328. หัวใจสั่นเทา
การเคลื่อนย้ายนี้ให้ความรู้สึกเดียวกับที่หวังหลินพบตอนที่เขาถูกเคลื่อนย้ายไปสู่ดินแดนสวรรค์ ทว่าความรู้สึกนี้เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ หวังหลินปรากฎตัวในค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณแห่งหนึ่งห่างไปโดยนับไม่ได้
เขากระจายสัมผัสวิญญาณออก แม้จิตใจจะแข็งแกร่งแต่อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
ที่นี่ห่างจากทะเลปิศาจเพียงแปดแสนลี้ การเคลื่อนย้ายครั้งเดียวทำให้เขาผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณมานับไม่ถ้วน หวังหลินคำนวณได้ว่าเขาต้องเคลื่อนผ่านมาได้หลายล้านลี้ การเดินทางที่ปกติจะใช้เวลาหนึ่งเดือนได้ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว ความจริงข้อนี้ทำให้หวังหลินตกตะลึง
เขามองลงไปที่หินหยกสวรรค์ในฝ่ามือ มันไม่ได้เป็นสีขาวบริสุทธิ์อีกต่อไป ข้างในเป็นสีเทาเล็กน้อย ตอนนี้พลังปราณสวรรค์ข้างในได้หายไปราวหนึ่งในสิบส่วน
เมื่อนึกถึงแผนที่ที่ปรากฎตอนที่เขากระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้าย หวังหลินพลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมา บางทีนี่คือวิธีการใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณจริงๆและหินวิญญาณระดับสูงเพียงสามารถเปิดได้แค่ตำแหน่งเดียว การใช้หินหยกสวรรค์นั้นสามารถเปิดการเชื่อมต่อค่ายกลเคลื่อนย้ายทั้งหมดขึ้นมาได้
“อย่างไรก็ตามการเคลื่อนย้ายครั้งเดียวใช้ถึงหนึ่งในสิบส่วน แม้ว่าข้าจะมีหินหยกสวรรค์ไม่มากนักแต่ไม่สามารถสูญเสียเช่นนี้ได้ นี่มันไม่ใช่การเคลื่อนย้ายแต่เป็นการสูญเสียพลังปราณสวรรค์ มีคนไม่มากนักที่สามารถใช้หินหยกสวรรค์เพื่อเคลื่อนย้ายในซูซาคุ…” หวังหลินขำตนเองก่อนจะกระโดดเข้าไปบนอากาศและเหาะเหินไปข้างหน้า
ความจริงนั้นคล้ายกันกับสิ่งที่หวังหลินคิด แม้ว่าจะมีคนที่สามารถเปิดค่ายกลเคลื่อนย้ายด้วยหินหยกสวรรค์ได้ แต่ค่อนข้างมีน้อยเหลือเกิน…
มีเพียงเซียนเทวะสี่คนของซูซาคุที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจตอนที่ใช้หินหยกสวรรค์เพื่อเคลื่อนย้าย
ขณะที่หวังหลินเหาะเหินไป เขาสัมผัสกับดักอสูรบนข้อมือขวา ในระหว่างการต่อสู้ครั้งที่สองกับผีเสื้อแดง คางคกสายฟ้ายืนหยัดได้รับบาดเจ็บหนักจนพามันไปถึงขอบเหวแห่งความตาย แม้ว่ามันยังขังไว้ในกับดักอสูร มันก็ยังกินพลังปราณในสองสามวันอยู่
หวังหลินเข้าใจได้ว่าหากเขาไม่ส่งพลังปราณเข้าไปในกับดักอสูรอย่างต่อเนื่อง เจ้าคางคกสายฟ้าคงตายไปแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่าหวานเอ๋อจะสามารถรักษาคางคกสายฟ้าหลังจากข้ากลับไปแคว้นซูได้หรือไม่ อสูรตัวนี้ตกอยู่ในสภาวะนี้ก็เพราะข้า เช่นนั้นข้าหวังหลินไม่สามารถทิ้งมันไปได้หรอก”
ขณะที่กำลังคิดเรื่องนี้ คลื่นอ่อนโยนออกมาจากข้อมือเขาราวกับกำลังตอบสนอง
