538. ความลังเล
นอกหุบเขา หวังหลินยดแขนขวาขึ้นและพื้นดินยักษ์ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ
หวังหลินด้านนอกหุบเขาด้วยสายตาเย็นชาสุดขั้ว เขาพ่นธงวิญญาณล้านดวงออกมา ฟืนธงสามสิบฟุตพริ้วกลางอากาศขณะที่เสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากข้างใน
แม้ธงวิญญาณล้านดวงจะไม่มีวิญญาณถึงล้าน มันก็ยังเป็นสมบัติหลักชิ้นสำคัญของสำนักหลอมวิญญาณ เพราะว่าทุกคนในหุบเขาฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นธงวิญญาณล้านดวงจึงเกิดแรงกระตุ้นให้เทิดทูน
หวังหลินคว้าธงและโบกหนึ่งครั้ง วิญญาณหลักที่เหลืออยู่หกดวงลอยออกมารวมถึงเจ้ากิเลน พวกมันปรากฎขึ้นล้อมรอบพื้นดินรัศมีห้าลี้ในทันที
ขณะเดียวกันหวังหลินก็พ่นโลหิตใส่ธงวิญญาณ ผืนธงขยายออกทันทีและโอบล้อมพื้นดินห้าลี้อย่างรวดเร็ว
“หลอมรวม!” หวังหลินเปลี่ยนสายตาเยือกเย็น
วิญญาณหลักทั้งหกดวงพลันสายตาเปล่งแสงชั่วร้ายและทั้งหมดพ่นดวงไฟสีม่วงออกมา ไม่นานนักพื้นดินที่ลอยอยู่ก็ครอบคลุมด้วยเพลิงสีม่วง
เพลิงเหล่านี้คือตัวตนของวิญญาณหลักทั้งหกที่ทำให้พวกมันทรงพลัง ขณะที่เพลิงกำลังลุกไม้ เกิดเสียงซี่ๆและดังป๊อกออกมาจากดินแดนนั้น
เสียงร้องไห้ปนหวาดกลัวผสมกันในเปลวเพลิง หลังผ่านไปเวลาครึ่งก้านธูป ดินแดนจึงเหลือเพียงครึ่งนึงซึ่งที่เหลืออยู่เป็นสีแดงล้วน
ทว่าด้วยการปกป้องของแสงสีเขียว เปลวเพลิงไม่สามารถหลอมทุกอย่างที่อยู่ข้างในได้อย่างสมบูรณ์ แสงสีเขียวกระพริบต่อต้านการรุกรานของเปลวเพลิงอย่างรุนแรงและต่อต้านกันจนขีดสุด
หวังหลินมองหนึ่งครา ยืนขึ้นและกลับเข้าสู่หุบเขา
“เมื่อเจ้าอยากหดหัวอยู่ในกระดอง ข้าแค่เพียงใช้เวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนหลอมค่ายกลให้สมบูรณ์ จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า”
โลหิตผู้คนในหุบเขากำลังเดือดเมื่อเห็นฉากเหตุกาณณ์นอกหุบเขา ทั้งหมดกำลังพูดคุยเรื่องนี้กัน ความเคารพต่อหวังหลินเพิ่มพูนจนขีดสุดและแม้แต่เด็กในหมู่บ้านก็คิดว่าหวังหลินเป็นเทพ
หลังจากทิ้งค่ายกลเอาไว้ หวังหลินสั่งการโอวหยางฮัวให้ส่งฉือซานไปที่ส่วนลึกของหุบเขา
โอวหยางฮัวทำตามคำสั่งของหวังหลินเสมอโดยไม่มีคำถาม หลังจากพาฉือซานไปให้หวังหลินแล้วเขาก็จากไปอย่างนอบน้อม
ใบหน้าฉือซานยังคงมีสีขึ้นมาเล็กน้อยแต่เขายังไม่รู้สึกตัว ง่ายมากที่จะช่วยฉือซานแต่ถึงเขาช่วยไป ฉือซานยังคงไร้ประโยชน์ ในสถานที่แห่งนี้คนไร้ประโยชน์ไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้
ร่างฉือซานเส้นชีพจรทั้งหมดแตกเสียหาย ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถดูดซับพลังปราณปิศาจได้เลย การทำให้เขาไม่เหมาะกับการฝึกฝนมีหลายวิธีที่หวังหลินรู้จัก
