445. มู่หรงหยุน
เสียงกรีดร้องบางเบาออกมาจากด้านหลังหวังหลินและเกิดเสียงหัวเราะตามมา หวังหลินได้ยินเสียงอย่างชัดเจน
“มีคนมาเล่นกับข้า…”
หวังหลินพยายามตรวจสอบเม็ดฝุ่นในมือด้วยสัมผัสวิญญาณแต่พบว่ามีพลังสายหนึ่งหยุดเอาไว้ หวังหลินขมวดคิ้วจากนั้นกระตุ้นพลังปราณสวรรค์รวมเข้าไปกับสัมผัสวิญญาณ สัมผัสวิญญาณกระจายออกอีกครั้งคราวนี้ทะลวงผ่านพลังและเข้าไปในเม็ดฝุ่นได้
จังหวะที่สัมผัสวิญญาณเข้าไป เขาได้ยินเสียงกระจกกำลังแตกร้าวและรอยร้าวเปิดขึ้นพร้อมกับเปลวเพลิงฟ้าปรากฎในฝ่ามือ
เมื่อเห็นเปลวเพลิงนี้ร่างหวังหลินสั่นสะท้าน!
“เสี้ยววิญญาณ!”
นี่คือเสี้ยววิญญาณของคนธรรมดาผู้หนึ่งและมันแฝงอยู่ในธาตุอัคคี เจ้าของเสี้ยววิญญาณนี้ไม่เคยฝึกเซียนและเป็นเพียงคนธรรมดา
“พื้นดินไหม้นั่นเกิดขึ้นจากเม็ดฝุ่นพวกนี้และทุกชิ้นคือเสี้ยววิญญาณหนึ่งดวง ทั้งหมดควรจะเป็นวิญญาณคนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกเซียนและเด็กคนนั้นคือร่างวิญญาณที่เกิดจากเสี้ยววิญญาณรวมเข้าด้วยกัน…มิน่าเล่ากระบี่สวรรค์ถึงไม่สามารถทำลายมันได้”
ท่าทางหวังหลินมืดมนมากขึ้น เขามองเปลวเพลิงอีกครั้งก่อนจะเก็บมันกลับในเม็ดฝุ่น เมื่อเปลวเพลิงฟ้ากลับเข้าไปข้างใน รอยร้าวที่เกิดขึ้นก็ปิดผนึกตัวมันเอง
หวังหลินสะบัดแขนและเม็ดฝุ่นลอยกลับเข้าหาพื้นดินไหม้เกรียมนั้น
“ซือถูหนานกล่าวว่าเสี้ยววิญญาณอยู่ในผลึกดาวเซียน เช่นนั้นทำไมข้าถึงเจอเสี้ยววิญญาณที่ทางเข้า…หรือเสี้ยววิญญาณของข้าจะอยู่ในร่างมีชีวิตแบบนี้…”
หวังหลินเหาะเหินไปข้างหน้าและขมวดคิ้ว
สุสานซูซาคุกว้างใหญ่มาก หลังจากทิ้งพื้นดินไหม้เกรียมไว้เบื้องหลัง หวังหลินจึงเลือกสักทางและเหาะเหินไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว
ทิวทัศน์ของสุสานซูซาคุไม่แตกต่างจากข้างนอก มีภูเขาและแม่น้ำหลายแห่งรวมถึงพลังปราณที่นี่หนาแน่นมากกว่าข้างนอกหลายเท่าตัว แม้แต่ค่ายกลรวบรวมปราณของสำนักส่วนใหญ่ก็มิอาจสร้างปรากฎการณ์เช่นนี้ได้
สามวันถัดมา หวังหลินเคลื่อนไหวราวกับอุกกาบาตระยะต่ำเข้าหาพื้นที่ส่วนในของสุสาน
แต่ว่าหลังจากผ่านสามวันมาหวังหลินยังไม่พบชายขอบเลย ตอนนี้เขาเหาะเหินเหนือพื้นที่ราบโล่ง ทุ่งหญ้าเขียวขจีดูเหมือนจะปกคลุมสุดลูกหูลูกตา!