ในตอนนี้เองในสำนักเมฆาฟ้าแคว้นซู ลี่มู่หวานนั่งอยู่บนลานทิศตะวันออกพร้อมกับพิณ นิ้วมือราวกับหยกได้เคลื่อนไหวผ่านพิณจนเกิดเสียงอันงดงาม คลื่นเสียงอ่อนนุ่มดูราวกับรำลึกถึงสิ่งหนึ่ง
เวลาที่ผ่านไปมากกว่าร้อยปีดูเหมือนจะพริบตาเดียวสำหรับหวังหลิน แต่ลี่มู่หวานแล้วมันยาวนานยิ่งนัก
ตอนนี้นางดูแตกต่างจากเมื่อก่อน มีเครื่องหมายบ่งบอกอายุบนใบหน้า ด้วยอายุของนางแล้วนางควรจะเปลี่ยนเป็นกองกระดูกไปแล้วหากไม่ได้หยดน้ำจากลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า
“นี่มันก็ผ่านมาร้อยปีแล้ว ข้ายังติดอยู่ที่ขั้นแกนลมปราณระดับปลาย…หยดน้ำค้างที่ท่านให้ข้าไม่มีผลใดอีกต่อไป ข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายกำลังอ่อนแอลงทุกวัน…หากข้ายังไม่สามารถบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดได้ถายในสิบปี ข้า…” ลี่มู่หวานฝืนควบคุมตัวเองไม่ให้หยดน้ำตารินไหล
ทว่าเสียงพิณกลับเผยความรู้สึกส่วนลึกในใจนาง มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวัง ใครที่ได้ยินมันจะรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง
“หวังหลิน…ท่านอยู่ที่ไหน…” ความโศกเศร้าในแววตาลี่มู่หวานยิ่งทีความลึกล้ำ หัวใจนางเจ็บปวดมากมายนัก
เวลาที่นางอยู่กับหวังหลินสะท้อนในใจ นี่คือสิ่งเดียวที่นางมีชีวิตอยู่ได้ หากนางไม่มีความทรงจำเหล่านี้แม้ร่างกายนางยังดีอยู่แต่หัวใจนางได้ตายไปแล้ว
“หวังหลิน…เมื่อตอนที่ท่านกลับมา เราอาจจะถูกแบ่งกั้นด้วยชีวิตและความตายไปแล้ว…” ในที่สุดลี่มู่หานก็ไม่สามารถรั้งน้ำตาเก็บไว้ได้ สองหยาดน้ำตาไหลลงบนแก้มของนาง
ในตอนนี้มีคนทั้งสองคนยืนอยู่ข้างนอกลานกว้าง ทั้งสองคนต่างมีศีรษะเต็มไปด้วยผมขาวโพลน
ชายชราหนึ่งในนั้นส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “พิณของท่านจ้าวสำนักแฝงด้วยความตาย…อนิจจา…”
“หลิวเฟย ในเวลาที่ผ่านมาร้อยปีนี้ท่านจ้าวสำนักได้ทะลวงผ่านไปขั้นวิญญาณแรกกำเนิดล้มเหลวไปสามครั้งแม้จะใช้เม็ดยาหลายอย่างก็ตาม หากไม่ใช่ว่านางต้องการเห็นคนผู้นั้นอีกสักครั้ง นางคงตายไปเมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่นางล้มเหลวการทะลวงระดับครั้งนั้น…”
“ซ่งฉิง คนที่เจ้ากล่าวถึง…เจ้าคิดว่าเขายังมีชีวิตหรือ?” ร่างอันเย็นชาปรากฎในใจหลิวเฟยทำให้ร่างกายเขาสั่นเทา แม้หลังผ่านไปร้อยปีเขาก็ไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้
ซ่งฉิงสั่นเล็กน้อยและถอนหายใจ “ร้อยปีก่อนเขาเป็นเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับต้น เขาจะตายได้อย่างไร? ข้าเดาว่าตอนนี้เขาบรรลุระดับปลายไปแล้ว” ความกลัวหยั่งรากลึกมากกว่าหลิวเฟย ฉากเหตุการณ์จากเมื่อตอนนั้นยังปลุกเขาจากความฝันขึ้นมาบ่อยๆ
ฉากเหตุการณ์นั้นกลายเป็นมารส่วนลึกในใจเขา
“แม้เขาจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย เขาก็ไม่สามารถช่วยสำนักเมฆาฟ้าได้..” ใบหน้าหลิวเฟยเต็มไปด้วยความขมขื่น
ซ่งฉิงขบคิดอยู่เป็นเวลานานก่อนจะปล่อยรอยยิ้มขื่นขม “เซียนต่างถิ่นผู้นั้นกวาดล้างสำนักเมฆาฟ้าเมื่อสามวันก่อน ข้าสงสัยว่าใครจะเป็นรายถัดไป…”
