Skip to content

ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน 867

Cover Renegade Immortal 1

867. ไม่มีคุณสมบัติ 1

ปรมาจารย์จงเฉินเอ่ยเสียงสงบนิ่ง “มันคือหินก้อนนั้นจริงๆ!”

แววตาชายชรามืดมนเล็กน้อย “ข่าวลือว่าหินก้อนนั้นคือวัตถุตกทอดจากแดนสวรรค์โบราณ หากมีชื่อสลักเอาไว้ วิญญาณของคนผู้นั้นสามารถเข้าไปในแดนสวรรค์โบราณได้โดยตรง ซึ่งลือกันว่าหายสาบสูญไปแล้ว”

“ข้าไม่คิดว่าหินประทานเทพจะตกอยู่กับอารามเทพอัสนี!”

ชายวัยกลางคนนามกงซุนลืมตาขึ้นและหลับตาลง ทุกครั้งที่ลืมตาพลันมีแสงส่องประกายออกมาและเขาเอ่ยท่าทีนิ่งๆ “แม้แดนสวรรค์โบราณจะหายไปแล้ว ข่าวลือพูดต่อๆกันมาว่ามันถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แดนสวรรค์โบราณจะเปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจะมีเพียงคนที่มีชื่อบนหินประทานเทพเท่านั้นที่อนุญาตให้เข้าไปได้! แม้มันจะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ มันก็เป็นเบาะแสเดียว!”

รอบด้านเงียบกริบ นอกจากคนเพียงไม่กี่คนแล้ว ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าหินประทานเทพคืออะไร ทว่าหลังจากชายชราเซี่ยงได้เอ่ยขึ้นมา ทั้งหมดก็เข้าใจได้ทันทีว่าก้อนหินนี้สำคัญยิ่ง

อย่างไรก็ตามมีเซียนอยู่จำนวนมากที่ไม่รู้ว่าแดนสวรรค์โบราณคืออะไร พวกเขาต่างก็หันไปมองบรรพชนตระกูลตัวเอง

ปรมาจารย์จงเฉินเอ่ยออกมา “หินประทานเทพแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตอนที่แดนสวรรค์อัสนีล่มสลาย อารามเทพอัสนีของข้าไม่ได้มาครอบครอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก แต่ตอนที่ผู้อาวุโสจับอสูรจันทราได้เขาพบข้าและส่งเสี้ยวเท่ากำปั้นมาให้!”

หลังกล่าวเช่นนี้ เซียนเฒ่าทั้งหมดที่นั่งอยู่บนเสื่อสมาธิก็เงียบลงและไม่สอบถามเรื่องนี้อีก

“สามบททดสอบคือสวรรค์ ปฐพีและมนุษย์ บททดสอบแรกคือมนุษย์ ถ้าพวกเจ้าสามารถทนไว้ได้สิบลมหายใจ ถือว่าผ่าน!”

“หลัวซู่ จงเข้าไปในทะเลสาปสายฟ้า!” น้ำเสียงปรมาจารย์จงเฉินแผ่กระจายไปทั่วบริเวณและลำแสงสีเขียวสายหนึ่งเข้ามาภายใน เปลี่ยนกลายเป็นชายวัยกลางคนชุดเขียวเบื้องหน้าสายตาทุกคน

เขาคำนับฝ่ามือให้กับทุกคนและเอ่ยขึ้น “น้อมรับคำสั่ง!” พลันพุ่งลงใส่พื้นที่สี่เหลี่ยม ยืนอยู่บนยอดพร้อมกับมือไพล่หลัง ใบหน้าสงบนิ่งแฝงความภาคภูมิใจ

รูปลักษณ์ของเขาทำให้เซียนรอบด้านสนใจ เป็นธรรมดาที่ผู้คนจะคาดเดาตัวตนของหลัวซู่และการสนทนาก็เริ่มขึ้น

“หลัวซู่แห่งอารามเทพอัสนี!”

