393. พลังอำนาจหนึ่งคำพูด
สายตาหวังหลินแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น ชี้ระหว่างคิ้วตัวเองและลูกปัดฝืนลิชิตฟ้าปรากฎ
ดวงตาพลันสว่างวาบและตบกระเป๋าทำให้เศษผลึกชิ้นหนึ่งออกมา มันเป็นวิญญาณธาตุพฤกษาที่หวังหลินขโมยมาเบื้องหน้าผู้อาวุโสแห่งแคว้นซูซาคุหลังจากการประลองกับผีเสื้อสีชาด
“โลหะ พฤกษา วารี อัคคีและปฐพี ลูกปัดฝืนลิชิตฟ้าขาดเพียงแค่ธาตุโลหะและธาตุพฤกษาครึ่งเดียว จากสิ่งที่ซือถูหนานพูด เมื่อทั้งห้าธาตุรวบรวมได้สำเร็จมันจะจดจำผู้เป็นเจ้าของ วันนั้นจะมาถึงในไม่ช้านี้” หวังหลินนำผลึกธาตุพฤกษาเข้าหาลูกปัด
เมื่อทั้งสองอย่างสัมผัสกัน ผลึกธาตุพฤกษาหายเข้าไปในลูกปัดฝืนลิขิตฟ้า ใบไม้บนลูกปัดเริ่มขยับและเพิ่มขึ้นทีละใบจนในที่สุดมันก็สมบูรณ์
“เหลือเพียงแค่ธาตุโลหะเท่านั้น!” ดวงตาหวังหลินประกายแวววาวพร้อมกับมองออกไปทางเฉว่ยี่ “ธาตุโลหะรอได้อยู่แล้ว หลี่หยวนเฟิง ข้ากำลังไปหา!”
เขาเก็บลูกปัดกลับไปจากนั้นร่อนลงบนเจ้าคางคกสายฟ้าและหัวเราะ “สหายเก่า ไปกันเถอะ!”
เจ้าคางคกสายฟ้าร่ำร้องอย่างมีความสุข ถีบพื้นดินจนหินแตกกระจาย มันพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับอุกกาบาต
หวังหลินหัวเราะและสัมผัสกระเป๋า เจ้าอสูรยุงปรากฎและคำราม จงอยปากอันแหลมคมของมันแทงเข้าหาคางคกสายฟ้า
คางคกสายฟ้ากลอกกลิ้งตาของมัน พุ่งลิ้นออกไปราวกับสายฟ้าเล่นด้วยกับอสูรยุง
หวังหลินนั่งยิ้มบนหลังคางคกสายฟ้าขณะมองทั้งสองตัวเล่นด้วยกัน เขาหันไปทางเฉว่ยี่ แม้เขายังคงรอยยิ้มแต่ทว่าแฝงความเย็นชาเอาไว้
แคว้นเฉว่ยี่
ดินแดนสีเขียวเมื่อครั้งพันธมิตรสี่สำนักตอนนี้เป็นสีขาวโดยสิ้นเชิง ดินแดนแห่งนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่หิมะสีขาว
ดวงอาทิตย์สะท้อนหิมะจนเกิดแสงจ้ารุนแรง หากมองนานๆอาจจะปวดตาหรือไม่ก็ตาบอดได้
เหล่าคนทั่วไปที่อาศัยในเฉว่ยี่ต่างก็มีวิธีปกป้องสายตาตัวเอง หลังเฉว่ยี่กลายเป็นแคว้นเซียนระดับห้านั้นในโลกคนธรรมดาจึงกลายเป็นเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น
ใจกลางแคว้นเฉว่ยี่คือปราสาทน้ำแข็ง
ที่นี่คือสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในแคว้นเฉว่ยี่ สถานที่ที่มีเพียงเซียนขั้นแปลงวิญญาณหลี่หยวนเฟิงบ่มเพาะอยู่ตลอดทั้งปี
หลังได้รับบาดเจ็บจากสายฟ้าของซุนไท่ เขากำลังฟื้นฟูพลังของตัวเองอย่างช้าๆ เขาได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณด้วยการฝืนขึ้นมา นับว่าโชคดีมากที่เขาไม่สูญเสียชีวิตของตัวเองไป
