมูกและปากอยู่บนหาง ไม่ผิดที่จะบอกว่ามันมีสองหัว
หลังเห็นอสูรตัวนี้หวังหลินค้นหาผ่านความทรงจำของตู่ซือทันทีแต่เขาไม่พบอะไรเลย อย่างไรก็ตามมีสัตว์มากมายหลายรูปแบบในจักรวาลดังนั้นเป็นปกติที่ตู่ซือจะไม่รู้จักหรือไม่เคยพบเห็น
วิญญาณสัตว์ทั้งสามตัวดูคล้ายคลึงกัน ความแตกต่างเดียวระหว่างพวกมันคือขนาด ตัวที่อยู่ตรงกลางดูใหญ่มากกว่าอีกสองตัวที่อยู่ข้างๆ
หลังวิญญาณสัตว์ทั้งสามตัวปรากฎ ดวงตาแดงฉานจับจ้องไปบนหวังหลินด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร พวกมันร้องคำรามพร้อมกับพุ่งไปข้างหน้าเพื่อพยายามกินหวังหลิน
สายตาหวังหลินสงบนิ่งพลันก้าวถอยหลังก้าวนึง
แต่ขณะที่วิญญาณทั้งสามดวงกระโดดไปข้างหน้า โซ่ตรวนหนาเท่าแขนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎบนพวกมัน โซ่ตรวนเหล่านี้ผ่านวิญญาณสัตว์ไปและเริ่มเรืองแสงเมื่อพวกมันเข้าใกล้หวังหลินระยะสามฟุต
วิญญาณสัตว์ทั้งสามร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดทันทีพร้อมกับร่างพวกมันถูกโซ่ตรวนลากกลับไปและตรึงไว้บนราชรถ
มีเพียงวิญญาณสัตว์ตัวใหญ่ตรงกลางที่ได้พุ่งออกไปอีกไม่กี่ฟุตเบื้องหน้าก่อนจะถูกลากกลับด้วยความเจ็บปวด
แต่วิญญารสัตว์ทั้งสามดวงไม่เต็มใจยอมแพ้และเริ่มต่อสู้ ถ้ำเริ่มสั่นไหวราวกับจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ
หวังหลินสงบจิตใจตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชื่อของวิญญาณสัตว์พวกนี้ หวังหลินได้ศึกษาวิธีการควบคุมพวกมันจากเศษโลหะ เขารู้ว่าราชรถแต่ละคันบรรจุวิญญาณสัตว์ไว้และโซ่ตรวนพวกนั้นป้องกันไม่ให้พวกมันออกมาจากราชรถได้มากกว่าสามฟุต
เมื่อมองวิญญาณสัตว์ทั้งสามดวงที่กำลังต่อสู้ หวังหลินสร้างผนึกตามข้อมูลจากเศษโลหะอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาสร้างผนึกแต่ละอันได้สำเร็จได้กลายไปเป็นวงแหวนสีดำอย่างรวดเร็ว
หลังวิญญาณสัตว์ทั้งสามดวงเห็นวงแหวน พวกมันเริ่มดิ้นรนมากขึ้น
หวังหลินค่อยๆผนึกเร็วมากขึ้นและวงแหวนเริ่มปรากฎมากขึ้น ในไม่นานมาวงแหวนมากกว่าร้อยวงเต็มไปทั่วห้อง เมื่อเขาชี้ไป วงแหวนทั้งหมดลอยเข้าหาราชรถคันหนึ่ง
“ผนึก!”
วงแหวนทั้งหมดตกลงมาราวกับสายฝนและห่อรอบๆราชรถคันนั้น
วิญญาณสัตว์ในราชรถร้องคำรามและท่าทางหมดหวัง วงแหวนห่อหุ้มรอบตัวมันจากนั้นราชรถลอยขึ้นไปบนอากาศ
ขณะที่ลอยขึ้น ขนาดของราชรถได้เปลี่ยนไป มันหดเล็กลงจนมีขนาดเท่าฝ่ามือและร่อนลงบนอุ้งมือเขา
หวังหลินมองมันหนึ่งคราก่อนจะวางมันใส่ในกระเป๋า
หากเขาต้องการใช้ราชรถพวกนี้ หวังหลินต้องสามารถกำราบวิญญาณสัตว์พวกนี้ให้ได้ ทว่าด้วยพลังความสามารถในปัจจุบันของหวังหลินไม่พอให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นจึงทำได้แต่ใช้วิธีการของเศษโลหะและเก็บวิญญาณสัตว์อยู่ในสภาวะหลับไหล
ความทรงเทวดาสมบัติสวรรค์ไม่เคยคิดว่าเซียนขั้นตัดวิญญาณจะได้ราชรถสังหารเทพไว้ครอบครอง เขาเชื่อว่าคนผู้นั้นต้องมีระดับขั้นอย่างน้อยคือเซียนแปลงวิญญาณ ซึ่งแม้แต่ขั้นนี้ก็แทบจะควบคุมไม่ได้แล้ว
หลังเก็บราชรถไป เขาหันไปอีกหนึ่งคันและใช้วิธีเดียวกันเพื่อผนึกวิญญาณสัตว์ที่อยู่ข้างใน
ในที่สุดก็เหลือเพียงราชรถคันเดียว คันนี้มีวิญญาณสัตว์ที่เล็กที่สุดแต่มันยังไม่ใช่สิ่งที่หวังหลินสามารถควบคุมได้ตอนนี้
หลังเห็นวิญญาณเพื่อนมันทั้งสองถูกผนึกไป มันร้องคำรามอย่างต่อเนื่อง
หากเป็นเทวดาสมบัติสวรรค์เมื่อก่อนนั้นมันยังคงเชื่อฟังแต่เซียนตัวน้อยเบื้องหน้านี้มันตบทีเดียวก็สังหารได้แล้ว ความภาคภูมิใจของมันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
หวังหลินจ้องไปที่สัตว์ตัวนี้ เขาต่อสู้กับการตัดสินใจว่าควรจะเสี่ยงหรือไม่ หากเขาชนะเช่นนั้นก็สามารถควบคุมมันได้ชั่วคราว แต่หากเขาแพ้นับว่าอันตรายแล้ว
หลังขบคิดเล็กน้อยเขาสัมผัสกับดักอสูรบนแขน ตามตรรกะเหตุผลแล้วกับดักอสูรนี้ควรจะทำงาน แต่วิญญาณสัตว์ตัวนี้ต้องเป็นอสูรสวรรค์ตอนที่มันมีชีวิต ปัญหาเดียวก็คือไม่รู้ว่ากับดักอสูรจะใช้การได้หรือไม่ อีกปัญหาก็คือหากมันใช้การได้เขาจะสามารถทนต่อพลังปราณที่จะดูดซับได้หรือ?