ฉือซานไม่สามารถบ่มเพาะได้เว้นแต่ว่าเส้นชีพจรในร่างกายจะฟื้นฟูขึ้นมา ทว่าหวังหลินไม่สามารถทำได้ มีเพียงเหล่าเม็ดยาฝืนลิขิตสวรรค์ที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้แบบนั้น
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ สายตาหวังหลินสว่างขึ้น มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ฉือซานสามารถฝึกฝนได้ท่ามกลางวิธีที่หวังหลินรู้จัก ทว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากและหวังหลินเริ่มลังเลเล็กน้อย ยากนักที่หวังหลินจะเกิดอาการแบบนี้
“ร่างกายของเซียนเหมือนทะเลและเส้นชีพจรเหมือนสายน้ำนับพันสาย ร่างกายเองคือโลกของตนเอง เมื่อผู้หนึ่งเริ่มรับรู้จากภายในร่าง และเขาจึงใข้ร่างกายเพื่อค้นหาเต๋า”
“ผิวหนังและเลือดเนื้อของเทพโบราณคือท้องฟ้า กระดูกคือแผ่นดิน วิญญาณกลืนกินพลังปราณของฟ้าดินเพื่อปรับแต่งร่างกาย เขาใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเพื่อทำลายจิตใจแห่งเต๋าทั้งหมดและใช้วิญญาณตนเองเพื่อวาดเต๋าของตนในสวรรค์!”
หวังหลินครุ่นคิด หากเขาสอนวิธีฝึกของเทพโบราณให้กับฉือซาน มันควรสามารถเปลี่ยนฉือซานจากคนไร้ค่าให้กลายเป็นคนแข็งแกร่งโดยสมบูรณ์
ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้รับการยืนยัน ตราบใดที่ร่างฉือซานไม่ดีพอเท่าร่างหลักของหวังหลิน เขาอาจจะไม่สามารถฝึกฝนให้สำเร็จได้ หากเขาล้มเหลวในการฝึกฝนวิถีของเทพโบราณ เขาจะตายเพราะร่างกายดูดซับพลังปราณปิศาจจำนวนมากอย่างบ้าคลั่ง
อีกทั้งเทพโบราณกลืนกินพลังปราณและพลังปราณสวรรค์ หวังหลินไม่มั่นใจว่ามันสามารถกลืนกินพลังปราณปิศาจได้หรือไม่
เมื่อครุ่นคิด หวังหลินส่ายศีรษะและไม่คิดเรื่องนี้อีก พลังปราณสวรรค์ในร่างกายเขาเลือนหายไปและผลึกปิศาจปลดปล่อยพลังปราณปิศาจออกมา ชั่วขณะนั้นเขากลับมาสู่สภาวะที่ปลดปล่อยกลิ่นอายปิศาจแล้ว
หวังหลินเคลื่อนนิ้วราวกับสายฟ้าและกดลงบนหน้าผากฉือซาน พลังปราณปิสาจเข้าไปในร่างฉือซานและเปลี่ยนเป็นจุดแสงสีทอง
หวังหลินยกแขนขึ้นและหลับตาฝึกฝน
เวลาครึ่งก้านธูปต่อมา ฉือซานค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เขามองท้องฟ้าเหนือหุบเขาและเงียบงัน หลังผ่านไปนานพลันลุกขึ้นและคุกเข่าต่อหน้าหวังหลินด้วยใบหน้าเจ็บปวด
ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มาจากร่างกายแต่มาจากจิตใจ
ชั่วขณะที่ตื่นขึ้นมา เขาเข้าใจได้ทันทีว่าไม่มีร่องรอยพลังปราณในร่างตนเอง ตอนนี้เขาอ่อนแอมากกว่าตอนที่เริ่มฝึกฝนเสียอีก
หวังหลินยังไม่ลืมตาขึ้น ฉือซานคุกเข่าอยู่เป็นเวลานานก่อนจะโขกศีรษะสามครั้ง จากนั้นจากไปโดยไม่หันศีรษะกลับมา