มีก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่หลายก้อนรอบๆตัวเขา แต่ละก้อนกำลังปลดปล่อยพลังปราณสวรรค์
การใช้วิธีนี้เพื่อรักษายังนับว่าไม่เพียงพอต่อหลี่หยวนเฟิง
เวลาที่ผ่านมาสองปีนี้เขาส่งคนไปที่ภูเขาซูซาคุเพื่อรับเอาหินหยกสวรรค์จากผีเสื้อสีชาดแต่กลับถูกหยุดไว้ข้างนอกทุกครั้ง
หลี่หยวนเฟิงงุนงง ยิ่งเวลาผ่านไปเขายิ่งคาใจและอดไม่ได้ที่จะขุ่นเคืองผีเสื้อสีชาด
นอกจากนั้นแล้วที่เขาบาดเจ็บก็เพราะพยายามสังหารเซิ่งหนิวซึ่งเรื่องทั้งหมดก็เพื่อนางทั้งนั้น
เขาใช้เวลาสองปีนี้เพื่อพยายามรักษาอาการบาดเจ็บของตัวเอง จากการคำนวณจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีเพื่อฟื้นฟูได้เสร็จสมบูรณ์
ในวันนี้ที่ชายแดนของเฉว่ยี่ ร่างสีขาวค่อยๆเดินเข้ามาในแคว้น เขามองไปทางเฉว่ยี่ด้วยสายตาระลึกถึงความหลัง
“พันธมิตรสี่สำนัก…” หวังหลินถอนหายใจและหายตัวไป
เมืองหลวงของเฉว่ยี่คือเมืองหลวงของพันธมิตรสี่สำนักเคยตั้งถิ่นฐาน มีถนนสายหนึ่งในเมืองนี้ที่อยู่ในความทรงจำหวังหลินหลายสิบปี
หวังหลินปรากฎตัวบนถนนสายนี้ เขามองดูถนนที่คุ้นเคยจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงครอบครัวของต้าหนิว
หลังผ่านไปพักใหญ่ สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกพร้อมกับเดินจากไป
ภายในปราสาทหิมะน้ำแข็ง หลี่หยวนเฟิงซึ่งกำลังบ่มเพาะพลันลืมตาตื่นขึ้น แววตาสว่างวาบขณะยกศีรษะมองออกไปนอกปราสาท
“หลี่หยวนเฟิง!” จัสตุรัสนอกปราสาท สายลมคำรามจนหิมะปลิวว่อน
ร่างมายาคนหนึ่งค่อยๆเดินผ่านหิมะ มันค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างและเมื่ออยู่ห่างประตูปราสาทเพียงสิบก้าว ร่างนั้นเผยตัวตนเป็นหวังหลิน
หวังหลินมองหลี่หยวนเฟิงที่ตื่นตกใจด้วยใบหน้าเย็นชา
รูม่านตาหลี่หยวนเฟิงหดแคบขณะจ้องหวังหลิน หลังจากนั้นเอ่ยขึ้น “เซิ่งหนิว!”
แม้ท่าทีของเขาสงบนิ่งแต่จิตใจตื่นตะลึง เขาจินตนาการไม่ออกว่าหวังหลินสามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บจากเขตแดนของเขาด้วยเวลาเพียงสองปีได้อย่างไร และถึงกับเพิ่มระดับขั้นตัดวิญญาณระดับกลางไปสู่ระดับปลายได้ด้วยอีก
สองปีไม่นับเป็นอะไรได้สำหรับเหล่าเซียน การทำเรื่องเช่นนี้ได้ในเวลาเพียงแค่สองปีทำให้หลี่หยวนเฟิงตกใจ
ขณะนี้เองคนอีกสามคนปรากฎระหว่างหลี่หยวนเฟิงและหวังหลิน เป็นสองบุรุษและหนึ่งสตรีซึ่งทั้งหมดแก่ชรามาก
หนึ่งในผู้อาวุโสตะโกนขึ้น “เจ้ากล้าบุกรุกปราสาทหิมะน้ำแข็ง!”