“ข่าวลือว่าเขาบรรลุขั้นส่องสวรรค์ชั้นกลางเมื่อสามร้อยปีก่อน จากนั้นปิดด่านฝึกตนนับแต่นั้นมาสามร้อยปีและไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ข้าไม่คิดว่าเขาจะเป็นผู้เฝ้าประตูของบททดสอบมนุษย์”

“หลัวซู่ไม่ใช่คนธรรมดา โดยเฉพาะสัมผัสวิญญาณเขาที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ข่าวลือว่าแม้กระทั่งเซียนเฒ่าดังๆทั้งหลายยังต้องยกย่อง!”

การสนทนาระเบิดดังก้องไปทั่วสนาม หลัวซู่เงยศีรษะขึ้นมองเหล่าเด็กๆหลายร้อยคน เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสงบ “ในสายตาข้าแล้ว พวกเจ้าไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะเป็นร้อยแปดเทพ เพราะการฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ยากไปกว่าบดขยี้มดแมลง! ตอนนี้ข้าจะชี้รายคน ใครที่ถูกชี้จะต้องลงมา!”

หลังเอ่ยขึ้น เซียนส่วนใหญ่ที่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันมองหลัวซู่ด้วยใบหน้ามืดมน โดยเฉพาะซิ่วถิง ดวงตากระพริบสีแดงสว่างแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา

หลัวซู่ไม่เสียเวลามาก แขนขวาชี้อย่างลวกๆใส่เซียนคนหนึ่งจากแดนเหนือ

หลังชี้ไปที่เซียนคนนั้น เขาลังเลชั่วครู่แต่การลังเลนั้นทำให้หลัวซู่พ่นลมหายใจเย็น แขนขวายื่นออกไปปรากฏแขนขนาดยักษ์พุ่งเข้าใส่เร็วมากแม้กระทั่งเซียนรอบด้านยังสัมผัสถึงสายลมเย็นวาบ

แขนยักษ์พุ่งเร็วดุจสายฟ้าเข้าจับเซียนคนนั้นในเสี้ยววินาที ลากเขาลงไปอย่างโหดร้าย

สีหน้าเซียนคนดังกล่าวซีดเผือดทันที เขาเป็นเพียงขั้นมายาหยินเท่านั้นและหลังจากถูกแขนนั่นลากลงมา เขารู้สึกราวกับน้ำแข็งแทรกไปในร่างกาย พลังดั้งเดิมกลั่นตัว เมื่อเขาร่อนลงถึงพื้นจึงนั่งสมาธิลงทันที

หลัวซู่หมดความอดทน ไม่คิดว่าการแข่งขันฉายาเทพจะคู่ควรสำหรับเขา หากไม่ใช่ว่าจ้าวอารามร้องขอเป็นการส่วนตัวซึ่งเขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาคงไม่มากลายเป็นผู้ตัดสินของบททดสอบแรก อีกทั้งยังมีอีกเหตุผลอื่นอีกที่เขากลายมาเป็นผู้ตัดสิน

หลังจากลากเซียนคนนั้นลงมา แววตาร้อนรนยิ่งกว่าเดิม แผ่กระจายสัมผัสวิญญาณ โลกพลันเปลี่ยนสีทันที สัมผัสวิญญาณของหลัวซู่ประหลาดมากและเปลี่ยนรูปร่างได้ เมื่อมันโผล่ออกมาพลันมียักษ์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นและร้องคำรามกึกก้องสะท้อนไปทั่ว

เจ้ายักษ์พุ่งเข้าหาเซียนที่กำลังนั่งอยู่ มันเคลื่อนไหวรวดเร็วและเข้าไปใกล้เพียงแค่สามก้าวเท่านั้น ยกกำปั้นขึ้นมาส่งเข้าใส่ทันที!