จนเมื่อเขาจากไปหวังหลินจึงลืมตาและถอนหายใจ ท่ามกลางคนทั้งหมดนี้ฉือซานถือว่ามีพรสวรรค์ที่สุด และเขามีความรู้ความเข้าใจเรื่องธงวิญญาณอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เรื่องนี้เขาคงประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในอนาคต
ฉือซานกลับบ้านตนเอง เขาคือหนึ่งในจำนวนน้อยในหุบเขาที่ไม่มีภรรยาและลูกหลาน ดังนั้นจึงอาศัยอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว ไม่มีกลิ่นอายใดของเด็กหนุ่มบนตัวเขา มีเพียงกลิ่นอายของชายชราที่เข้าสู่วันสุดท้ายของชีวิต
หลังเวลาผ่านไปนาน เขานั่งสมาธิในท่านั่งดอกบัวและพยายามฝึกฝนวิชาหลอมวิญญาณ ทว่าทุกครั้งที่เขาพยายามจะเกิดคลื่นความเจ็บปวดออกมาจากร่างกาย ความเจ็บปวดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทนไหว
อย่างไรก็ตามเขาอดทนกับมัน เมื่อไหร่ที่ล้มเหลวเขาจะพยายามอีกครั้งและดำเนินต่อไปจนต้านรับกับความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้
หลังพยายามฝึกฝนไปหลายครั้ง ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อไคล โลหิตบนร่างกายทั้งหมดปูดโปนออกมาจากความเจ็บปวดและสายตาของเขาเผยความสิ้นหวังเล็กๆ
“ข้าจะไม่ยอมแพ้!” เขาสูดหายใจลึกและดำเนินการฝึกฝนพร้อมกับทนรับความเจ็บปวด คราวนี้ขณะที่เขาดูดซับพลังปราณปิศาจ เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังกระแทกกับภูเขายักษ์ทำให้กระอักโลหิตออกมา
พื้นดินกว้างห้าลี้นอกหุบเขายังคงถูกเพลิงหล่อหลอม และแสงสีเขียวที่กำลังปกป้องกำลังหมองลงช้าๆ
ข้างในพื้นที่กว้างห้าลี้ ทุกคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวังพร้อมกับเหงาแห่งความตายเค้าลางเหนือหัว พวกเขามองเพลิงข้างนอกที่กำลังมีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น มันกำลังเผาความหวังพวกเขาในใจ
สายชราชุดเทาหลับตาด้วยความสิ้นหวัง เขาลืมตาขึ้นทอประกาย พลันหันมามองชายชราชุดขาวที่กำลังหวาดกลัวและเอ่ยออกมา “นี่คือภัยพิบัติที่เจ้านำมาด้วยตัวเองและเจ้าลากมันลงกับเผ่าด้วยตัวเจ้า!”
ชายชราชุดขาวร่างกายสั่นเทาและนิ่งเงียบ
“คนต่างถิ่นคนนั้นไม่ใช่คนที่เราสามารถต่อกรได้ หากเจ้าดื้อดึงต่อไป เมื่อค่ายกลถูกทำลายมันจะไม่ใช่แค่เจ้าและข้าเท่านั้น ทั้งเผ่าจะถูกเผาให้ตายด้วยเปลวเพลิง สำหรับสมาชิกเผ่าคนนึง เจ้าจะนั่งดูทั้งเผ่าตายต่อหน้าต่อตาเจ้าได้อย่างไร?!”
ชายชราชุดขาวเอ่ยอย่างเจ็บปวด “เจ้าหมายถึง…”
ชายชราชุดเทาเอ่ยด้ยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เจ้าทำผิดพลาด ดังนั้นเจ้าต้องรับผิดชอบการกระทำ นี่เป็นหนทางเดียวเพื่อให้เผ่าของเราอยู่รอด อย่ากังวลเลย เมื่อเจ้าตายข้าจะคิดหาทางล้างแค้นให้เจ้าแน่นอน!”
