571. เด็ดเดี่ยว
หวังหลินค่อยๆเดินจากแม่น้ำอย่างช้าๆในเวลากลางคืนโดยมีผู้รับใช้สองคนติดตามไม่ห่าง ทั้งสองมองหน้ากันเองและเกิดความงุนงง
ในสายตาพวกมัน หวังหลินใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเดินเล่นในเมืองและจานั้นก็มาจดจ้องแม่น้ำ ท้องฟ้าตอนนี้มืดมิดแต่เขายังเดินอยู่บนถนนอย่างเชื่องช้า
เมืองฮ่องในยามค่ำคืนนั้นสว่างไสวราวกับไม่มีเวลากลางคืน
หวังหลินเดินทอดน่องอยู่บนถนน สายตาจรดลงบนพื้นที่มืดๆที่ห่างออกไปไกล มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายแห่งตรงนั้นและทั่วทั้งพื้นที่ได้มีบรรยากาศอึมครึม
กลิ่นอายเช่นนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตและขุ่นเคือง
ข้ารับใช้หนึ่งในนั้นมองตามสายตาหวังหลินและกระซิบขึ้นมา “ที่นั่นเป็นหนึ่งในสี่คุกหลักของเมืองหลวง คุกเมืองฮ่อง!”
“คุกเมืองฮ่อง…” หวังหลินพยักหน้า
ข้ารับใช้คนนั้นอธิบายต่อ “คุกเมืองฮ่องเต็มไปด้วยอาชญากรและมีการเฝ้าระวังอย่างหนาแน่น เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าออกโดยไร้ป้ายสิทธิ์”
หวังหลินมองคุกฮ่องนี้อย่างละเอียด เขาสังเกตสถานที่แห่งนั้นได้เพราะว่ามันแฝงพลังปราณปิศาจที่ไม่น้อยไปกว่าโม่ลี่ไฮ่เลย หลังจากครุ่นคิดสักพักหวังหลินจึงเดินไปทางคฤหาสน์แม่ทัพโม่
เมื่อกลับมาที่คฤหาสน์ หวังหลินตรงไปที่บ้านพักของโม่ลี่ไฮ่ โม่ลี่ไฮ่กำลังฝึกฝนและเมื่อหวังหลินเปิดประตูเข้ามาเขาจึงลืมตาตื่น
“ข้าอยากเข้าไปคุกเมืองฮ่อง พี่โม่พอจะมีทางไหม?”
โม่ลี่ไฮ่ตกตะลึง เขามองหวังหลินแต่ไม่ได้ถามเหตุผล แต่ครุ่นคิดเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นมาแทน “มันจะยากสักหน่อย!”
หวังหลินขมวดคิ้ว “เช่นนั้นก็ช่างเถอะ!”
โม่ลี่ไฮ่ยิ้มบางและเอ่ยขึ้น “เจ้าจะเข้าไปนานแค่ไหน?”
“ประมาณหนึ่งเดือน!”
สายตาของโม่ลี่ไฮ่หรี่แคบ “ฝึกฝน?”
หวังหลินพยักหน้าให้กับโม่ลี่ไฮ่ “ข้าจำเป็นต้องฆ่าเพื่อฝึกฝนวิชาของข้า หากข้าต้องทำแบบนั้นในเมืองจะทำให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น” หวังหลินเสริมอีก “หากข้าสำเร็จ ความสามารถของข้าจะช่วยท่านได้เพิ่มขึ้น!”
โม่ลี่ไฮ่ยืนขึ้นจากนั้นจ้องหวังหลินและถามทีละถาม “เจ้ามั่นใจใช่ไหม?”
