Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 374

Cover Renegade Immortal 1

374. สิ่งของในน้ำ

ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและฝ่ามือสร้างผนึกเพื่อกระตุ้นวิชาระดับต่ำที่เขาไม่ได้ใช้มานาน วิชาแรงโน้มถ่วง โคลนบนพื้นถูกยกขึ้นและกลิ่นเหม็นที่มีอยู่ในโคลนกระจายออกราวกับน้ำหมึก

หวังหลินรีบว่ายขึ้นไปด้านบนราวกับปลาหมึกและโคลนนั้นติดตามเขาไปด้วย

หวังหลินออกมาจากน้ำโดยใช้เวลาไม่นานนักและเพียงสะบัดแขนใช้วิชาแรงโน้มถ่วง โคลนตมจำนวนมากลอยออกมาจากหลุม

หลังเวลาผ่านไปนาน โคลนตมถูกชำระล้างและหวังหลินลงไปอีกครั้ง

หลังทำเช่นนี้อยู่สามครั้ง โคลนบนพื้นกระจ่างใสและพื้นที่ข้างใต้เผยออกมา

ที่ด้านล่างบ่อน้ำเขาเห็นค่ายกลแห่งหนึ่งมีหินวิญญาณวางไว้สามจุด หากเป็นแค่หินวิญญาณธรรมดามันคงไม่มีอะไรมากแต่หวังหลินเห็นเส้นสีแดงบนนั้นซึ่งหมายความว่าทั้งหมดเป็นหินวิญญาณระดับสูง

สายตาหวังหลินเพ่งพินิจขณะมองลงไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน “ไม่สงสัยเลยว่าสถานที่แห่งนี้มีพลังปราณมากแม้ว่าจะไม่ใช่สายแร่วิญญาณ”

หินวิญญาณระดับสูงทั้งสามชิ้นได้เปลี่ยนไปเป็นสีเทาแล้วจากการวางไว้ที่นี่ไว้นานและแทบใช้จนหมดสิ้น ทว่าสิ่งที่ทำให้หวังหลินสนใจไม่ใช่หินวิญญาณระดับสูงแต่เป็นของสิ่งอื่น!

มันคือโครงกระดูก!

จากการมองโครงกระดูกมันเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง มันถูกตอกไว้ใต้บ่อน้ำโดยใช้เล็บสีดำ

“ใช้หินวิญญาณระดับสูงสามก้อนเพื่อผนึกโครงกระดูกนี้ ช่างเป็นคนรวยเสียจริง!” หวังหลินสามารถบอกได้ทันที่ว่าค่ายกลนี้เอาไว้สำหรับผนึกเท่านั้น

มีเพียงนิ้วชี้ขวาเท่านั้นที่ถูกแทงลึกลงไปในพื้นดิน

หลังขบคิดเล็กน้อยหวังหลินไม่ได้ผลีผลาม เขาว่ายน้ำขึ้นและพร้อมจะจากไปแทน

แต่ขณะนั้นเองกระเป๋าของเขาพลันปลดปล่อยแสงสีเหลือง บางสิ่งข้างในถูกบังคับให้ออกมา นี่เป็นครั้งแรกของหวังหลินที่มีของในกระเป๋าเคลื่อนไหวโดยไร้การควบคุม

ม้วนคัมภีร์ที่หวังหลินได้รับโดยบังเอิญเมื่อหลายร้อยปีก่อน เป็นของสิ่งหนึ่งที่เขาศึกษามายาวนานและจนถึงวันนี้ยังไม่รู้วิธีใช้ มันพุ่งออกมาจากกระเป๋า

สายตาหวังหลินเคร่งเครียด ตอนที่เขานำม้วนคัมภีร์ออกมามันถึงกับทำให้บรรพชนสำนักเซียนที่ถูกลืมหยุดชะวชะงัก ม้วนคัมภีร์นี้ต้องมีเบื้องหลังที่โด่งดังเป็นแน่