หลิวเฟยพูดอย่างขื่นขม “แม้กระทั่งท่านผู้ส่งสาส์นยังกลัววิชาของคนผู้นี้ โชคชะตาสำนักเมฆาฟ้าของเราได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”
“สี่ผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลาย ผู้อาวุโสหลิวชางได้เสียชีวิตเมื่อสามสิบปีก่อนตอนที่เขาล้มเหลวในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณและตอนนี้ผู้อาวุโสกงซุนจะรอดหรือตายก็ไม่รู้…”
ขณะนี้เองเสียงพิณหยุดลงและเสียงลี่มู่หวานจากภายในลานกว้างดังออกมา
“สองผู้อาวุโสโปรดเข้ามาพูดคุยกัน หวานเอ๋อไม่รู้สึกดีขึ้นเลยจึงไม่ออกไปไหน”
หลิวเฟยและซ่งฉิงรีบตอบรับ พวกเขามองหน้ากันเองก่อนจะเข้าไปในลานกว้าง
ลี่มู่หวานจ้องพิณ นางส่ายศีรษะและจากนั้นมองเข้าหาทั้งสอง
หลิวเฟยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าอันซับซ้อน “ท่านจ้าวสำนัก สุขภาพของท่านสำคัญยิ่ง การเล่นพิณทำให้จิตใจท่านเครียด”
ลี่มู่หวานถอนหายใจและยิ้ม “ร่างกายข้าอ่อนแออยู่แล้ว แม้ข้าจะไม่เล่นพิณข้าก็ไม่รอดไปมากกว่าสิบปีหรอก”
หลิวเฟยถอนหายใจ
ลี่มู่หวานพูดอย่างใจเย็น “มีข่าวอะไรเกี่ยวกับผู้อาวุโสกงซุนหรือไม่?”
“ผู้อาวุโสกงซุนเข้าไปหาเซียนต่างถิ่นผู้นั้นเมื่อเจ็ดวันก่อนและยังไม่กลับมา ข้ากลัวว่า…” แววตาซ่งฉิงเต็มไปด้วยเศร้าหมอง เขาไม่ได้พูดต่อ
ลี่มู่หวานครุ่นคิดเล็กน้อย หลังเวลาผ่านไปสักพักนางยิ้มอย่างเศร้าๆ “พวกท่านค้นเจอไหมว่าเซียนคนนั้นมาจากที่ไหน?”
หลิวเฟยกระซิบ “เรารู้แต่เพียงว่าคนผู้นี้ไม่ได้ดูแก่และใช้แมลงพิษ เขาปกคลุมด้วยรัศมีกระหายโลหิต หนึ่งเดือนก่อนเขาปรากฎตัวในแคว้นซู ทำลายสำนักไปสามแห่งภายในเจ็ดวันและสามวันก่อนสำนักเมฆาฟ้าถูกทำลายไป มีเพียงศิษย์สายนอกไม่กี่คนซึ่งออกไปเยี่ยมครอบครัวได้หลงเหลืออยู่”
ลี่มู่หวานจ้องออกไปนอกหน้าต่าง นางกำลังจะเอ่ยแต่ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ร่างกายเริ่มสั่นเทาและเริ่มไออย่างรุนแรง
หลิวเฟยและซ่งฉิงรีบมองอย่างกังวล
ลี่มู่หวานเอาฝ่ามือขวากุมปาก เพียงแค่ไอสักพักนางก็หยุด นางมองโลหิตสีแดงในฝ่ามืออย่างตกตะลึง พลันกวาดมันออกไปและเอ่ยขึ้น “ในไม่กี่วันเมื่อข้ารู้สึกดีขึ้นข้าจะคืนโลหิตวิญญาณของพวกเจ้า หลังจากนั้นพวกเจ้าทั้งหมดควรจะหนีไป”
“ท่านจ้าวสำนัก!” หลิวเฟยและซ่งฉิงต่างพูดขึ้นพร้อมกัน แววตาพวกเขาเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แม้ว่าโลหิตวิญญาณของพวกเขาจะอยู่ในมือลี่มู่หวาน นางไม่เคยใช้พวกมันเพื่อข่มขู่พวกเขา นางมักจะปฏิบัติกับพวกเขาราวกับเป็นผู้อาวุโสของนาง พวกเขาไม่ได้ถูกสร้างมาจากท่อนไม้และเสี้ยวแห่งความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อนางได้หายไปนานแล้ว
“ท่านจ้าวสำนัก เม็ดยาขยายชีพของโอวหยางจื่อได้ค้นคว้ามาหลายปีแล้ว เมื่อเขาสำเร็จท่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน!”