ตอนที่กำปั้นยังคงอยู่ระหว่างทาง สีหน้าเซียนซีดขาวราวกับคนตาย ดวงตาหวาดกลัว เสื้อผ้าและเส้นผมพริ้วสะบัดไปด้านหลังด้วยแรงลม

หวังหลินจ้องฉากเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาดุจคบเพลิง ขณะที่กำปั้นยักษ์ร่อนลงถึง ร่างเซียนสั่นสะท้านและกระอักโลหิต ดวงวิญญาณดั้งเดิมกระเด็นออกไปจนเกิดภาพพร่ามัว วิญญาณดวงนั้นรีบหนีด้วยความหวาดกลัว

หลัวซู่พ่นลมหายใจเย็น ยักษ์ทองถอนกำปั้น ก้าวถอยหลังและยืนข้างหลัวซู่

“เจ้าขยะ ด้วยระดับบ่มเพาะและความแข็งแกร่งของจิตใจ เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการแข่งขันตำแหน่งเทพ เจ้าไม่มีคุณสมบัติ!” แววตาหลัวซู่หมดความอดทนมากกว่าเดิม เขารู้สึกว่าการทดสอบคนผู้นี้เป็นการเสียเวลาของตัวเอง

วิญญาณดั้งเดิมของเซียนผู้นั้นกลับเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นมองหลัวซู่ด้วยใบหน้าซีดและอ้าปากออกมาราวกับต้องการพูดอะไรสักคำ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่พูดอะไรและโค้งคำนับ หันตัวกลับไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างเศร้าๆและหายตัววับไป

ตอนนี้มีคนลดน้อยลงไปหนึ่งคนจาก 325 คน

หลัวซุ่ขมวดคิ้วกวาดสายตาหาเหล่าเซียนในท้องฟ้าและชี้ไปใส่คนหนึ่งอย่างลวกๆ เซียนที่โดนชี้กัดฟันแน่นและพุ่งลงมา หลังร่อนลงพื้นเขาก็คำนับฝ่ามือหาหลัวซู่พร้อมกับเอ่ยท่าทีเคารพ “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะ!”

สีหน้าหลัวซู่อ่อนลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร เจ้ายักษ์ทองก้าวไปข้างหน้าใช้เวลาเดิมเหมือนที่เคยใช้ก่อนหน้านี้

เซียนด้านหน้ากัดฟันพลางใช้ฝ่ามือสร้างผนึก แสงสีขาวปกคลุมร่างกายเพื่อหยุดยั้งยักษ์ทองเอาไว้ ท่าแสงสีขาวแตกสลายในทันทีเบื้องหน้ากำปั้นทอง เซียนถูกผลักดันกลับไป กัดลิ้นตัวเองเล็กน้อยพ่นโลหิตเข้าขัดขวาง

เมื่อหมัดของยักษ์ทองร่อนลงใส่หมอกโลหิตมันก็เกิดเสียงดังสนั่น หมอกโลหิตแตกสลายทันที ใบหน้าเซียนซีดขาว วิญญาณดั้งเดิมหลุดออกจากร่างกายไปครึ่งส่วนแต่ร้องเสียงปวดร้าว ร่างกายดังป๊อปและวิญญาณดั้งเดิมถูกดึงกลับเข้ามา

ทว่านี่มันเกินกว่าเขาจะทนรับไหว แม้วิญญาณจะกลับเข้าสู่ร่างกายแต่เขาก็อ่อนแอลงมาก

“เมื่อเจ้าอยู่ได้สิบลมหายใจ เจ้าก็ผ่าน แม้เศษขยะแบบเจ้าจะผ่านไป เจ้าก็จะถูกกำจัดออกไปในบททดสอบถัดไป!” หลัวซู่โบกแขนเสื้อ ร่างเซียนคนนั้นถูกโยนขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าอีกฝ่ายซีดเผือดโค้งตัวให้หลัวซู่ จากนั้นกลับไปหาค่ายกลเคลื่อนย้ายของตัวเองและนั่งลงฝึกฝน

หลังจากนั้นอีกไม่นาน เซียนคนแล้วคนเล่าได้ถูกหลัวซู่ชี้ออกไป หากพวกเขาตอบสนองเร็วพอถือว่าดี ไม่เช่นนั้นก็จะถูกหลัวซู่ลากลงไปเหมือนคนแรกๆและรับบาดเจ็บก่อนที่การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น