สามวันที่ผ่านมาเขายังไม่เห็นเซียนสักคนเลย!
ขณะที่กำลังเหาะเหิน ใบหน้าพลันเปลี่ยนไปและหันตัวกลับ เขาเห็นเซียนสองคนกำลังเหาะเหินข้ามผ่านน่านฟ้า หนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรี เมื่อทั้งสองคนเห็นหวังหลินจึงตกตะลึง
สายตาหวังหลินสว่างวาบและซ่อนระดับบ่มเพาะตัวเอง ตอนนี้เขาดูเหมือนเป็นคนที่พึ่งบรรลุขั้นตัดวิญญาณแล้ว
สัมผัสวิญญาณสองสายกวาดผ่านเขาราวกับสอดแนม หลังจากนั้นทั้งสองคนดูเหมือนผ่อนคลายเล็กน้อยและเหาะเหินเข้าหาเขาช้าๆ
ทั้งสองคนหยุดห่างหวังหลินไปหลายร้อยฟุต ฝั่งบุรุษเป็นชายหนุ่มสวมผ้าคลุมสีเขียวยับยู่ยี่ มันมีหลายรูและบางจุดถึงกับมีคราบเลือดที่กลายเป็นสีดำไปแล้ว แขนเสื้อมีสัญลักษณ์ลึกลับชัดเจนว่าเป็นคนของสำนักแห่งหนึ่ง
ส่วนฝั่งสตรี นางขี้เหร่เล็กน้อย มีรอยแผลนับไม่ถ้วนบนใบหน้า หากคนธรรมดาเห็นนางกลางคืนดึกดื่นคงคิดว่านางเป็นอสูรกาย
แม้ว่าใบหน้านางจะไม่น่ารัก ทว่าร่างของนางมีเสน่ห์เย้ายวนแบบสตรี หากไม่ติดเรื่องใบหน้าแน่นอนว่านางจะเป็นคนมีเสน่ห์คนนึงทีเดียว
ทั้งสองคนอยู่ห่างจากหวังหลินไปหลายร้อยฟุตจากนั้นฝั่งบุรุษตะโกนขึ้น “ข้ามู่หรงหยุน ขอทราบนามท่านได้หรือไม่”
หวังหลินสงบนิ่งและเผยรอยยิ้ม “ข้าฉิงมู่!” ฉิงมู่เป็นชื่อที่หวังหลินเคยใช้ตอนที่เข้าสำนักหลอมวิญญาณ
หวังหลินสามารถมองผ่านระดับพวกเขาได้เพียงแค่ชำเลืองมอง ชายหนุ่มเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับกลางขณะที่สตรีข้างๆเป็นระดับต้น นอกสุสานซูซาคุถือได้ว่าแข็งแกร่ง แต่ภายในสุสานแห่งนี้มีมากมายที่ตายไป พวกเขาดูเหมือนอ่อนแอไปเล็กน้อย
ที่ทั้งสองเข้ามาข้างในได้เพราะอยู่ในแคว้นซูซาคุตอนที่สุสานเปิดขึ้น หากมาถึงหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วันพวกเขาคงไม่มีโอกาสเข้ามาได้
มู่หรงตรวจสอบหวังหลินอย่างละเอียดและเอ่ยขึ้น “สหายเซียนพึ่งบรรลุขั้นตัดวิญญาณหรือ?”