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะยอมแพ้ความคิดเสี่ยงๆนี้และผนึกราชรถคันสุดท้ายเช่นกัน
“แย่นักที่ข้าไม่รู้ว่าราชรถสังหารเทพเหล่านี้มีพลังจริงๆมากแค่ไหน แต่เมื่อเห็นว่าเทวดาสมบัติสวรรค์มั่นใจเช่นนั้นข้าก็เชื่อว่าพวกมันจะไม่แย่เกินไป อีกทั้งวิญญาณสัตว์ที่ผนึกในราชรถนี้มีทรงพลักมากดังนั้นพลังอำนาจของพวกมันไม่ควรจะทำให้ข้าผิดหวัง น่าเศร้าที่ข้าอ่อนแอเกินกว่าจะใช้พวกมันในตอนนี้” หวังหลินถอนหายใจก่อนจะเคลื่อนสายตาไปที่วัตถุดิบหลอมสมบัติด้านข้าง
เขาเก็บทุกอย่างลงกระเป๋าและจากนั้นตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากนั้นจึงเดินไปที่ประตูม่วงและใช้วิธีเดียวกันก่อนหน้านี้เพื่อยกถ้ำขึ้นไปและเดินออกมา
หวังหลินคิดขึ้น ‘ราชรถสังหารเทพพวกนี้อัศจรรย์จริงๆ พวกมันไม่ต้องการหินวิญญาณเพื่อกระตุ้นและใช้การได้โดยเอาพลังสัตว์อสูรที่ขังอยู่ข้างในเท่านั้น ทำให้มันประหยัดหินวิญญาณไปจำนวนมากแต่หากราชรถเหล่านี้จำเป็นต้องใช้หินวิญญาณเพื่อใช้งาน มันก็อาจจะต้องใช้หินหยกสวรรค์แน่ๆ’
‘ข้าเพียงไม่รู้ว่าจะมีผลสะท้อนใดๆต่อวิญญาณอสูรเมื่อกระตุ้นราชรถ ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วมีต้นกำเนิดพลังงานอันไร้ที่สิ้นสุดในโลก วิญญาณสัตว์อสูรเหมือนจะได้รับความเสียหายหลังจากใช้ไปจำนวนหนึ่งและมันอาจจะหายไปหลังจากใช้ไปหลายครั้ง น่าเสียดายที่เทวดาสมบัติสวรรค์ไม่ได้ทิ้งข้อมูลใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เลย’ หวังหลินมองบนท้องฟ้าและจมไปกับความคิด
‘ข้าเชื่อว่าก่อนเทวดาสมบัติสวรรค์ตาย เขาไม่มีเวลาเพียงพอที่จะทิ้งข้อมูลทั้งหมดไว้ในเศษโลหะ ดังนั้นจึงทิ้งเพียงสิ่งสำคัญเอาไว้ นั่นหมายความว่าต้องค้นคว้าเพื่อให้เข้าใจราชรถสังหารเทพพวกนี้ด้วยตัวเอง’ หวังหลินคิดอยู่นานก่อนจะสัมผัสกระเป๋าและยิ้มอย่างเบาบาง
‘การเก็บเกี่ยวสำหรับการเดินทางมาดินแดนสวรรค์ครั้งนี้นับว่าเยี่ยมมาก แต่อันตรายนับว่ามหาศาลเช่นกัน หากเกิดสิ่งผิดพลาดระหว่างการล่มสลายของชิ้นส่วนครั้งนั้น ข้าคงตายไปแล้วตอนนี้ ความเสี่ยงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีรางวัลมากเท่านั้น ประโยคนั้นนับว่าจริงแท้! ดังนั้นข้าจะต้องพิจารณาการเชิญชวนของฉีหูอย่างละเอียด’ หวังหลินลอยขึ้นไปในอากาศขณะที่คิดเรื่องนี้ไปด้วย