“รวมไปถึงเมื่อเราเป็นอิสระ ข้าจะไปเมืองปิศาจโบราณและรายงานเรื่องนี้ต่อแม่ทัพปีกซ้ายทันที ข้าเชื่อว่าท่านแม่ทัพจะสนใจแน่”
ชายชราชุดขาวนิ่งเงียบเป็นเวลานาน เขามองไปรอบๆด้วยท่าทางซับซ้อนและสายตาตกลงสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ เมื่อเห็นความหวาดกลัวบนใบหน้าแต่ละคน เขาสูดหายใจลึกและลอยสู่ขอบของค่ายกล
“สาส์นท้าทายส่งมาจากข้า หากเจ้ากล้าก็จงมาสู้กับข้า หลังจากนั้นไม่ว่าข้าจะแพ้หรือชนะก็อย่าลากคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาด้วย!”
เสียงของชายชราชุดขาวถูกส่งผ่านค่ายกลไปถึงข้างนอกและตรงไปที่หุบเขา
หวังหลินลืมตาขึ้นและร่างกายพริ้วไหว เขาเลือนหายไปและปรากฎตัวอีกครั้งข้างนอกหุบเขา เมื่อเขามองพื้นที่รัศมีห้าลี้ด้วยสายตาเยือกเย็น เขาเห็นชายชราชุดขาวคนนั้น
หวังหลินโบกแขนขวาและวิญญาณหลักหกดวงหยุดพ่นเปลวเพลิงพร้อมกับหมุนเป็นวงกลมรอบตัวหวังหลิน
เมื่อไร้เพลิงคุกคาม ชายชราชุดขาวกัดฟันแน่นและเดินออกไป เขามือขึ้นและปราณปิศาจสองสายเริ่มหมุนวนระหว่างนิ้วพร้อมกับพูดกับหวังหลิน “มาต่อสู้กัน!”
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติจะทำเช่นนั้น!” ฝ่ามือหวังหลินยื่นออกไปทำให้สีหน้าชายชราชุดขาวเปลี่ยนทันที พลังปราณปิศาจสองสายที่หมุนรอบนิ้วมือเขาพลันแตกดับ
ในเวลาเดียวกันร่างชายชราลอยเข้าหาหวังหลินอย่างไร้การควบคุม แทบในวินาทีต่อมาหวังหลินจับคอชายชราเอาไว้ได้แล้ว
เมื่อชายชุดขาวกำลังดิ้นรน สายตาหวังหลินก็เย็นชาขึ้นและใช้พลังจำนวนมากบังคับ เกิดเสียงแตกร้าว ดวงตาชายชราปูดโปนและตายทันที
พลังปราณสวรรค์ของหวังหลินพุ่งเข้าไปในร่างชายชราเพื่อกักขังดวงวิญญาณ จากนั้นวิญญาณของเขาถูกผนึกไว้ข้างในธงวิญญาณล้านดวงกลายเป็นเสี้ยววิญญาณธรรมดา
หลังกระทำสิ่งนี้เขาโยนร่างชายชราไว้ด้านหลัง หนึ่งในวิญญาณหลักพ่นเปลวเพลิงเผาร่างกายเขาให้เป็นเถ้าถ่านในทันที
หวังหลินยื่นมือออกไปและพื้นดินรัศมีห้าลี้เคลื่อนไปเข้าสู่ข้างๆหุบเขาจนเกิดฝุ่นคละคลุ้ง
“ปิดค่ายกล!” หวังหลินมองไปที่ดินแดนกว้างห้าลี้ที่ถูกหล่อหลอมจนเกือบจะพังทลายแล้ว
ร่างชายชราชุดเทาสั่นสะท้าน เขาไม่คิดว่าหวังหลินจะสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายๆ ระดับบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้หลายเท่า เขาโยนความคิดล้างแค้นออกทันทีและไม่กล้าทำให้คนแข็งแกร่งเช่นนี้โกรธอีก
ตอนนี้ไม่ว่าเขาจะปิดค่ายกลหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาถอนหายใจพลันวาดสัญลักษณ์ด้วยฝ่ามือ สัญลักษณ์นี้ทำให้การป้องกันของค่ายกลหายไป
“โอวหยางฮัว เพิ่มสมาชิกของเผ่า!” หลังจากทิ้งคำพูดไว้ หวังหลินหายตัวเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา