ตอนที่ 1143 เขาเป็นใครกันแน่…
ฤดูฝนกินเวลาหลายเดือน ดูเหมือนมันไม่เคยหยุดเลย เม็ดฝนประทับลงจิตใจของศิษย์สำนักต้นกำเนิดไม่สม่ำเสมอและไร้อำนาจที่จะปัดเป่าออกไป
พริบตาเดียว หวังหลินอยู่ในสำนักต้นกำเนิดเป็นเวลาสิบวันแล้ว
ซิ่วหยุนกลับมาจากการไปพบอาจารย์ ช่วงเวลานี้นางลอบสืบสวนคนธรรมดาทั้ง 31 คนที่พากลับมาจากทิศเหนืออย่างลับๆและนางสังเกตหวังหลินด้วยเช่นกันแต่ไม่พบอะไรผิดสังเกต
แม้หลิวหยานเฟยเองก็ดูเคร่งเครียด นางถึงกับใช้วิชาเซียนเพื่อหาเบาะแสแต่ยังไม่พบผลลัพธ์
ร่างสีขาวไม่ได้หายไปตามกาลเวลา แต่ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น นางตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะในตอนดึกและร่างที่ใช้ดัชนีนั่นมักจะปรากฏในจิตใจนางโดยไม่รู้ตัว
‘เขาเป็นใครกันแน่…’ คำถามนี้ยังคงรบกวนซิ่วหยุนมาตลอด
ยามบ่าย ซิ่วหยุนผลักประตูเปิดออกมา หยดน้ำฝนเล็กๆร่อนลงบนหน้า นางขมวดคิ้วปัดน้ำฝนพลางเดินออกไปด้วยรูปร่างสดใสปนเสน่ห์
หยดน้ำฝนดูเหมือนจะร่อนลงปกคลมพื้นที่ล่องหนภายในระยะครึ่งฟุตและไหลลงด้านข้าง ซิ่วหยุนเดินผ่านลานกว้างพลางมองสมุนไพรนานาชนิดก่อนจะมองไปที่บ้านหวังหลิน
คนแรกที่นางสงสัยคือหวังหลิน! แต่ว่าระยะหลายวันมานี้ ชายหนุ่มเซิ่งหนิวเหมือนคนธรรมดาจริงๆ ยกเว้นท่าทางและความสงบนิ่ง
นางไม่รู้ว่าทำไม แต่เดินไปหาบ้านหวังหลินโดยไม่รู้ตัวและยืนอยู่ข้างนอกสักพัก เลิกคิ้วขึ้นมาและผลักประตูเปิดออก
“ข้าให้เจ้าพักที่นี่เพื่อดูแลสมุนไพร เจ้าทำไปแล้วบ้างรึยัง?” ซิ่วหยุนจ้องหวังหลินที่กำลังอ่านคัมภีร์ไม้ด้านข้างโต๊ะเล็กๆ ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร เมื่อนางเห็นหวังหลินจึงพบว่าควบคุมอารมณ์ตนเองได้ยากนักและไม่สงบนิ่งเหมือนเซียนขั้นมายาหยินควรจะมี
หวังหลินวางม้วนคัมภีร์ไม้ที่ได้มาจากสำนักต้นกำเนิดลง ข้างในไม่ได้มีข้อมูลทรงคุณค่ามากนักและศิษย์ใหม่สามารถยืมมาอ่านได้ มันมีประวัติศาสตร์ของแผ่นดินโม่หลัวและข้อแนะนำง่ายๆของทะเลเมฆา
ม้วนคัมภีร์ไม้เหล่านี้ทำให้ศิษย์ใหม่ได้เข้าใจทะเลเมฆาดีขึ้น ซึ่งทำให้พวกเขาได้รู้ว่ามีคนที่อยู่เหนือขึ้นไปใส่ความพยายามเข้าไปในฝึกฝนเสมอ
ขณะที่กำลังอ่านคัมภีร์ไม้ หวังหลินไม่มีสมาธิเลย เขากำลังคิดถึงการปรุงยาและอสูรวิญญาณ
หวังหลินมองซิ่วหยุนอย่างสงบนิ่ง หวังหลินนั่งอยู่ที่เดิมและเอ่ยถามอย่างใจเย็น “สมุนไพรตายไปต้นนึงแล้วหรือ?”