ตอนนี้เขาเฝ้าดูม้วนคัมภีร์ลอยออกมาและเปิดขึ้นอย่างช้าๆ ม้วนคัมภีร์สีดำล้วนและคลื่นเสียงกรีดร้องลอยออกมาจากมัน

ขณะนี้เองโครงกระดูกใต้บ่อน้ำพลันเริ่มเรืองแสงสีม่วง นิ้วชี้ขวาเรืองแสงสว่าง

บอลแสงสีม่วงขนาดเท่ากำปั้นปรากฎเบื้องหน้าโครงกระดูกและถูกม้วนคัมภีร์ดูดซับไปในทันที

โครงกระดูกแตกสลายกลายเป็นฝุ่นสีเทาทันทีแต่ฝุ่นนั้นไม่ได้ผสมกับน้ำทว่ามันปกคลุมอยู่ใต้บ่อน้ำแทน

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวดเร็วมาก หลังม้วนคัมภีร์ดูดซับแสงสีม่วงมันก็เริ่มร่วงลงช้าๆและหวังหลินรับเอาไว้ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยเขาตัดสินใจไม่ตรวจสอบมันและพุ่งออกไปจากน้ำ

หลังออกมาจากน้ำ หวังหลินงุนงงอย่างมาก เมื่อครุ่นคิดสักพักเขาเปิดม้วนคัมภีร์อย่างช้าๆ

เขาเป็นการเปลี่ยนแปลงในม้วนคัมภีร์สีดำมืดนี้ มันมีเค้าโครงสีม่วงจางๆเรืองรองบนคัมภีร์ ทว่าหากไม่ได้มองใกล้ๆก็ไม่มิอาจเห็นได้เลย

หลังผ่านไปสักพักหวังหลินขมวดคิ้ว เขายังไม่สามารถมองผ่านคัมภีร์นี้ไปได้ หากมันเป็นสมบัติที่สำคัญ ทำไมถึงตกไปอยู่ในเมื่อของเซียนขั้นแกนลมปราณไปได้?

หวังหลินเก็บใส่ในกระเป๋าจากนั้นมองคุกข้างล่างและเริ่มคิด

โครงกระดูกที่อยู่ใต้บ่อนั้นช่างลึกลับมาก การผนึกด้วยหินวิญญาณระดับสูงถึงสามก้อนนั้นคนผู้นี้ต้องทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ใครกันที่เป็นคนผนึกนางไว้ที่นี่?

เปรียบกับโครงกระดูกแล้วม้วนคัมภีร์นี้ยิ่งลึกลับกว่า แสงสีม่วงนั้นเป็นเป็นสิ่งใด?

ดวงตาหวังหลินฉายแววสว่างและเอ่ยขึ้น “เจ้ายุง นำเสมียนคนนั้นมาที่นี่”

อสูรยุงพุ่งออกไปทันทีและส่งเสียงร้องจนหิมะบนภูเขาสั่นไหว โชคดีที่มันไม่ได้ทำให้เกิดหิมะถล่ม

แต่เสียงคำรามทำให้ทุกคนในหมู่บ้านตกใจ ทุกคนลอบคร่ำรวญและไม่กล้าออกไปข้างนอก

ดวงตาอสูรยุงเผยความดุดันและพุ่งเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง จงอยปากมันหยุดห่างจากคนข้างในไปสามนิ้ว

เขาคือเสมียนผู้นั้น เขาเห็นจงอยปากแหลมคมและเป็นลมไป

อสูรยุงพาเขามาหาหวังหลินและโยนลงบนพื้น เมื่อเสมียนคนนั้นตื่นขึ้น ใบหน้าซีดเผือดและสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หวังหลินเอ่ยถาม “เจ้าค้นเจอคุกน้ำนี่ได้อย่างไร?”

เสมียนตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ซ…ท่านเซียน นานมาแล้วที่นี่เป็นแค่ภูเขาแห้งแล้ง ถ้ำแห่งนี้เกิดขึ้นหลังเกิดแผ่นดินไหวและคุกน้ำก็โผล่ออกมาในเวลาเดียวกัน น้ำพวกนี้มักจะมีกลิ่นเหม็นตลอด ตอนนั้นหัวหน้าแค่มองและคิดว่าทำเป็นห้องขังไว้ก็ดีซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพื้นที่แห่งนี้จึงกลายเป็นห้องขัง”

หวังหลินเงยศีรษะขึ้นมองภูเขา มีรอยภูเขาถล่มเบื้องหน้า ดังนั้นคนผู้นี้ไม่ได้โกหก

ทุกสิ่งทุกอย่างชัดเจน ภูเขาแห่งนี้ถูกวางไว้ที่นี่เพื่อผนึกโครงกระดูกและหลังจากนั้นไม่รู้ว่าผ่านไปอีกกี่ปีจึงเกิดแผ่นดินไหวจนเปิดหลุมในผนึกและทำให้โครงกระดูกเห็นแสงตะวันอีกครั้ง

แต่นางเป็นใครกันแน่?

หวังหลินโบกแขนเป็นสัญญาณให้เสมียนออกไป ดวงตาเป็นประกายขณะวิเคราะห์สักพักก่อนจะโยนความคิดกลับไปหาทางช่วยฟื้นฟูตนเอง

หินวิญญาณระดับสูงข้างในน้ำแทบใช้จนหมดสิ้นและกำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆ แม้ว่ามันยังต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะหมดแต่มันยังไม่ทำให้หวังหลินพึงพอใจ

เขานั่งลงในท่านั่งดอกบัวและตบกระเป๋านำหินวิญญาณระดับสูงสามก้อนออกมา จากนั้นหลับตาเพื่อเริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง

พริบตาเดียวสามเดือนก็ผ่านไป ครึ่งปีแล้วที่เขาออกมาจากแคว้นซู

ในตอนนี้แคว้นพิลูเข้าสู่ฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นเต็มภูเขาและหนาวเสียดกระดูก

เหล่าโจรในหมู่บ้านไม่ได้ออกจากภูเขามาเกินครึ่งปีแต่ยังมีอาหารมากมายเก็บไว้ในคลัง ดังนั้นพวกเขาจึงยังมีพอให้ผ่านฤดูหนาวนี้ไปได้

ในสามเดือนนี้หวังหลินนั่งนิ่งไม่ไหวติงขณะเพ่งความสนใจไปที่การบ่มเพาะเพื่อรวบรวมพลังปราณไว้ในร่างกาย เขากำลังเตรียมพร้อมในการทะลวงเขตแดนและผนึก

ระดับฝึกฝนของเขาฟื้นฟูมาถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับหกด้วยการช่วยเหลือของหินวิญญาณระดับสูง

อสูรยุงยังคงเฝ้าระวังหวังหลิน บางครั้งมันมองออกไปไกลที่ตำแหน่งแคว้นซู ในสามเดือนที่ผ่านมานี้มันเริ่มคิดถึงเจ้าคางคกสายฟ้า แม้มันจะเป็นรองมาเสมอ หลังจากไม่ได้เห็นเจ้าคางคกสายฟ้าเป็นเวลานาน เจ้าอสูรยุงจึงคิดถึงคางคกสายฟ้า

วันนี้หวังหลินลืมตาขึ้นตบกระเป๋านำหินวิญญาณระดับสูงออกมาอีกห้าก้อนและวางไว้ล้อมรอบ

เขาสัมผัสรอยแผลบนหน้าผากและเผยแววตามุ่งมั่น

ไม่ต้องเอ่ยคำใด เขาหลับตาและเริ่มดูดซับพลังปราณอย่างบ้าคลั่งจากหินวิญญาณระดับสูงทั้งแปดก้อน ขณะที่พลังปราณรวบรวมไว้รอบตัวเขา หวังหลินเปล่งแสงสีเขียวออกมาและกลิ่นหอมสดชื่นค่อยๆกระจายออก