“เซิ่งหนิว!” แววตาหญิงชราที่จ้องหวังหลินเปลี่ยนเป็นเย็นชา
หวังหลินเดินไปข้างหน้าอย่างเยือกเย็น
รอยร้าวนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นตำแหน่งที่หวังหลินเหยียบลงไปและกระจายข้ามผ่านปราสาทอย่างรวดเร็ว
หวังหลินเอ่ยเบาๆ “ทำลาย!”
ทั้งปราสาทเริ่มเกิดเสียงดังกึกก้องและจากนั้นพังทลายไปครึ่งนึง
สามอาวุโสถูกพลังรุนแรงสายหนึ่งผลักออกไปพร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนไป หนึ่งในชายชราจ้องมองหวังหลินด้วยสายตาไม่เชื่อและตะโกน “เจ้าได้บรรลุขั้นแปลงวิญญาณงั้นหรือ?!”
หวังหลินกระทั่งไม่มองทั้งสามคน สายตาจับจ้องบนหลี่หยวนเฟิงตลอดเวลา ขณะนั้นเองเขาขยับร่างกายเข้าหาราวกับสายฟ้าฟาด
สามอาวุโสตะโกนทันทีและปรากฎตัวเบื้องหน้าหวังหลินเพื่อพยายามขัดขวางเขา
ดวงตาหวังหลินเย็นยะเยือก เขาปรากฎตัวด้านหน้าหนึ่งในผู้อาวุโสและโยนกำปั้นเข้าใส่หน้าอก
ปัง!
หน้าอกยุบตัวลงและเขากระอักโลหิต ร่างถูกส่งลอยออกไปและเสียชีวิตในทันที แม้กระทั่งวิญญาณดั้งเดิมถึงกับไม่มีเวลาหลบหนี มันแตกกระจายจากแรงกำปั้นนั้น
นี่คือพลังของร่างหลักและร่างอวตารรวมเข้าด้วยกัน
เซียนขั้นตัดวิญญาณระดับกลางเสียชีวิตในหมัดเดียว!
ที่เหลือสองคนหวาดกลัวจนแข็งทื่อ
หวังหลินไม่ได้มองที่เหลือสองคน เขาเดินเข้าหาหลี่หยวนเฟิงใกล้ขึ้น
ใบหน้าหลี่หยวนเฟิงมืดมนพร้อมกับใช้ฝ่ามือสร้างผนึกขึ้นชี้ไปที่ก้อนน้ำแข็งยักษ์แปดก้อน น้ำแข็งเคลื่อนเข้ามาปกป้องเขา
หวังหลินพ่นลมหายใจและโยนกำปั้นใส่ก้อนน้ำแข็ง
ปัง! ปัง!
การระเบิดดังก้องสั่นสะเทือนฟ้าดินไปทั่วแคว้นเฉว่ยี่
ก้อนน้ำแข็งเบื้องหน้าหลี่หยวนเฟิงเต็มไปด้วยรอยร้าวก่อนจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คลื่นกระแทกรุนแรงทำให้ปราสาทที่เหลือป่นปี้เป็นผุยผง
ร่างหลี่หยวนเฟิงพุ่งออกมาจากก้อนน้ำแข็งที่แตกกระจาย เขาลอยกลางอากาศ เส้นผมพริ้วไหวพลางเอ่ยขึ้น “เซิ่งหนิว วันนี้เจ้าจะตายแน่นอน!”
หวังหลินเงยศีรษะ เขาจ้องมองหลี่หยวนเฟิงและเอ่ยช้าๆ “วันนี้ข้าจะมาเอาวิญญาณของเจ้า!”
ฝ่ามือหลี่หยวนเฟิงสร้างผนึกและรูปใบชายักษ์ปรากฎเบื้องหน้าในทันที เขาผลักมันออกไปและเริ่มลดลงเข้ามาหาหวังหลิน
แววตาหวังหลินเต็มไปด้วยเจตนาการต่อสู้ เขายกหมัดขึ้นอย่างรวดเร็วปะทะเข้ากับสัญลักษณ์ใบชา
ปัง!