ซิ่วหยุนตกตะลึง สมุนไพรเขียวชอุ่มมากกว่าก่อน บางส่วนถึงกับเอาตัวรอดได้อย่างน่าประหลาด
หวังหลินไม่พูดอะไรอีก หยิบคัมภีร์ขึ้นมาและอ่านต่อไป
ยิ่งเขาสงบนิ่ง ยิ่งทำให้ซิ่วหยุนขมวดคิ้ว ขณะที่นางเดินเข้ามา กลิ่นหอมแพร่กระจายภายในห้อง หวังหลินคุ้นเคยกับกลิ่นนี้ ตอนที่ซิ่วหยุนบ่มเพาะครั้งก่อน หวังหลินก็ได้กลิ่นมาจากร่างนางแล้ว
ซิ่วหยุนจ้องหวังหลินและเอ่ยอย่างเย็นชา “สมุนไพรไม่ตายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า ที่นี่มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์และสมุนไพรส่วนใหญ่เป็นธาตุวารี ดังนั้นพวกมันจึงสามารถดูดซับพลังดั้งเดิมจากสายฝนได้”
“โอ้” หวังหลินพยักหน้าและไม่ได้หันไปมองวิ่วหยุน เขาอ่านคัมภีร์ไม้ในมือต่อไป
“เซิ่งหนิว!” เมื่อเห็นท่าทีของหวังหลิน ซิ่วหยุนจ้องเข้าไปด้วยแววตางดงามของตนเอง
หวังหลินขมวดคิ้ววางม้วนคัมภีร์ไม้ลงอีกครั้งและจ้องซิ่วหยุนด้วยท่าทีเยือกเย็น
ซิ่วหยุนเต็มไปด้วยคำพูดที่กำลังจะดุด่าเขา แต่เมื่อนางสบสายตาหวังหลิน จึงตกตะลึงและกลืนคำพูดเข้าไปโดยไม่รู้ตัว
“งานของข้าคือดูแลสมุนไพรไม่ให้ตาย ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็อย่ารบกวนข้า” หวังหลินกล่าวอย่างสงบ จากนั้นละสายตาจากซิ่วหยุนและหยิบม้วนคัมภีร์ขึ้นมา
จิตใจซิ่วหยุนสั่นเทาโดยไม่มีเหตุผล
‘เป็นเขาหรือไม่…’
ซิ่วหยุนขบคิดชั่วขณะและมองหวังหลินอย่างลึกล้ำ จากนั้นกัดริมฝีปากและออกไปจากห้อง
ยามดึก ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะส่องสว่าง ข้างนอกมืดมืดผสมผสานเสียงสายฝนและเสียงฟ้าร้อง
สายลมจากภูเขาพัดเข้าไปในสระ ก่อตัวเป็นวังวนร้องหวนยามกลางคืน หวังหลินวางคัมภีร์ลงก่อนจะหลับตาและขบคิด
เขาสามารถมองทะลุหลายสิ่งหลายอย่างจากคัมภีร์ออกและได้เข้าในทะเลเมฆาขึ้นมาอย่างกว้างๆ สิ่งสำคัญก็คือสี่วันที่ผ่านมาเขาสามารถเข้าใจเคล็ดการปรุงยาจากหินหยกที่ได้มา หวังหลินลืมตาและเงยศีรษะขึ้น มองทะลุบ้าน ผ่านสายฝนและมองไปยังท้องฟ้าเหนือสระน้ำตรงๆ
มีอารามเต๋าที่โอบอุ้มด้วยเสายักษ์แปดต้นอยู่ตรงนั้น!
