1156. ออกจากวังวน
หวังหลินถือกระบี่เหล็กขึ้นสนิมเอาไว้พลางถอยร่นขณะที่เฉียนกุ้ยจงพุ่งเข้ามา หวังหลินชี้แขนซ้ายส่งวิญญาณจ้าวสายลมหวนและเทียนหยุนไป
สองวิญญาณนี้คือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของหวังหลินนอกจากพลังดั้งเดิมที่เขามีอยู่น้อยนิด รวมถึงกระบี่เหล็กที่เขาใช้กับมันด้วย
ที่นี่ไม่เหมือนตอนที่อยู่ในถ้ำฉิงหลินซึ่งมีร่างดั้งเดิมที่สามารถทนต่อการโจมตีทุกอย่างได้ ตอนนั้นเขามีพลังหมัดสั่นสะเทือนสวรรค์ด้วยการใช้พลังอำนาจของเทพโบราณ ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสใช้แยกราตรี โล่ฟ้าครามก็แตกไปแล้วตอนที่ช่วยฉิงหลินซึ่งทำให้ไม่สามารถใช้วิชาความฝันบรรพกาลที่เทพโบราณแปดดาวทิ้งเอาไว้ได้
เพียงแค่ร่างอวตารในตอนนี้คงยากที่หวังหลินจะสังหารเซียนตรงหน้าได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งขาขวาถูกย้อมด้วยเลือดตนเองจากแสงสีขาวของเฉียนกุ้ยจงที่แทงทะลุเข้าไป ทั้งยังมีพลังดั้งเดิมแฝงกฎอันคลุ้มคลั่งข้างในด้วย
หากไม่มีเกราะหนังเทพโบราณห่อหุ้มวิญญาณดั้งเดิมไว้มันคงแตกสลายไปแล้ว โชคดีที่ร่างกายหวังหลินไม่ใช่ธรรมดา หลังจากหล่อหลอมอยู่ในสำนักวิหคเพลิงมันจึงมีกฎแห่งเพลิงและสายฟ้าอยู่ด้วย
ซึ่งทำให้เขาได้รับบาดเจ็บแทน ไม่ตายจากวิชาของเฉียนกุ้ยจง! หวังหลินพบเจอเรื่องอันตรายหลายอย่างในชีวิตการเป็นเซียน ดังนั้นเขาจึงรู้จักอันตรายของเซียนขั้นทลายสวรรค์เป็นอย่างดี
หวังหลินไม่มีเวลามากพอจะคิดถึงอันตรายเบื้องหน้า เขาต้องรีบจบการต่อสู้นี้และพยายามฆ่าเซียนขั้นทลายสวรรค์ตรงหน้าซะ! เพียงชี้นิ้วออกไป จ้าวสายลมหวนและเทียนหยุนพุ่งเข้าหาเฉียนกุ้ยจง
พอเผชิญกับวิญญาณทรงพลังสองดวง แม้แต่เฉียนกุ้ยจงยังต้องระวังสูงสุด ในชีวิตการบ่มเพาะเซียนทั้งชีวิต เขาไม่เคยเจอเซียนขั้นชำระสวรรค์คนไหนที่มีวิชาที่เป็นภัยคุกคามเซียนขั้นทลายสวรรค์มาก่อน
วิญญาณเทียนหยุนแทบจะบ้าคลั่งไปแล้ว มันสร้างผนึกอย่างรวรดเร็วและส่งออกไป วิชาเหล่านั้นมักจะพร่ามัวและไม่ใช่ของจริงแต่มันตรงเข้าใส่กฎของโลกหาเฉียนกุ้ยจง
รวมถึงวิญญาณของจ้าวสายลมหวน เนื่องจากเขาบรรลุขั้นทลายสวรรค์แรกก่อนตาย เพียงสะบัดแขนเสื้อ ปรากฏพายุสายฟ้าเข้าเผชิญกับวิชาของเฉียนกุ้ยจง
หากหวังหลินไม่กังวลเรื่องเวลา เขาสามารถให้จ้าวสายลมหวนและเทียนหยุนเข้ากระหน่ำใส่เฉียนกุ้ยจงจนตายได้ แต่หวังหลินไม่มีเวลาหรือพลังเทพต้นกำเนิดเพื่อประคองวิญญาณทรงพลังสองดวงนี้
วิชาไสยเวทย์กินพลังเทพต้นกำเนิดมากที่สุด!
