332. สันโดษ
หวังหลินขมวดคิ้วชี้ไปที่ร่างศพ เขาสร้างบอลอัคคีจากอากาศบางๆและพุ่งมันไปที่ร่างนั้น เกิดเสียงซี่ๆตัวอ่อนแมลงร้องโหยหวนก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง
เหลือเพียงกระเป๋าใบเดียวทิ้งไว้บนพื้น สายตาหวังหลินสว่างขึ้นพลันหยิบกระเป๋ามา เขาประหลาดใจหลังตรวจสอบกระเป๋าเนื่องจากมันไม่มีของอะไรเลยข้างใน มีแต่เหล่าแมลงเต็มไปหมด
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะวางกฎเกณฑ์ลงบนกระเป๋า พลันเก็บกระเป๋าและเขาหายตัวไป
เมื่อปรากฎตัวอีกครั้งหวังหลินอยู่เหนือสำนักเมฆาฟ้า จากนั้นลอยต่ำลงมาอย่างช้าๆ
ลี่มู่หวานจ้องหวังหลิน ดวงตาเต็มไปด้วยหยดน้ำตาแห่งความตื่นเต้น เพียงแค่นางกำลังจะเอ่ยแต่กลับเริ่มไออย่างรุนแรงและฟุบลงไป
หวังหลินเคลื่อนร่างมาถึงด้านข้างลี่มู่หวานและกอดนางอย่างรวดเร็ว เพียงแค่กดไม่กี่จุดบนร่างของนางใบหน้าเขาก็เปลี่ยนไปมืดหม่นและร้องตะโกน “ลิ่วเฟย ซ่งฉิง ผนึกสำนัก! ไม่อนุญาตให้ใครออกไปข้างนอกก่อนที่ข้าจะออกมา!” หวังหลินรีบเร่งพุ่งเข้าหาลานทิศตะวันออกอย่างเร่งรีบพร้อมกับลี่มู่หวานในอ้อมแขน
ลิ่วเฟยและซ่งฉิงรีบตอบรับในทันทีและทำสิ่งที่เขาบอก
แสงขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งสำนักและเริ่มซ่อนสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนอื่นๆอีกครั้ง
เหล่าศิษย์ผู้โชคดีทั้งหมดที่เอาตัวรอดได้พลันมีคำสั่งไม่ให้ออกไปข้างนอก พวกเขาทั้งหมดยินดีที่จะกระทำตามคำสั่นนั้น
เพราะพวกเขาไม่สามารถไปที่ไหนได้อีก ทุกคนต่างคิดถึงพวกของตัวเอง หัวข้อเดิมๆวนกลับมาอีกครั้งด้วยชื่อ “เซิ่งหนิว”
หลังลิ่วเฟยและซ่งฉิงเสร็จสิ้นการพูดคุย พวกเขามองหน้ากันเอง ทังคู่ดูตื่นเต้นและหวาดกลัวไปพร้อมกัน
ตื่นเต้นเพราะสำนักเมฆาฟ้าได้ถูกช่วยเหลือและนั่นคือหวังหลินที่เป็นเซิ่งหนิวอันมีชื่อเสียง
หวาดกลัวจากการกลับมาของหวังหลิน นอกจากนั้นแล้วจนบัดนี้พวกเขายังไม่ลืมเลือนเหตุการณ์นองเลือดที่รู้เห็นกับตาเมื่อตอนนั้น
ทั้งสองคนเหาะเหินเข้าหาลานทิศตะวันออกแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก หัวหน้าผู้อาวุโสทั้งสองซึ่งมีสถานะสูงส่งมากกว่าใครอื่นได้มาถึงและนั่งอยู่ข้างนอกเพื่อรอหวังหลิน
ข้างในกะท่อมหวังหลินนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าลี่มู่หวาน ใบหน้าของนางซีดเผือดมาก ร่างกายอ่อนแอและล้อมรอบด้วยรัศมีแห่งความตาย
หวังหลินจ้องลี่มู่หวานด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก หลังผ่านไปสักพักเขากัดฟันแน่นและนำหินวิญญาณระดับสูงออกมาวางไว้รอบกายนาง จากนั้นเริ่มส่งพลังปราณเข้าไปในร่างลี่มู่หวาน
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเวลาสามผ่านได้ผ่านไป หวังหลินยังคงขมวดคิ้ว เขาเปิดช่องพลังปราณเข้าไปในร่างลี่มู่หวานไม่หยุดเป็นเวลาสามวัน หากเป็นก่อนที่เขาจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณ เขาคงเหนื่อยมากจากการใช้พลังปราณไปแล้วทว่าสำหรับเซียนขั้นตัดวิญญาณนั้นเรื่องนี้นับว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ถึงจุดหนึ่งลี่มู่หวานเริ่มฟื้นคืนสีบนใบหน้าได้บางส่วน
กลางคืนของวันที่สามนางจึงลืมตาออกพลันเห็นหวังหลินเบื้องหน้านางและเผยรอยยิ้มแห่งความสุข
ลี่มู่หวานกระซิบเบาๆ “พี่หวัง…”
หวังหลินลอบถอนหายใจและยิ้มแย้ม “ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าเพียงแค่ส่งพลังปราณเข้าไปในร่างเจ้า เมื่อร่างกายดีขึ้นข้าจะช่วยเจ้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด!”
ลี่มู่หวานยิ้ม รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความสุขสมหววัง นางส่ายศีรษะและถามขึ้น “ท่านยังจะจากไปหรือ?”
หวังหลินพูดอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ข้าจะไม่ไปไหน”
ดวงตาลี่มู่หวานส่องสว่างพลันกระซิบ “จริงหรือ?”
หวังหลินพยักหน้า “จริงสิ! หวานเอ๋อ เจ้าพึ่งดีขึ้นเล็กน้อย เช่นนั้นจงพักผ่อนเถอะ”
ลี่มู่หวานค่อยๆผลอยหลับลงไปขณะซบลงบนหน้าอกหวังหลิน แม้หลังจากที่นางหลับลงไปรอยยิ้มก็ไม่เคยคลายบนใบหน้า รอยยิ้มนั้นไม่เคยปรากฎขึ้นมามากกว่าร้อยปีแล้ว
หลังเวลาผ่านไปพักใหญ่ หวังหลินค่อยๆอุ้มลี่มู่หวานไปที่เตียงของนาง ห่มผ้าห่มให้และเดินออกมาจากกระท่อม
เมื่อเขาอยู่ข้างหน้า ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนทันที
มีทั้งหมดเจ็ดคนที่นั่งอยู่ข้างนอกเพื่อรอเขา นอกจากหัวหน้าผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายทั้งสองคนคือลิ่วเฟยและซ่งฉิงแล้ว มีโอวหยางจื่อและผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดอีกสองคนที่บรรลุขึ้นมาได้ในเวลาหนึ่งร้อยปีนี้
เมื่อหวังหลินเดินออกมา พวกเขาทั้งเจ็ดคนลืมตาและยืนขึ้น ไม่มีคนใดกล้าหายใจ ความทรงจำที่หวังหลินทำลงไปในอดีตยังตามล่าหลอกหลอนพวกเขาและตอนนี้เขาได้ปรากฎตัวเบื้องหน้าอีกทั้งมีอำนาจทรงพลังมากกว่าก่อน สำหรับพวกเขาแล้วหวังหลินคือบุคคนน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“ทำไมร่างกายหวานเอ๋อจึงเป็นเช่นนี้!? ตอนที่ข้าจากไปเมื่อร้อยปีก่อนนางยังคงสบายดี!” น้ำเสียงหวังหลินสงบนิ่งแต่สำหรับโสตประสาทของทั้งเจ็ดคนมันน่าหวาดกลัวยิ่งนัก สองผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดที่ขึ้นมาใหม่ต่างหวาดกลัวจนร่างกายถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
แม้กระทั่งลิ่วเฟยและคนอื่นๆต่างเต็มไปด้วยความตกใจ วิญญาณแรกกำเนิดของพวกเขาสั่นเทา มีเพียงหัวหน้าผู้อาวุโสทั้งสองคนที่ยังรักษาท่าทีเอาไว้ได้เบื้องหน้าน้ำเสียงของหวังหลิน
หนึ่งในหัวหน้าผู้อาวุโสถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “ท่านจ้าวสำนัก แม่นางหวานเอ๋อพยายามบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสามครั้งในเวลาร้อยปีที่ผ่านมา และนางล้มเหลวทุกครั้ง ร่างกายนางไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไปโดยเฉพาะครั้งล่าสุดเมื่อสามสิบปีก่อนนางแทบสิ้นชีวิต…” คนผู้นี้คือคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลี่มู่หวานเพื่อปกป้องเขาจากจางป๋าย
หวังหลินมองเขาและเอ่ยถาม “หากข้าไม่ผิด เจ้าแซ่ลิ่ว?”
ชายชรามีความสุขมาก เขาพูดอย่างเคารพ “ท่านจ้าวสำนักยังจดจำข้าได้ ข้าชื่อลิ่วเฟย” หลังจากลิ่วเฟยรู้ได้ว่าหวังหลินคือเซิ่งหนิว เขาตัดสินใจติดตามหวังหลินเพื่อหวังว่าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณด้วยตนเอง
เหล่าคนเช่นเขาที่ติดอยู่ขั้นวิญญาณแรกกำเนิดระดับปลายเป็นเวลานานโดยฝึกฝนมานักต่อนัก พวกเขายินดีที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
หวังหลินขบคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “แม้แต่เม็ดยายังไร้ประโยชน์…”
ลิ่วเฟยลอบถอนหายใจ ซ่งฉิงซึ่งอยู่ถัดจากเขาพลันเอ่ยขึ้น “ท่านจ้าวสำนัก แม่นางหวานเอ๋อได้บริโภคยาไปจำนวนมาก เพียงแค่…”
หวังหลินยกศีรษะ ในใจเขาเดาไว้ได้แล้วทว่าสายตายังเต็มไปด้วยความสับสน “พูดต่อไป”
ซ่งฉิงกัดฟันแน่น “เพียงแค่แม่นางหวานเอ๋อมีชีวิตอยู่ได้มากกว่าเซียนขั้นแกนลมปราณปกติจะทำได้ แม้จะมีวิชาฝืนกฎสวรรค์มันก็ยากที่จะช่วยนางได้เว้นแต่นางจะบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิด”
หวังหลินขบคิด ตอนที่เขากำลังรักษาร่างกายของหวานเอ๋อ เขาสังเกตได้ว่าร่างของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายราวกับเป็นตะเกียงใกล้จะว่างเปล่า
ไม่มีสิ่งใดที่ทำได้เพราะมันเป็นสัญญาณว่าชีวิตของคนผู้นั้นกำลังจะมอดดับ
“พวกเจ้าไปได้” เขาหันกลับและมาถึงกระท่อม ก่อนที่จะเข้าไปหวังหลินหยุดกึกทันทีและเอ่ยขึ้น “ห้ามข่าวลือเกี่ยวกับชื่อเซิ่งหนิวออกไปข้างนอกได้ พวกเจ้าหาทางต่อรองกับเหล่าศิษย์ด้วย”
พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากหวังหลินเข้าไปหัวหน้าผู้อาวุโสลิ่วเฟยแววตาส่องสว่างขึ้น เขาจ้องทุกคนด้วยสายตาเยือกเย็นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทุกๆคน หากตัวตนของท่านจ้าวสำนักเปิดเผยออกไป ผีเสื้อสีชาดแห่งซูซาคุจะเข้ามาแน่นอน เราไม่สามารถเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้”
หัวหน้าผู้อาวุโสอีกคนเที่ยหยานมีแววตาสว่างขึ้นและยิ้มออกมา เขาสามารถมองผ่านความคิดข้างในลิ่วเฟยได้พลันผุดความคิดเดียวกันและเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ใช่แล้ว สำหรับเหล่าศิษย์ระดับต่ำ ทั้งหมดจะถูกลบล้างความทรงจำ! นอกจากนั้นหากใครที่ปล่อยข่าว จงจำไว้ว่าแคว้นซูคือบ้านพวกเจ้า อย่าดุด่าข้าว่าไม่เตือนเสียหละ!”
ลิ่วเฟยและซ่งฉิงไม่เปิดเผยมันสู่ข้างนอกอยู่แล้ว สายตาพวกเขาหันไปหาผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดสองคนที่พึ่งเข้ามาใหม่เมื่อร้อยปีก่อน สายตาแต่ละคนดูไม่เป็นมิตร
สำหรับโอวหยางจื่อ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทรยศ คนผู้นี้คิดเพียงแต่เรื่องการปรุงยา กล่าวได้ว่าเขาทิ้งเรื่องราวพวกนี้เมื่อนานมาแล้ว
ใบหน้าสองผู้อาวุโสขั้นวิญญาณแรกกำเนิดต่างซีดเผือด หนึ่งในนั้นสาบานต่อสวรรค์ทันที อีกหนึ่งตระหนักได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นและสาบานเช่นกัน
แววตาลิ่วเฟยแฝงเจตนาฆ่าฟัน เขามองไปหาเที่ยหยาน เที่ยหยานเห็นพวกเขาจึงพยักหน้าเบาๆ
ลิ่วเฟยหัวเราะและพยักหน้า “นั่นนับว่าเยี่ยมมาก พวกเจ้าทั้งสองติดตามมาข้ามา ข้ามีเคล็ดบางอย่างสำหรับเซียนขั้นวิญญาณแรกกำเนิดหวังว่าจะมีประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งสองด้วย”
ทั้งสองคนมีความสุขมากและติดตามอย่างรวดเร็ว ทว่าหนึ่งในนั้นหยุดกึก แววตาเผยความกังวล
ลิ่วเฟยยิ้มออกมาและก้าวไปเพียงสองก้าว คนที่ลังเลกัดฟันแน่นและติดตามลิ่วเฟยเข้าสู่ลานทิศตะวันตก
สองผู้อาวุโสหน้าใหม่ไม่เคยเห็นตัวตนอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น มีเพียงหุ่นเชิดสองตัวล้อมรอบด้วยหมอกสีดำติดตามลิ่วเฟยไปด้วยในตอนนี้
หวังหลินเข้าไปในกระท่อมและนั่งลงถัดจากเตียงของลี่มู่หวาน เขาเฝ้าดูใบหน้านางที่กำลังหลับและหลังผ่านไปครู่ใหญ่จึงกระซิบ “ข้าเพียงต้องช่วยเจ้าบรรลุขั้นวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อขยายอายุขัย นั่นไม่ใช่เรื่องยาก!”
พริบตาเดียวหนึ่งเดือนก็ผ่านไป
ในเดือนนี้เหล่าศิษย์ทั้งหมดของสำนักเมฆาฟ้าได้ถูกล้างความทรงจำ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมจ้าวสำนักถึงตัดสินใจปิดด่านฝึกตน
ลิ่วเฟยและซ่งฉิงได้เริ่มจัดการสำนักเมฆาฟ้าอีกครั้ง สำนักเมฆาฟ้าค่อยๆกลับคืนสู่ความรุ่งโรจน์ในอดีต
รวมถึงเพราะมีหลายสำนักในแคว้นซูถูกทำลายไป สำนักเมฆาฟ้าจึงใช้โอกาสนี้ลงมือและเพิ่มอิทธิพลขึ้นหลายเท่า
สำหรับหวังหลิน ในวันที่สองหลังจากลี่มู่หวานเริ่มดีขึ้น เขาพานางออกไปจากสำนักเมฆาฟ้าตามมาด้วยลิ่วเฟยและเที่ยหยาน ทั้งสองทิ้งตำแหน่งของตนที่เป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของสำนักเมฆาฟ้าเพื่อติดตามหวังหลินในการบรรลุขั้นตัดวิญญาณ
หวังหลินและลี่มู่หวานท่องเที่ยวข้ามผ่านแคว้นซูไปมากมาย พวกเขาพูดคุยและหัวเราะด้วยกันระหว่างทาง ลี่มู่หวานรู้สึกมีความสุขอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนและนางพึงพอใจมาก นางอยู่รอบกายหวังหลินตลอดการเดินทางราวกับเป็นภรรยาตัวน้อยๆ
ในท้ายสุดพวกเขาหยุดลงในภูเขาลึกอาณาบริเวณของแคว้นซู
สถานที่แห่งนี้เปล่าเปลี่ยวโดยสิ้นเชิง หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างไปมากกว่าหมื่นลี้
ในหุบเขาหนึ่ง หวังหลินตบกระเป๋าและเจดีย์ปรากฎออกมา
สถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในจุดที่พลังปราณหยินรวบรวมกันในแคว้นซู หวังหลินจดจำสิ่งที่โจวยี่ได้พูดไว้ว่าเจดีย์แห่งนี้สามารถวางได้ในตำแหน่งที่มีพลังปราณหยินเท่านั้น
เจดีย์ที่สร้างจากหยกสวรรค์พลันขยายออกในอากาศจนมีความสูงหนึ่งพันฟุตทันที เกิดเสียงดังปังร่อนลงในหุบเขาและจากนั้นวงแหวนแสงพลันขยายออกรอบๆมัน
เขตแดนระดับเซียนเทวะของโจวยี่ปกคลุมรอบพื้นที่ทันที