สตรีข้างๆมองหวังหลินด้วยสายตาเฉยเมย
หวังหลินยิ้มบาง “ใช่แล้ว ข้าพึ่งบรรลุขั้นตัดวิญญาณ”
มู่หรงหยุนที่ตรวจสอบหวังหลินอย่างละเอียด หลังยืนยันได้ว่าเขาเป็นเซียนขั้นตัดวิญญาณระดับต้นจริงๆจึงผ่อนคลายเล็กน้อย “สหายเซียน ที่นี่อันตรายเกินไป เรามารวมกลุ่มกันไหม ยิ่งมีกันมากก็ยิ่งปลอดภัยและเราจะมีโอกาสได้เสี้ยววิญญาณของเราคืนมา”
หวังหลินขบคิดและเอ่ยขึ้น “หลังได้ยินสหายเซียนพูดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าท่านจะมั่นใจว่าจะได้วิญญาณกลับคืนมานะ” ขณะที่หวังหลินเอ่ย ดวงตาสว่างขึ้นโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
มู่หรงหยุนหัวเราะ “สหายฉิง เจ้าไม่รู้หรอกแต่ข้าเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาในสุสานซูซาคุ ข้าเห็นเฉียนเฟิงและพวกชาแมนแปดใบไม้เข้าไปพื้นที่ส่วนในกับตาตัวเอง หากไม่ใช่ว่าระดับบ่มเพาะของข้าต่ำไปข้าคงเข้าไปพื้นที่ส่วนในแล้ว”
“โอ้?” หวังหลินยิ้มบาง “เฉียนเฟิงและพวกเขาเข้าไปได้อย่างไรเล่า?”
มู่หรงหยุนเผยรอยยิ้มลึกลับ “ข้าบอกน้องฉิงได้แค่ทางเข้าเป็นฐานแห่งหนึ่ง พวกเขาค้นหากันเป็นเวลานานจนในที่สุดก็เข้าไปในนั้น แต่ว่าตำแหน่งของฐานอยู่ไกลและอันตรายมาก เราต้องรอให้มีคนมากขึ้นจากนั้นเราค่อยหาโอกาส”
สายตาเยือกเย็นของหวังหลินมองไปที่เขา เผยรอยยิ้มบางและพยักหน้า
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน สตรีถัดจากมู่หรงหยุนเอ่ยขึ้น “ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องไร้สาระอีกต่อไปแล้ว!” สิ้นคำนางเหาะเหินออกไป
มองไปที่หลังนาง มู่หรงหยุนถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อนนางงดงามมาก น่าเสียดาย…”
เช่นนั้นเขาคำนับฝ่ามือกับหวังหลินและติดตามนางไป
หวังหลินลูบคางและตามหลังทั้งสองคนอย่างช้าๆ เขาวางสายตาบนมู่หรงหยุนเป็นครั้งราว รอยบนแขนเสื้อและร่องรอยโลหิตแห้งสีดำบนเสื้อผ้าทำให้หวังหลินขบคิด
หวังหลินเอ่ยถามขณะที่เหาะเหินไป “สหายเซียนมู่หรง อันตรายแบบไหนกันที่อยู่ตรงฐานนั่น?”
แววตามู่หรงหยุนปรากฎร่องรอยหวาดกลัวขณะสูดหายใจลึกและเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงแค่เห็นมันจากระยะไกลเท่านั้น มีเซียนขั้นแปลงวิญญาณสองคนและชาแมนแปดใบไม้จำนวนสามคนที่ตายไป หลังจากพวกเขาตายไปข้าก็ไม่เคยเห็นศัตรูเลย”
หวังหลินเผยรอยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มและกล่าวขึ้นซ่อนการเย้ยหยัน “โชคของสหายมู่หรงช่างดีจริงๆ”
มู่หรงหยุนตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ จากนั้นเผยรอยยิ้มแจ่มใส “ข้าอยู่ไกลมากจริงๆและหนีรอดมาได้จึงไม่ถูกลูกหลง แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ข้ามั่นใจก็คือมีตัวตนที่แข็งแกร่งอยู่ที่นั่นซึ่งอันตรายมาก เราจำเป็นต้องมีคนมากขึ้นเพื่อหาโอกาสเข้าไป”