หวังหลินสัมผัสถึงกลิ่นอายทรงพลังภายในอารามเต๋าได้อย่างชัดเจน
ร่างกายกระพริบวูบวาบและหายไปจากห้อง
ปรากฏตัวบนยอดเสาหนึ่งในแปดและอยู่นอกอารามเต๋าทันที! ที่นี่สายลมและสายฝนรุนแรงมาก มีสายฟ้าและแสงไฟกระพริบแปลบปลาบ
หวังหลินเปิดประตูอารามเต๋าและเดินเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่งเช่นเคย
อารามเต๋าแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก นอกจากการตกแต่งแล้ว สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือรอยแยกอวกาศขนาดยักษ์ตรงกลางที่มีแสงสีม่วงรั่วไหลออกมา แต่งแต้มอารามให้เป็นสีม่วง ด้านหลังรอยแยกคือหิ้งซึ่งมีกฏเกณฑ์ผันผัวนออกมาและมีของสามสิ่งวางอยู่บนนั้น
กระบี่ยาว หินหยกและเม็ดยา
พอหวังหลินเข้ามาในอารามเต๋า แสงสีม่วงจากรอยแยกก็ยิ่งรุนแรงรขึ้น อสรพิษยักษ์โผล่หัวออกมาจ้องหวังหลิน
อสรพิษตัวนี้สีม่วงแกมดำ ดวงตาสีม่วงเข้ม ปกติแล้วใครที่ถูกมันจ้องคงสั่นไหวแต่กลับไม่ส่งผลกระทบต่อหวังหลิน
หวังหลินไม่ได้มองอสรพิษและเดินผ่านมันไป เจ้าอสรพิษร้องคำรามต่ำแต่ในแววตาหวาดกลัว มันเริ่มถอยกลับ ยอมให้หวังหลินเดินผ่านไปและไม่กล้าโจมตี
ความจริงแล้วหวังหลินมาที่นี่เมื่อสี่วันก่อน แง่ของการบ่มเพาะ อสรพิษม่วงตัวนี้สามารถสู้กับเซียนขั้นส่องสวรรค์ระดับปลายได้ แต่หวังหลินสามารถฆ่ามันได้ง่ายๆ
เขาไม่ได้ฆ่าอสรพิษม่วงและทำให้ยุ่งยาก ทว่าเขากำลังจะพักอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาหนึ่งและไม่คิดจะฆ่าอสูรพิทักษ์สำนักตั้งแต่ที่มาถึงหรอก ดังนั้นจึงทิ้งมันให้มีชีวิตเอาไว้
หวังหลินมาถึงข้างๆหิ้ง เพียงสะบัดแขนเสื้อ กฏเกณฑ์ทั้งหมดก็หายไป หวังหลินหยิบหินหยกขึ้นมาตรวจสอบ เขาเจอมันแล้วเมื่อสี่วันก่อนแต่ไม่ได้สนใจวิถีการฝึกหรือวิชาข้างใน แต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจคือข้อมูลเกี่ยวกับอสูรวิญญาณและการปรุงยา
หลังจากมองอีกครั้งหวังหลินก็ขบคิด วางหินหยกลงและหยิบเม็ดยาขึ้นมา เม็ดยานี้ดูไม่สะดุดตานัก ตอนที่เขาเห็นเมื่อสี่วันก่อนไม่พบว่าจะมีอะไรน่าสนใจเลย
หลังจากขบคิดถึงข้อมูลเรื่องการปรุงยาที่เห็นเมื่อสี่วันก่อน หวังหลินก็มาที่นี่เพื่อตรวจสอบเม็ดยา
ตามบันทึกหินหยก มีอสูรวิญญาณอยู่ทั้งหมดสิบสามระดับ วิญญาณอสูรเหล่านี้สามารถหล่อหลอมให้กลายเป็นเม็ดยาได้และแบ่งออกเป็นสิบสามระดับเช่นกัน…นี่คือเม็ดยาที่ส่งต่อมาในแต่ละรุ่นภายในสำนักต้นกำเนิด มันคือเม็ดยาระดับแปด แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีวิญญาณอสูรระดับแปด มันจึงไร้ค่า!
