392. แคว้นเซียนระดับหก
“แม้หยุนเชว่จื่อจะขอข้าเป็นการส่วนตัว หากข้าไม่ต้องการทำ ข้าแค่เตะหลิวเหมยออกไปและไม่ให้ของขวัญสองชิ้นกับเจ้าหรอก” แสงลึกลับเป็นประกายในดวงตาตุ้นเทียนยิ่งรุนแรงขึ้น
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซิ่งหนิวหรือหวังหลินนั้นไม่สำคัญ ตั้งแต่ที่สำนักหลอมวิญญาณของข้าเข้ามาในดาวเคราะห์ซูซาคุ เรามีบรรพชนขั้นแปลงวิญญาณทั้งหมดสามสิบหกตน ดวงวิญญาณพวกเขาทั้งหมดอยู่ในธงวิญญาณ ข้าเป็นคนที่สามสิบเจ็ดและศิษย์พี่ของข้าคือดวงที่สามสิบหก!”
ท่าทางหวังหลินเปลี่ยนไป เขาเงยศีรษะขึ้นและมองออกไปที่วงแหวนโลหิตสองวง
ตุ้นเทียนเอ่ย “สหายน้อย ไม่จำเป็นต้องมองออกไปหรอก ศิษย์พี่ของข้าตายไปเมื่อสองปีก่อนตอนที่หมดอายุขัย แม้กระทั่งซูซาคุคนปัจจุบันยังไม่รู้เรื่องนี้”
หวังหลินครุ่นคิดเงียบๆ
แสงลึกลับในแววตาตุ้นเทียนยิ่งรุนแรงขณะมองหวังหลินและเอ่ยทีละคำ “สหายน้อยข้ามีคำถามหนึ่งให้เจ้า เจ้าจะเข้าสำนักหลอมวิญญาณเพื่อกลายเป็นผู้รับช่วงคนถัดไปหรือไม่ สาบานด้วยเขตแดนของเจ้าว่าเจ้าจะช่วยสำนักหลอมวิญญาณให้กลายเป็นแคว้นเซียนระดับหกในสักวันหนึ่ง?!”
หวังหลินไม่ตอบในทันทีแต่ถามขึ้น “ทำไมต้องเป็นข้า?”
“หยุนเชว่จื่อเป็นเพียงเหตุผลส่วนหนึ่ง เหตุผลหลักนั้นเพราะศิษย์พี่อาวุโสของข้า สหายน้อยเซิ่งหนิว เขตแดนของศิษย์พี่ข้าไม่ได้มีความสามารถในการโจมตีแต่เขาเป็นเพียงคนเดียวที่มีมันในทั้งดาวเคราะห์แห่งนี้หรือแม้กระทั่งดาวอื่น มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง” ตุ้นเทียนเผยใบหน้านับถือ
“เขตแดนนี้คือมองเห็นล่วงหน้า! เดิมทีเขามีอายุขัยเหลือเพียงหนึ่งร้อยปีแต่กลับใช้มันทั้งหมดกระตุ้นเขตแดนของตัวเองเพื่อหาทางรอดให้กับสำนักหลอมวิญญาณ แต่ในท้ายสุดเขายังล้มเหลว…”
หวังหลินขมวดคิ้วและรอให้เขาพูดจบ หากตุ้นเทียนพูดเรื่องที่ศิษย์พี่ของเขาพยากรณ์ว่าหวังหลินเป็นความหวัง เขาจะไม่ฟังเรื่องไร้เหตุผลนี้อีกต่อไป
ตุ้นเทียนจ้องหวังหลินด้วยสายตาไม่ปกติ “ถึงแม้ศิษย์พี่ของข้าจะตาย ตอนที่เขาตายเป็นตอนที่เจ้ามาถึงสำนักของข้า!”