ขณะที่เหล่าเซียนร่อนลงไปทีละคน คำว่า “ขยะ” ถูกโยนเข้าใส่ต่อเนื่อง แม้กระทั่งคนที่มีคุณสมบัติยังอดไม่ได้ที่จะถูกหลัวซู่เรียกว่าขยะ หลัวซู่ค่อยๆขาดความอดทนเรื่อยๆจนถึงจุดที่ยักษ์ทองโยนกำปั้นออกไปก่อนที่คนเข้าร่วมจะร่อนลงมาถึงพื้นเสียอีก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เซียนมากกว่าครึ่งถูกทดสอบ มีราวๆสี่ในสิบส่วนที่มีคุณสมบัติ ชายหกนิ้ว เด็กหัวโตและหนานกงหานซึ่งมีระดับบ่มเพาะสูงส่งต่างก็ผ่านการทดสอบ ซึ่งตอนที่พวกเขาทดสอบนั้นสีหน้าหลัวซู่อ่อนลงเล็กน้อยและไม่ได้เรียกพวกเขาว่าขยะ

“เจ้า ลงมา!” หลัวซู่ชี้ใส่คนผู้หนึ่งในท้องฟ้า เขาคือซิ่วถิงจากดาวตงหลิน ดวงตาสว่างวาบสีแดง เผยรอยยิ้มน่าขนลุก

แววตาหลัวซู่เย็นเยียบพลางยื่นแขนขวาออกไปปรากฏแขนยักษ์ พุ่งตรงใส่ซิ่วถิง ขณะที่มันเข้าไปใกล้ ฝ่ามือซิ่วถิงสร้างผนึกเกิดควันสีดำล้อมรอบเขาและก่อตัวดุจปิศาจ ควันดุจปิศาจร้องคำรามและพัวพันกับแขนยักษ์ไปด้วย

ซิ่วถิงเหยียดยิ้มพลางพุ่งตัวออกไป เขาไม่ได้จะลงไปในสนามสี่เหลี่ยมเพี่ยงเพื่อถูกทดสอบ ขณะนั้นอ้าแขนสองข้าง ควันสีดำโผล่ออกมาจากแขนก่อตัวเป็นหอกดำหนึ่งเล่ม

แววตาหลัวซู่ส่องประกายเย็นเยียบ ยักษ์ทองพุ่งเข้าใส่ซิ่วถิงทันที ซิ่วถิงเลิกราหลัวซู่ เคลื่อนไหวเข้ามาอยู่ข้างยักษ์ทองเพียงก้าวเดียว หอกในมือแทงออกไป!

ยักษ์ทองแกว่งหมัด ทว่าขณะที่หอกดำกำลังจะปะทะหมัดของมัน หอกพลันบิดเบี้ยว ปลายหอกเปลี่ยนกลายเป็นอสรพิษสีดำในจังหวะนั้น มันอ้าปากออกมากว้างมากกว่าสิบฟุต ฉากเหตุการณ์นี้หลุดโลกเกินไปและให้เซียนรอบด้านเคร่งเครียด

ปากอสรพิษเปิดออกพุ่งเข้ากลืนกินยักษ์ทองตรงๆ หวังหลินเห็นเช่นนี้ดวงตาพลันหรี่แคบ

“วิชาเทพตระกูลซิ่ว อสรพิษกลืนกิน!” ชายชราตระกูลเซี่ยงพยักหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม

“ไม่เลว ซิ่วถิงคนนี้มีโอกาสเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้เข้าร่วมทั้งหมด!” ชายชราหนึ่งในนั้นพยักหน้าและหัวเราะ

ไม่เพียงแค่พวกเขาแต่ทว่าเซียรอบด้านทั้งหมดต่างก็รู้จักวิชาเทพนี้จากบรรพชนของตัวเอง

“หนึ่งในสี่วิชาชั้นยอดของตระกูลซิ่วแห่งดาวตงหลิน อสรพิษกลืนกิน นี่คือวิชาที่ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง พวกเจ้าทั้งหมดจงเพ่งดูอย่างละเอียด!”

“วิชานี้เรียกกันว่าอสรพิษกลืนกิน หากเจอเซียนที่มีระดับบ่มเพาะต่ำกว่า มันสามารถกลืนกินศัตรูได้ตรงๆและเปลี่ยนพลังงานมาเป็นของตัวเอง!”

ขุนนางเทพฉิงชุ่ยท่าทีนิ่งๆ เขามองซิ่วถิงอย่างเย็นเยียบแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!