หลังจากศึกษาหินหยกมาหลายวัน หวังหลินค่อยๆเข้าใจหลักแนวคิดของการปรุงยาในดาราจักรทะเลเมฆา เขามาที่อารามวันนี้เพื่อตรวจสอบว่าการคาดเดาของตนเองถูกต้องหรือไม่
เมื่อเห็นเม็ดยาในมือแล้ว จึงมั่นใจ
หวังหลินวางเม็ดยาลงและถอนหายใจ เขาไม่ได้เอาของสามสิ่งนี้ไปซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือมรดกตกทอดที่บรรพชนคนเก่าทิ้งเอาไว้ ด้วยระดับบ่มเพาะของหวังหลิน เขาจะไม่ทำอะไรที่เป็นการทำลายสำนักเว้นแต่จะมีเรื่องบาดหมางเท่านั้น
แค่มองดูของพวกนี้ก็เพียงพอแล้ว!
‘ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องหลอมเม็ดยาด้วยการใช้วิธีนี้ด้วยตัวเอง เป้าหมายในทะเลเมฆาคือการทำทุกอย่างที่ข้าสามารถเพิ่มระดับบ่มเพาะได้!’ หวังหลินดวงตาส่องสว่าง ขณะที่กำลังจะจากไป พลันเงยศีรษะขึ้น ดวงตาเผยแสงประหลาดใจ
บนท้องฟ้าเหนือแผ่นดินทางฝั่งทิศตะวันตกมีแสงกระพริบวูบวาบ เสียงอู้อี้ราวกับมีคนกำลังโหมกระหน่ำจากด้านนอก
แผ่นดินนี้ลอยอยู่ในทะเลเมฆา มีหอคอยสีดำบนแผ่นดินที่ปลดปล่อยแสงสีขาวอ่อนนุ่มปกคลุมไปทั่ว นอกจากนั้นมันผลักสายหมอกให้ลอยกลับไปและมีหน้าที่ป้องกัน
มันป้องกันเซียนการโจมตีของเซียนสำนักอื่น แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือมันป้องกันอสูรดุร้ายไปด้วย! ในทะเลเมฆา เหล่าอสูรถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท หนึ่งคือพวกที่อยู่ภายในซึ่งเหล่าเซียนเรียกกันว่าอสูรวิญญาณ ส่วนพวกที่ลอยอยู่ในสายหมอกและต่อสู้กับเหล่าเซียนให้ตายกันไปข้างถูกขนานนามว่าอสูรดุร้าย!
นาทีนี้ลำแสงเหนือพื้นที่ทิศตะวันตกของแผ่นดินค่อยๆบิดเบือนและเกิดการแตกสลาย
ปัง!
เสียงดังสนั่นระงับสายฟ้าและสายฝนทั้งหมด ดังเข้าไปสู่สำนักต้นกำเนิดอย่างชัดเจน!
อสูรวิญญาณสีดำทมิฬขนาดราวพันฟุต รูปร่างเหมือนลูกกบค่อยๆเข้าสู่ม่านพลังที่แตกหัก มันทะลุผ่านแสงไฟทั้งหมดและดันตัวเองเข้ามาในแผ่นดินโม่หลัว!
หากมันเป็นแค่อสูรวิญญาณคงไม่สามารถทำลายม่านพลังเหนือแผ่นดินได้ แต่ด้านหลังอสูรมีชายชราท่าทีโอหัง ค่อยๆถอนมือออกมาซึ่งห่อหุ้มด้วยสายลมม่วง