หวังหลินไม่เสียเวลาตอบพลันสะบัดแขนกระจายพลังสังหารทั้งห้าเส้นออกมา พวกมันก่อร่างเป็นมังกรห้าตัวและพุ่งเข้าใส่โม่ลี่ไฮ่ราวกับสายฟ้า
โม่ลี่ไฮ่หัวเราะและโยนกำปั้นออกไป พลันเกิดเสียงพลังผลักดันกลางอากาศและมังกรห้าตัวแตกสลายไป ทว่ารอยยิ้มของโม่ลี่ไฮ่หายไปและเผยใบหน้าประหลาดใจก่อนจะถอยหลังไปสามก้าว
ควันสีเทาที่แตกสลายได้คืนร่างกลับมาเป็นมังกรห้าตัว กลิ่นอายสังหารหนาแน่นกระจายออกมาและล้อมรอบคฤหาสน์แม่ทัพโม่ในทันที ทหารทั้งหมดข้างในคฤหาสน์ต่างร้องเตือนและวิ่งกรูกันออกมา
ในเวลาเดียวกัน พลังสังหารทั้งห้าเส้นนี้ก็พุ่งเข้าใส่โม่ลี่ไฮ่ ดวงตาส่องสว่างขึ้นและโยนกำปั้นออกไปอีกหมัด พลังสังหารห้าเส้นหลบหมัดนี้และเล็งไปที่หน้าอกเขา
พลังสังหารเข้ามาใกล้ทันทีแต่ถูกพลังล่องหนหยุดเอาไว้ห่างออกไปเจ็ดนิ้วและถูกบังคับให้ถอยกลับ
แม้กระนั้นม่านพลังปราณปิศาจเบื้องหน้าโม่ลี่ไฮ่ยังสั่นรุนแรงไปด้วย
หวังหลินค่อยๆกล่าวขึ้น “หากข้ามีมากกว่านี้สักพันสาย ท่านยังจะป้องกันได้ง่ายๆอยู่ไหม…”
สายตาโม่ลี่ไฮ่สว่างวาบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นพลังสังหารนี้ เมื่อเทียบกับสองครั้งล่าสุด คราวนี้มันทรงพลังกว่ามาก เขากล่าวอย่างแน่วแน่ “หนึ่งเดือนถือว่านานเกินไปสำหรับข้า แต่เจ็ดวันไม่มีปัญหา คุกเมืองฮ่องมีนักโทษเป็นหมื่นคน ดังนั้นเจ็ดวันควรจะเพียงพอให้เจ้าฝึกฝน! รอข้าก่อนและข้าจะเอาจดหมายแนะนำตัวให้เจ้าในสามวัน!”
หวังหลินพยักหน้าและออกจากห้องไป
โม่ลี่ไฮ่เผยใบหน้าขบคิด หลังผ่านไปสักพักจึงพึมพำขึ้นมา “ข้าไม่สามารถประเมินหวังหลินต่ำไปจริงๆ ดูเหมือนการแลกเปลี่ยนกับชีวิตของฉือซานเพื่อให้เขาช่วยเหลือคือสิ่งที่ถูกต้อง”
“หากไม่นับพลังของฝ่ามือนั้น เพียงแค่พลังอำนาจของควันสีเทาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารถือได้ว่าไม่ธรรมดาแล้ว เพียงแค่พลังห้าเส้นที่ไม่มีพลังเต็มที่เขาก็สามารถทำให้เกราะปิศาจสั่นไหวได้ มันมีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่ากระบี่ปิศาจเสียอีก! สิ่งสำคัญไม่ใช่ตรงนั้นแต่กลับมีบางอย่างลึกลับที่สามารถสร้างผลกระทบต่อพลังชีวิตในร่างกายข้าได้!”
“หากมีควันสีเทาแบบนั้นมากกว่าพันสาย…มันคงอันตรายมาก! การไม่เป็นศัตรูกับหวังหลินจะดีที่สุดและรักษาความสัมพันธ์ปัจจุบันของเราเอาไว้!” เขาครุ่นคิดก่อนจะออกไปจากห้องเพื่อไปขอให้หวังหลินเข้าไปในคุกเมืองฮ่องให้ได้
หวังหลินไม่ได้กลับไปที่ห้องตนเองแต่นั่งสมาธิในลานกว้าง แม้รอบด้านจะเงียบสงัดแต่ในหูเขายังมีเสียงพิณอยู่เบาบาง
แม้เสียงพิณนี้จะเบามาก ทว่ามันมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เลือนหายไป
คืนนี้หวังหลินไม่ได้บ่มเพาะหรือคิดเรื่องศาสตร์สังหารเทพเลย เขาเพียงแค่นั่งอยู่ใต้แสงดวงดาวอย่างเงียบๆ กำลังฟัง…เสียงพิณในใจเขา…
ร่างหวังหลินสร้างเงาทอดยาวจากแสงจันทรา เงานี้ดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ ทั้งยังเป็นเงาที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง….