หวังหลินตกตะลึง
“เรื่องนี้อาจจะเป็นความบังเอิญ เพียงแต่ข้าคนนี้ดันทุรัง อายุขัยของข้ากำลังถึงขีดจำกัดดังนั้นข้าไม่สามารถรอได้นานกว่านี้ ข้าเดิมพันว่าเขตแดนของศิษย์พี่ได้พาเจ้ามาที่นี่!” ตุ้นเทียนยิ้มอย่างขมขื่น เขารู้ว่านี่เกือบจะเป็นเพียงแค่การหลอกลวงตัวเอง
“สำนักหลอมวิญญาณไม่มีใครที่จะสืบทอดข้า แม้ข้าจะสามารถต่อสู้กับซูซาคุคนปัจจุบันด้วยธงวิญญาณตอนนี้ได้ เมื่อข้าตาย สำนักหลอมวิญญาณจะจบสิ้น…ธงวิญญาณจะถูกซูซาคุเอาไปและเมื่อไม่มีมันสำนักหลอมวิญญาณก็จะตาย”
หวังหลินครุ่นคิด เขาเงยศีรษะและเอ่ยขึ้น “หากข้าตกลง ท่านจะต้องให้ธงวิญญาณกับข้า”
ตุ้นเทียนพยักหน้า “ข้าจะให้ธงวิญญาณเจ้าเมื่ออายุขัยข้าหมดลง”
“แคว้นเซียนระดับหก…” หวังหลินส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มเจ็บปวด “ด้วยระดับฝึกฝนของผู้น้อย เรื่องนี้ยากเกินไป”
ตุ้นเทียนถอนหายใจและพลางเอ่ย “เซิ่งหนิว ข้าเหลือเวลาชีวิตอีกเพียงแค่สิบปี ภายในสิบปีนี้ข้ารับประกันว่าเจ้าปลอดภัย แต่หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่จำคำพูดของข้าไว้ให้ดี จดจำไว้ว่าสำนักหลอมวิญญาณไม่ทำให้เจ้าเป็นอันตรายและยกธงวิญญาณให้เจ้าเป็นของขวัญ นั่นถือว่าเพียงพอแล้ว”
หวังหลินขบคิด ผ่านไปพักใหญ่เขาพยักหน้าและเอ่ยตอบ “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”
ดวงตาตุ้นเทียนว่างขึ้น เขามองหวังหลินและหัวเราะ จากนั้นตบกระเป๋าโยนหินหยกสีทองให้หวังหลิน
“สำนักหลอมวิญญาณของข้าไม่มีพิธีโอ่อ่าอันใด หินหยกนี้บรรจุคู่มือผนึกวิญญาณซึ่งใช้ควบคุมธงวิญญาณหนึ่งล้านดวง นี่เป็นกำลังหลักของสำนักหลอมวิญญาณ จากวันนี้ในภายภาคหน้า เจ้าเป็นศิษย์หลักของสำนักหลอมวิญญาณ”
หวังหลินรับหินหยกและตรวจสอบมันก่อนจะเก็บใส่กระเป๋า
“ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ข้าจำเป็นต้องปิดด่านฝึกตนเพื่อเตรียมพร้อมให้วิญญาณของข้าเพิ่มเข้าสู่ธงวิญญาณ เจ้าไม่จากสำนักหลอมวิญญาณไปจะดีกว่าเพราะหากเจ้าพบเจออันตรายข้าจะไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้”
หวังหลินยิ้มบาง “ไม่มีปัญหา หากข้าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ข้าคงไม่รอดชีวิตจนถึงตอนนี้ ผู้อาวุโสไม่ต้องกังวล ข้ามีเรื่องส่วนตัวที่ต้องดูแล ข้ามั่นใจว่าจะกลับมาก่อนที่ผู้อาวุโสจะออกจากการปิดด่านฝึกตน”
ตุ้นเทียนมองหวังหลิน หลังขบคิดเล็กน้อยเขาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “เมื่อเจ้ามั่นใจข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก เจ้าไปได้แล้ว” เช่นนั้นเขาหายตัวเข้าไปในวงแหวนโลหิต
หวังหลินคำนับฝ่ามืออย่างเคารพจากนั้นหายตัวและออกจากสำนักหลอมวิญญาณ
ความเร็วของหวังหลินราวกับอุกาบาตในยามค่ำคืน เส้นผมพริ้วไสวในแรงลมและดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาว
เขาไม่เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ตุ้นเทียนบอก นอกจากนั้นแล้วหวังหลินไม่ใช่คนอ่อนต่อโลกในโลกแห่งเซียน เขาผ่านเรื่องราวมามากมาย ทว่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนี้ ในวันที่ตุ้นเทียนออกมายื่นธงวิญญาณให้เข้า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปิดเผย
“หลี่หยวนเฟิง!” เจตนาสังหารอัดแน่นเต็มสองตาและเขาเหาะเหินเร็วยิ่ง
การพยายามเอาชีวิตเขาเมื่อสองปีก่อนและทำให้เขาสูญเสียระดับฝึกตน ตอนนี้ระดับของหวังหลินฟื้นฟูมาแล้ว สิ่งแรกที่เขาจะทำคือสังหารหลี่หยวนเฟิง
“เขาถูกยกระดับไปขั้นแปลงวิญญาณด้วยกำลังและถือได้ว่าอ่อนแอที่สุดในเหล่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณ ร่างหลักของข้าได้แปรเปลี่ยนเป็นเทพโบราณสามดาว หากข้ารวมเข้ากับร่างหลัก ข้าสามารถเอาชนะได้” ดวงตาหวังหลินสว่างวาบและร่างกายหายวับเข้าไปในความมืดมิด
หนึ่งเดือนหลังจากนั้นในหุบเขาแคว้นซู โจวลี่กำลังเล่นกับเจ้าขาวน้อย คางคกสายฟ้ากำลังอาบแดและไท่หยานกำลังบ่มเพาะ เขาใกล้จะเข้าสู่ขั้นตัดวิญญาณมากแล้วและกำลังรู้แจ้งเขตแดนของตนเอง
คางคกสายฟ้าลืมตาขึ้นทันที สายตาใหญ่โตของมันมองไปทางนอกหุบเขา
ชายหนุ่มชุดขาวเดินเข้าไปในหุบเขาด้วยรอยยิ้ม เขตแดนระดับเทวะจากเจดีย์ไม่มีผลต่อเขา
โจวลี่ขยี้ตาตัวเองและร้องไห้อย่างยินดีทันที นางกระโดดลงจากเจ้าขาวน้อยและร้องด้วยความสุข “ท่านลุง! ท่านลุง!”
หวังหลินหัวเราะ สวมกอดโจวลี่น้อยและมองไปทางไท้หยาน
ไท้หยานยืนขึ้นและเอ่ยอย่างเคารพ “คำนับท่านผู้มีพระคุณ”
หวังหลินเอ่ย “ไท้หยาน เจ้าใกล้จะบรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้ว ไปเมืองหลวงของแคว้นซูและอาศัยอยู่ที่นั่นเพราะหาประสบการณ์ชีวิต เจ้าจะบรรลุขั้นตัดวิญญาณแน่นอนภายในสามปี!”
ไม่มีความสุขหรือความเศร้าบนใบหน้าแต่ฝ่ามือของเขาสั่นเทาและเอ่ยขึ้น “จริง…ตกลง!” เขามองโจวลี่และจากนั้นหันตัวกลับ เขากัดฟันแน่นและหายวับไป
โจวลี่กอดหวังหลินและถามอย่างรวดเร็ว “ท่านลุง ไหนหล่ะพยัคฆ์ตัวใหญ่ของข้า? ไหนหล่ะพยัคฆ์ตัวใหญ่ที่ท่านสัญญาไว้ตอนที่ท่านจากไป?”
เจ้าขาวน้อยกำลังฟังและเริ่มตื่นเต้น มันคิดว่า ‘ดูเหมือนว่าชีวิตอันขมขื่นของท่านพยัคฆ์ตัวนี้กำลังจะจบ หากเจ้าปิศาจน้อยได้สัตว์เลี้ยงตัวใหม่ นางควรจะปล่อยข้าไป’
เมื่อคิดถึงเรื่องราวดีดีที่กำลังจะมาถึงและคิดถึงพยัคฆ์สาวที่เขาไม่ได้เจอมานานมาก เจ้าขาวน้อยอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น
“พยัคฆ์ตัวใหญ่…” หวังหลินลูบจมูก เขาลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ เขาพบเจอเรื่องราวมาหลายเรื่องในระหว่างการเดินทางนี้
โจวลี่บุ้ยแก้มและเอ่ยขึ้น “ท่านลุงตอนที่ท่านจากไป ท่านพูดว่าจะไม่ลืม…”
หลังจากเจ้าขาวน้อยได้ยินเช่นนี้ ภาพฝันเปลี่ยนเป็นสีดำและความหวังทั้งหมดของมันหายวับไป มันลอบถอนหายใจและงุนงงว่าทำไมชีวิตของมันถึงต้องมาทารุณขนาดนี้
หวังหลินยิ้มและลูบศีรษะของโจวลี่ “ฟังก่อน ลุงมาที่นี่เพื่อพาเจ้าไปที่อื่น แล้วค่อยไปจับพยัคฆ์ตัวใหญ่ให้เจ้าทีหลัง”
โจวลี่เป็นเพียงแค่เด็กดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้นางจึงมีความสุขทันทีและถามขึ้น “เราจะไปที่ไหน? ท่านลุงจะพาข้าไปเล่นที่ไหน?”