สัญลักษณ์ใบชาที่กำลังคล้อยลงมาจากท้องฟ้าได้ปะทะทันทีและคลื่นกระแทกทำให้หลี่หยวนเฟิงถอยหลังไปร้อยฟุต สายตาเขาเต็มไปด้วยความตกใจและยิ่งหวาดกลัวขึ้น
หวังหลินถอยกลับไปสามก้าว แต่ละก้าวเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนขึ้นบนพื้นดิน
การต่อสู้ระหว่างทั้งสองคนทำให้ทุกคนในเฉว่ยี่เกิดความสนใจ นอกจากชายชราที่ตายไปและอีกสองคนแล้ว เซียนขั้นตัดวิญญาณที่เหลืออยู่สิบเจ็ดคนต่างก็เคลื่อนที่พริบตาเข้าหาปราสาท
สำหรับพวกเขา หลี่หยวนเฟิงเป็นจ้าวของทั้งแคว้น ตราบใดที่เขามีชีวิตก็ถือว่าเป็นแคว้นระดับห้า หากเขาตายไปจะไม่สามารถสร้างเซียนขั้นแปลงวิญญาณได้ในเวลาอันสั้นซึ่งนั่นหมายถึงเหลือเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือระดับของแคว้นตกลง
พริบตาเดียว เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณก็มาถึง พวกเขานำสมบัติของตนเองออกมาโดยไม่ลังเลและกำลังจะโจมตี
หวังหลินมีสายตาเยือกเย็น เขาเอ่ยคำเพียงคำเดียว “ไปซะ!”
มันคือคำพูดเพียงคำเดียว ในครั้งแรกมันเบามากแต่เพียงกระพริบตามันก็ดังก้องในท้องฟ้าราวกับเป็นความโกรธแค้นแห่งสวรรค์!
“ไปซะ! ไปซะ! ไปซะ! ไปซะ! ไปซะ!…”
เสียงราวกับสวรรค์กำลังพังทลายและดังก้องในท้องฟ้า นี่คือน้ำเสียงของเทพโบราณ ความโกรธเกรี้ยวของเทพโบราณซึ่งเสียงคำรามแรกของหวังหลินนั้นใช้พลังของเทพโบราณเต็มกำลัง
ก้อนเมฆในท้องฟ้าหายไปโดยไร้ร่องรอยและรอยร้าวเริ่มปรากฎในท้องฟ้าราวกับรอยแยกอวกาศ
พื้นดินเริ่มสั่นและรอยแผ่นดินแยกเปิดออกราวกับกระดาษฉีกขาด
ฟ้าดินสั่นสะเทือน!
เหล่าเซียนขั้นตัดวิญญาณซึ่งกำลังจะโจมตีได้กระอักโลหิตกันทั้งหมดและถูกบังคับให้ถอย แววตาแต่ละคนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่กล้าโจมตี
พลังอำนาจหนึ่งคำพูด!
หวังหลินสูดหายใจลึก การรวมกันของร่างหลักและร่างอวตารทำให้ผ่าเหล่าอย่างประหลาดซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ตอนนี้เขาถือได้ว่าเป็นเทพโบราณสามดาวพร้อมกับระดับฝึกตนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายซึ่งควบคุมเขตแดนแห่งชีวิตและความตายไว้ หรือไม่ก็ถือเรียกอีกอย่างว่าเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับปลายที่ควบคุมเขตแดนแห่งชีวิตและความตายและมีร่างกายเป็นเทพโบราณสามดาว
สีหน้าหลี่หยวนเฟิงน่าเกลียดน่ากลัว เขาจ้องหวังหลินและครานี้เป็นครั้งแรกที่นับว่าหวังหลินเป็นศัตรู พลังอำนาจคำพูดของหวังหลินก่อนหน้านี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนขั้นแปลงวิญญาณคนใดเลย