ลี่มู่หวานส่ายศีรษะและเอ่ยขึ้น “ไม่มีทาง แม้มันจะทำได้ก็เพียงยืดชีวิตข้าไปไม่กี่ปี ข้ารู้สึกถึงอายุขัยร่างกายในสิบปีที่ผ่านมาได้ บางทีในไม่กี่ปีนี้เส้นผมทั้งหมดของข้าได้เปลี่ยนเป็นสีขาว…ยิ่งไปกว่านั้นภัยพิบัติครั้งนี้เป็นสิ่งที่สำนักเมฆาฟ้าไม่อาจหนีรอดจากไปได้…”
ซ่งฉิงพูดอย่างขื่นขม “ท่านจ้าวสำนัก เราสามารถขอความช่วยเหลือจากสำนักมารยักษ์ได้ เซียนต่างถิ่นคนนี้หวาดกลัวผู้ส่งสาส์นของสำนักมารยักษ์ ทั้งหมดที่เราต้องทำก็คือยื้อเวลาไว้จนถึงตอนนั้น”
“สำนักมารยักษ์…” ลี่มู่หวานกระซิบเบาๆ นางส่ายศีรษะ “สำนักมารยักษ์เห็นพวกเราเป็นแค่เครื่องมือสำหรับปรุงยา…รวมถึงเรื่องระหว่างเซิ่งหนิวและปรมาจารย์น้อยแห่งสำนักมารยักษ์นั้นเกี่ยวพันกัน เช่นนั้นพวกเขาอาจจะไม่มีเวลามายุ่งกับพวกเรา”
หลิวเฟยเอ่ยขึ้น “เซิ่งหนิว! ปัดโธ่ หากไม่ใช่คนผู้นี้แล้วสำนักมารยักษ์คงไม่ต้องทิ้งเรา”
ซ่งฉิงพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน “หากเพียงแค่เซิ่งหนิวเข้ามาที่แคว้นของเราได้ เช่นนั้นภัยพิบัติครั้งนี้คงได้รับการแก้ไข” ซ่งฉิงเพียงแค่พูดล้อเลียนตัวเอง เขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสถึงหนึ่งในหมื่นหรือไม่ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หลิวเฟยยิ้มอย่างขื่นขม “เซิ่งหนิว ผู้อาวุโสที่สามารถกระชากแขนผีเสื้อแดงออกมาได้ ข้ากลัวว่าเขาอาจกระทั่งไม่เคยได้ยินชื่อแคว้นซู”
ลี่มู่หวานกระซิบ “พวกเจ้าออกไปได้แล้วและส่งต่อเจตนาของข้าให้กับสองผู้อาวุโสใหญ่ที่กำลังปิดด่านฝึกตน เมื่อข้าคืนโลหิตวิญญาณให้เจ้าแล้ว พวกเจ้าควรจะหนีออกจากที่นี่ซะ…”
หลิวเฟยถามขึ้น “ท่านจ้าวสำนัก แล้วท่านหล่ะ? ท่านจะมากับเราไหม?”
ลี่มู่หวานเผยความเศร้าในแววตา ตอนนี้เองไม่มีความหวาดกลัวในใจนาง แม้สำนักเมฆาฟ้าจะถึงวาระ นางก็จะไม่จากไปไหน แม้นางจะตายนางก็ต้องตายที่นี่ซึ่งเป็นสิ่งที่นางตกลงไว้กับหวังหลิน
นางไม่ได้เอ่ยคำใดแต่เพียงส่ายศีรษะเบาๆ นางมองออกไปข้างนอกท้องฟ้าสีครามและรูปหวังหลินปรากฎในใจนาง
“พี่หวัง…”
สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งขนาดเท่ากำปั้นลอยออกมาจากคิ้วของลี่มู่หวาน มันบินว่อนรอบๆนางเล็กน้อยก่อนจะร่อนลงบนพิณ
มือของบี่มู่หวานลูบศีรษะอสูรตัวเล็กขณะที่นางกระซิบ “หลิงน้อย เจ้านายของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
หวังหลินไม่ได้หยุดลงเลยระหว่างการเดินทางแปดแสนลี้ครั้งนี้ เขายืนอยู่บนขอบของทะเลปิศาจพลันมองเข้าหาแคว้นซู และด้วยเหตุผลบางอย่างหัวใจเขาสั่นเทาเล็กน้อย
เขาไม่เคยรู้สึกสั่นเทาเช่นนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น
“มารซ่อนเร้น? เป็นไปไม่ได้ ด้วยระดับฝึกฝนของข้า มารซ่อนเร้นธรรมดาตนหนึ่งไม่สามารถเข้ามาในวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้” ขณะที่หวังหลินกำลังคิดเรื่องนี้เขาเดินเข้าไปในทะเลปิศาจ
“ข้าเห็นหวานเอ๋อมาหลายปีแล้ว ข้าควรจะซื้ออะไรสักอย่างให้นาง…” หวังหลินเผยรอยยิ้มบาง