หวังหลินมองมู่หรงหยุนด้วยรอยยิ้มประหลาดใจและไม่พูดอะไรอีก
จิตใจมู่หรงหยุนหดลง เขามองหวังหลินอีกครั้งก่อนจะหันกลับไปตามต่อ
ทั้งสามคนเหาะเหินข้ามผ่านพื้นที่ราบอย่างรวดเร็วด้วยสตรีที่อยู่ข้างหน้า ยามบ่ายของวันที่สองนางก็หยุดลงมองออกไปไกลและเอ่ยขึ้นด้วยความเยือกเย็น “มีคนเข้ามาด้านหน้า”
ขณะที่นางเอ่ยขึ้น กระบี่เล่มหนึ่งแทงผ่านอากาศและกวาดผ่านพวกเขา ปราณกระบี่แหลมคมใกล้เข้ามา กลิ่นอายเยือกเย็นพลันล้อมรอบทั่วบริเวณ
กระบี่เหินสีขาวเล่มหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว คนที่อยู่บนกระบี่เป็นชายชราผมสีเทาแต่ดวงตาเป็นประกายราวกับสายฟ้า ใบหน้ามืดมนและเฝ้าระวังด้านหลัง
ดวงตาหวังหลินสว่างวาบ เพียงแค่ชำเลืองมองก็รู้ว่าอะไรผิดปกติ สายฟ้าเกลียวกำลังไล่ล่าชายชรา สายฟ้านั้นดูเหมือนมีชีวิตและตามไล่ล่าเขาอย่างกระชั้นชิด
ขณะที่เขากำลังหลบหนี สัมผัสวิญญาณของชายชรากวาดผ่านทั้งสามคนและอุทานออกมาเมื่อสายตาตกลงบนหวังหลิน
หวังหลินเคยเห็นชายชรามาก่อน เขาเป็นหนึ่งในเซียนขั้นแปลงวิญญาณทั้งสิบหกคนที่อยู่นอกสุสานซูซาคุ ระดับบ่มเพาะของเขาคือระดับต้นำ
เขาพูดขึ้นอย่างเร่งรีบโดยไม่หยุดชะงัก “เหล่าสหายเซียนรีบล่าถอยเข้า สิ่งนั้นมันประหลาดมาก!”
ขณะนั้นมู่หรงหยุนมองสิ่งที่กำลังไล่ล่าชายชราอย่างละเอียด เขาจ้องธรรมดาแต่มวลสายฟ้าพลันหยุดกึกและคำรามอย่างไม่พอใจก่อนจะหนีกลับและจากไป
ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก หากไม่ใช่ว่าหวังหลินให้ความสนใจมู่หรงหยุนเป็นพิเศษ เขาคงไม่เห็นว่าพึ่งเกิดอะไรขึ้น
สายฟ้าหายวับไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ชายชราบนกระบี่เหินยังตกตะลึง เขาหยุดมองด้านหลังและขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน
มู่หรงหยุนลอยขึ้นสองสามฟุต คำนับฝ่ามือและเอ่ยขึ้น “ผู้น้อยมู่หรงหยุนขอคำนับผู้อาวุโส”
ชายชรามองมู่หรงหยุนอย่างเย็นชาและเมินเฉยเขา สายตาจรดลงบนหวังหลินขณะคำนับฝ่ามือ “ขอบคุณมากสหายเซิ่ง!”
หลังคิดอยู่สักพักเขาจึงไม่ใส่ใจจะหาความว่าทำไมสิ่งนั้นถึงหยุดไล่ล่าเขา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็คิดว่ามันต้องเกี่ยวกับเซิ่งหนิวคนนี้แน่ นอกจากนั้นแล้วเซิ่งหนิวเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังจึงต้องมีวิชาที่แข็งแกร่งแน่นอน
เมื่อเอ่ยคำว่า “สหายเซิ่ง” สตรีใบหน้าขี้เหร่พลันหันกลับมาทันทีและมองหวังหลินอย่างละเอียดยิบ
หวังหลินส่ายศีรษะและเผยรอยยิ้ม “นั่นไม่ใช่ข้า”
ชายชราขมวดคิ้วบางและยิ้มขึ้น “อย่าพูดเรื่องนี้เลย ข้ามู่หยุนไฮ่ สหายเซิ่งมีเบาะแสเกี่ยวกับการเข้าสุสานชั้นในหรือไม่?”