ไหเหล้ารสเลิศจากเมืองปิศาจโบราณถูกวางไว้ข้างๆหวังหลิน หวังหลินหยิบขึ้นมาและดื่มไปเป็นพักๆ เงาอันเปล่าเปลี่ยวของเขาค่อยๆส่งผลถึงร่างตนเอง ความโดดเดี่ยวดูเหมือนจะหลอมรวมกับแสงจันทรา ประทับบนร่างและวิญญาณของหวังหลิน…
“ข้าหวังหลินเริ่มเรียนรู้เต๋าตั้งแต่อายุสิบหกปี แต่ข้าได้หลงลืมไปว่าได้ฝึกฝนเซียนไปนานแค่ไหนกันแล้ว…” หวังหลินหยิบไหเหล้าขึ้นมาและดื่มไปอึกใหญ่ เหล้ารสเลิศซึมออกมาจากมุมปากและหยดลงบนเสื้อผ้า
หวังหลินมองแสงดวงดาวในท้องฟ้าและแฝงความโดดเดี่ยวออกมา
“เหล่าเซียนเดินบนเส้นทางที่ต่อต้านสวรรค์และลิขิตให้เขาโดดเดี่ยวตลอดไป…”
ที่นี่ไร้สิ้นเสียงแต่หวังหลินยังคงได้ยินเสียงพิณเบาบาง เขาปาดเหล้าจากมุมปากและพึมพำ “การมีชีวิตโดดเดี่ยวเพื่อให้จิตใจค้นหาเต๋า….แต่จะมีคนมากมายขนาดไหนที่สัมผัสความรู้สึกเหงาโดดเดี่ยวที่แท้จริงได้? เหมือนกับเหล้านี้เมื่อเข้าปากมันกลับรู้สึกเผ็ดร้อน แต่จากนั้นมันกลับกลายเป็นความอบอุ่นเมื่อเข้าไปในร่างกาย…”
ภายใต้แสงจันทราและแสงดาว เงาร่างสันโทษกำลังดื่มเหล้าและใคร่ครวญถึงชีวิต…
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเซียนที่บ่มเพาะมาหลายหมื่นปีจะทนต่อความโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้อย่างไร แต่ข้ารู้หากคนผู้นั้นไม่มีอารมณ์สักเล็กน้อยก็คงฝึกฝนเต๋าที่สร้างขึ้นมาเองและไม่ใช่เต๋าแห่งสวรรค์!”
“ฟ้าดินเป็นเรื่องไร้ปราณี การฝึกเซียนคือการฝืนกฏสวรรค์แต่หากเซียนไร้หัวใจไปด้วยก็จะโหดเหี้ยมไปด้วยเช่นกัน การใช้จิตใจที่ไร้ปราณีเพื่อฝึกฝนเต๋าแห่งสวรรค์เช่นนี้จะถือได้ว่ากำลังฝืนลิขิตสวรรค์ได้อย่างไร? นั่นเป็นการทำตามความต้องการของสวรรค์โดยแท้”
“ตั้งแต่ยุคโบราณกาล การทำตามประสงค์แห่งสวรรค์คือการลิ้มรสฟ้าดิน แต่ในความเป็นจริงพวกเขาเป็นแค่เหล่าแมลง! เต๋าของข้าไม่ได้ทำตามประสงค์แห่งสวรรค์ ข้าทำตามใจของข้าเพื่อเดินบนเส้นทางฝืนกฏสวรรค์ ข้าไม่ได้แสวงหาความเป็นอมตะ ข้าแสวงหาการขจัดสถานะการเป็นเช่นเหล่าแมลง นั่นหมายถึงการฝืนลิขิตสวรรค์!”
หวังหลินดื่มเหล้าทั้งหมดในไหเพียงครั้งเดียวและโยนออกไป ไหเหล้าแตกกระจายเมื่อกระทบกับพื้น จากนั้นหวังหลินจับระหว่างคิ้วและเอนกายลงนอน สายตาโดดเดี่ยวอ้างว้างของเขาค่อยๆเลือนหายไป…
แสงจันทราค่อยๆเลือนหายไปและแสงอาทิตย์ประชันขึ้นมาพร้อมกับหวังหลินลืมตาอย่างช้าๆ คืนนี้เขาเมา…
หวังหลินเมาจากเหล้าและอารมณ์ที่พาไป…
ตอนที่เขาตื่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนก่อนได้ฝังอยู่ในใจส่วนลึกและผนึกไว้ในสถานที่ที่ไม่สามารถสัมผัสเข้าไปได้
เวลาสามวันผ่านไปราวกับกระพริบตา สามวันมานี้หวังหลินไม่ได้ฝึกฝนบ่มเพาะเลยแต่เขาออกมาจากคฤหาสน์แม่ทัพโม่ในทุกๆเช้า รอคอยอยู่ข้างแม่น้ำเพื่อรอช่วงเวลาที่เสียงพิณจะผ่านเข้ามา
เสียงเพลงเศร้าของพิณล่องลอยผ่านทะลุจิตใจเขา แทงผ่านผนึกความทรงจำและเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจ
ขณะที่กำลังฟังเสียงพิณและดื่มเหล้าที่คนรับใช้นำมาให้ หวังหลินจมไปในความคิดชั่วขณะอย่างสมบูรณ์และเกิดความรู้แจ้งบางอย่าง
สตรีบนเรือไม่ได้รู้เลยว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังเงี่ยหูฟังเสียงพิณของนางตลอดสามวันนี้ นางเพียงแค่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผ่านมาที่จุดนั้น ความโศกเศร้าในใจของนางได้เพิ่มพูนขึ้นและความเศร้านั้นเข้าไปในฝ่ามือนางและส่งผ่านบทเพลง
ช่วงระยะเวลาสามวันนี้ หวังหลินรู้สึกสงบสุขอย่างมาก เขานำตัวเองห่างจากความขัดแย้งและการฆ่าฟัน ลืมเลือนอันตรายเรื่องต้าวเสิน ลืมเลือนข้อตกลงกับโม่ลี่ไฮ่และลืมเลือนความหวังในการบรรลุขั้นเทวะ มีเพียงเสียงพิณและเหล้าไปด้วยกัน หวังหลินจึงได้พบประสบการณ์ล้างบาปในใจในช่วงเวลาสั้นๆ
หวังหลินไม่เคยพยายามมองหาว่านางหน้าตาแบบไหน เพียงแค่นางบรรเพลงพิณก็เพียงพอแล้ว
หากไม่ใช่ว่าโม่ลี่ไฮ่ได้ทำเรื่องให้หวังหลินเข้าไปในคุกเมืองฮ่องไว้แล้ว เขาคงนั่งอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อชำระล้างจิตใจ หวังหลินไม่รู้ว่าเขาจะพักอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน บางทีก็จนกว่าสายพิณจะขาดและไม่เกิดเสียงเพลงใดๆขึ้นอีก…
หวังหลินถอนตัวเองออกมาจากเสียงพิณ เขายืนขึ้นและเฝ้ามองเรือที่ค่อยๆจากไป!
ณ ตอนนี้สตรีบนเรือหันกลับมามองที่ข้างแม่น้ำ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้านางจะยังมืดมิด ร่างของชายที่กำลังจากไปพลันปรากฏในดวงตาของนาง
เสียงเย็นชาดังออกมาจากด้านข้างสตรี “หมิงซวน(明萱 Míng xuān ) เจ้ากำลังมองหาอะไร?”
เสียงพิณหยุดลงทันที
นางหันกลับมาและก้มศีรษะลงต่ำ จากนั้นฝ่ามือเนียนราวกับหยกจึงลอยเหนือสายพิณและสั่นเบาๆ สำหรับนางแล้วเสียงนี้เป็นตัวแทนแห่งสวรรค์และโชคชะตาที่มิอาจต่อต้าน
“เสียงพิณของเจ้ามันเศร้าเกินไป พวกแขกอยากให้เจ้าเปลี่ยน!” แม้น้ำเสียงจะนิ่งเรียบทว่าคำพูดไปในทางที่หมายความว่านางไม่อาจปฏิเสธได้
นางครุ่นคิดและจากนั้นเริ่มบรรเลงพิณ เสียงพิณเปลี่ยนเป็นขบวนฤดูใบไม้ผลิ เสียงเพลงเริงร่าเต็มไปทั้งเรือและแม่น้ำ
“ยอดเยี่ยม! ต่อไปให้เล่นแบบนี้” น้ำเสียงจากคนเดิมดังขึ้นอีกครั้ง…
เสียงพิณอันชื่นบานแจ่มใจกระจายออกมาและแม้เสียงเพลงจะสนุกสนาน หากฟังละเอียดแล้วก็คงบอกได้ว่ามันไม่ได้มีความสุขเลยแต่เป็นการร้องไห้อย่างเงียบๆ…
เสียงร้องไห้นี้เต็มไปด้วยความเศร้าและเจ็บปวด วิธีที่ดีที่สุดในการอธิบายก็คือการฝืนยิ้ม! เสียงเพลงค่อยๆบรรเลงไปเต็มทั่วทั้งเรือ คล้องกับเสียงหัวเราะแต่มันไม่เคยหลอมรวมกัน
ความขมขื่นรุนแรงซ่อนไว้เบื้องหลังการฝืนยิ้มนี้ มันซ่อนไว้ภายใต้เสียงพิณได้อย่างดีและหมิงซวนรู้ว่าไม่มีใครที่นางจะเข้าใจ
ขณะที่เรือแล่นห่างออกไป เสียงเพลงบรรเลงถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลัง ระลอกคลื่นค่อยๆกระจายออกมาจากสองฝั่งแม่น้ำ…