พลังปราณรวบรวมรอบร่างเขามากขึ้น หวังหลินได้กระตุ้นพลังปราณไปจนถึงขั้นรวบรวมลมปราณระดับหกจากนั้นชักนำพลังปราณจากนอกร่างกายเพื่อปะทะกับผนึก

หวังหลินเป็นเหมือนแผ่นเหล็กขณะที่พลังปราณในร่างราวกับค้อนเล็กๆและพลังปราณข้างนอกเห็ฯเหมือนค้อนขนาดใหญ่

สองค้อนทุบตีแผ่นเหล็กเพื่อเปิดรอยแยก

หลังกระหน่ำเข้าไป ใบหน้าหวังหลินเริ่มแสดงความเจ็บปวดที่เชามีและรอยแผลบนใบหน้าเรืองแสงสีดำ จากนั้นรอยเริ่มขยับ มองไกลๆแล้วมันราวกับค่ายกลที่กำลังหมุน

ทุกครั้งที่มันหมุนหนึ่งรอบ พลังปรารณจำนวนมากจะถูกดูดซับไป

หวังหลินลืมตาขึ้นทันทีและมีอาการลังเลแต่ความลังเลนี้หายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยความตั้งมั่น เขาสูดาหยใจลึกและนำหินหยกขาวออกมาจากกระเป๋า

ขณะที่หินหยกนี้ปรากฎ พลังปราณรอบด้านจางลงและเกิดบนหินหยก

“หินหยกสวรรค์…กลืนหินหยกนี้เหมือนกับกินพิษร้ายแต่เขตแดนและผนึกในร่างกายก็เป็นพิษเช่นกัน การใช้พิษเพื่อสู้กับพิษเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดในการสร้างรอยบนผนึกบนร่างกายข้า!”

หวังหลินขบคิดเล็กน้อยจากนั้นนำหินหยกออกมาทุบให้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยนิ้วโป้งและนำใส่เข้าปาก

จังหวะที่หยกสวรรค์เข้าไปในปาก พลังปราณสวรรค์พรั่งพรูรุนแรงเข้าไปในร่างหวังหลินและไหลราวกับน้ำหลาก พลังปราณในร่างกายเขาถูกผลักไปออกด้านข้างทันที เปรียบพลังปราณสวรรค์แล้วมันเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย

ด้วยเพราะเขามีประสบการณ์การดูดกลืนหินหยกสวรรค์มาก่อน หวังหลินจึงสงบใจลงได้พลางควบคุมพลังปราณสวรรค์พที่พุ่งพล่านเพื่อโจมตีเขตแดนแห่งชาและผนึก

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง!

การปะทะทุกครั้งทำให้ร่างหวังหลินสั่นเทาแต่ก็ทำให้รอยแผลสั่นสะท้านไปด้วย ในที่สุดก็เริ่มเกิดรอยร้าวบนรอยแผลใบชานั้น

พื้นที่หวังหลินนั่งเริ่มแตกร้าวเป็นบ่อทุกครั้งที่เขาโจมจตีผนึก รอยร้าวกระจายออกและชนกับบ้านในหมู่บ้าน เพียงแค่สายลมพัด บ้านเหล่านั้นก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผง

เสียงรอยแตกร้าวเกิดขึ้นจากภายในตัวหวังหลิน ถึงจุดนี้รอยแผลบนใบหน้าหวังหลินที่ได้แตกไปพลันหลุดลอกออกมา

ขณะที่หลุดออกไปได้เปลี่ยนเป็นควันสีดำรวบรวมไว้นอกหน้าผากหวังหลินแทนที่จะสลายไป

ใบหน้าหวังหลินซีดขาวและโลหิตซึมจากมุมปากแต่แววตาสว่างสดใส

ในที่สุดก็ทำให้ผนึกและเขตแดนแห่งชาหลุดออกไปได้หลังจากโจมตีโดยใช้หินหยกสวรรค์เป็นเวลายาวนาน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!