“ลุงจะพาไปหาเพื่อน!” เจตนาสังหารปรากฎในแววตาหวังหลิน
จิตใจเจ้าขาวน้อยสั่นเทาและมันมีความหวังอีกครั้ง คราวนี้มีมากกว่าครั้งก่อน มันคิดว่าหากทั้งสองคนจากไปมันจะมีอิสระขึ้น เมื่อคิดเรื่องนี้มันจึงตื่นเต้นอีกครั้ง
หวังหลินเอ่ยออกมา “ลี่เอ๋อน้อย เข้าไปในเจดีย์ การเดินทางนี้จะยาวนานมาก อยู่ในเจดีย์เพื่อให้มั่นใจว่าเจ้าปลอดภัย ตอนนี้เลย”
โจวลี่พยักหน้ารวดเร็วและเผยใบหน้าตื่นเต้น เมื่อนางได้ยินคำว่าจะออกไปถึงกับมีความสุขมาก
“เจ้าขาวน้อย มากับข้า!”
เจ้าขาวน้อยส่งเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความเศร้าขณะที่การคาดหวังทั้งหมดของมันแตกกระจายอีกครั้ง มันมองภูเขาอย่างไม่เต็มใจราวกับมีเสือสาวยังรอคอยมันอยู่ สุดท้ายโจวลี่ก็ตบและตีมันเพื่อให้ตามเข้าไปในเจดีย์
หวังหลินสร้างผนึก เจดีย์หดลงอย่างรวดเร็วและเก็บมันไปอย่างระมัดระวัง
หลังเสร็จเรื่องทั้งหมด หวังหลินสูดหายใจลึกและก้าวไปข้างหน้า พลังแข็งแกร่งสายหนึ่งโผล่ออกมาจากใต้ดินและในเวลาเดียวกันร่างหลักก็ลืมตาตื่น จังหวะนั้นมันก็ขึ้นมาบนพื้นผิวเรียบร้อย
บนหน้าผากมีดวงดาวสีม่วงหมุนติ้วและปลดปล่อยแสงอันชั่วร้าย
เมื่อร่างหลักปรากฎเบื้องหน้า ทั้งคู่เดินเข้าหากันและรวมเข้าด้วยกันกลายเป็นคนเดียว
กลายเป็นหวังหลินตัวจริง ร่างหลักคือภายนอกและระดับฝึกตนของร่างอวตารอยู่ข้างใน กลิ่นอายอึดอัดไหลออกมาจากภายในร่างของเขา
ท้องฟ้าเปลี่ยนสี สายฟ้าดังสนั่นบนฟากฟ้าและเม็ดฝนก้อนใหญ่เริ่มตกลงมา
หวังหลินอยู่ในสายฝน เขามองไปทางเฉว่ยี่ราวกับเทพมาร
“หลี่หยวนเฟิงแห่งเฉว่ยี่ บรรพชนแห่งเผ่ามารยักษ์และซุนไท่ที่ใช้โอกาสนั้นผนึกข้า ตอนนี้ข้าได้ฟื้นฟูระดับฝึกฝนแล้ว ข้าจะไปทวงหนี้พวกเจ้าทีละคน!”
“คนแรกในรายชื่อคือหลี่หยวนเฟิง ให้ข้าดูว่าระดับขั้นแปลงวิญญาณที่เจ้าได้รับมาโดยกำลังจะแข็งแกร่งกว่าร่างหลักของข้าที่รวมกับร่างอวตารไหม!”