ขณะที่วิญญาณสองดวงกำลังต่อสู้กับเฉียนกุ้ยจง หวังหลินยกแขนขึ้นชี้ใส่กระบี่เหล็ก ตวัดลงมาอย่างรุนแรงปรากฏปราณกระบี่สลายปฐพี มันเปลี่ยนกลายเป็นภาพมายากระบี่ยักษ์และตวัดลงใส่เฉียนกุ้ยจง
ยังไม่จบแค่นี้ หวังหลินหลับตาและยกเลิกการควบคุมกระบี่เหล็ก ปล่อยให้มันเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง กระบี่เหล็กเคลื่อนไหวราวกับแขนหวังหลินติดไปด้วยและตวัดส่งออกไปอีกครั้ง
ลำแสงหลายเส้นก่อตัวเป็นเส้นโค้งผ่านสายหมอก แต่ละเส้นแสงแสดงถึงปราณกระบี่หนึ่งสาย! ปราณกระบี่หนึ่งสายกินพลังงานดั้งเดิมในร่างหวังหลินจำนวนมาก
ปราณกระบี่พัวพันกันดุจดอกไม้ มองไกลๆมันเหมือนลำแสงปราณกระบี่โค้งไปเรื่อยๆจนกลายเป็นดอกไม้ที่สร้างจากกระบี่เบื้องหน้าเฉียนกุ้ยจง
เพียงพริบตาเดียวเส้นกระบี่สิบสามเล่มก็ตกลงไป! หวังหลินหลับตาขยับแขนพลางให้กระบี่ขยับด้วยตัวเอง พลันปรากฏกลิ่นอายน่าตกตะลึงขึ้นจากตัวหวังหลินโดยไม่คาดคิด ราวกับโลกถูกทำลายด้วยกระบี่!
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในพริบตา เฉียนกุ้ยจงกำลังพัวพันกับจ้าวสายลมหวนและเทียนหยุน ฝ่ามือสร้างผนึกอย่างต่อเนื่องส่งวิชาแตกต่างกันออกไปพร้อมสมบัติแต่ใบหน้าซีดเผือด แม้เขาจะรู้ว่ากระบี่เหล็กคือสมบัติสวรรค์ดับสูญแต่ความแข็งแกร่งก็ยังแตกต่างจากสวรรค์ดับสูญ
ที่เขาไม่อาจจินตนาการได้คือพลังอำนาจของปราณกระบี่! ตอนนี้เขาเห็นปราณกระบี่รอบตัวเองชัดเจนแต่ไม่สามารถหลบได้ พลันร้องคำรามและพยายามทะลวงหนีให้ออกจากสองวิญญาณที่พัวพันอยู่
แต่ว่าวินาทีนั้นหวังหลินลืมตาขึ้น ใบหน้าซีดเผือดพลางรั้งกระบี่เหล็กกลับมา จากนั้นฟันลงไปหกครั้งในคราเดียว!
ทั้งหมดมีกระบี่สิบหกครั้งและใช้พลังดั้งเดิมหวังหลินไปเกือบหกในสิบส่วน หลังจากนั้นเขาก็ถอย กระบี่มายาเล่มยักษ์สิบเก้าเล่มปรากฏขึ้นมารอบเฉียนกุ้ยจง ด้วยความแข็งแกร่งของหวังหลินในปัจจุบันเขาสามารถใช้ได้อีกแต่ผลที่ตามมามันมากกว่าหวังหลินจะคาดคิด ดังนั้นจึงฝืนระงับกระบี่เหล็กเอาไว้ ด้วยระดับบ่มเพาะตอนนี้เขาสามารถควบคุมกระบี่ที่ฟันไปสิบเก้าครั้งได้ แต่หากผ่านสิบเก้าครั้งไปเขาคงไม่สามารถหยุดได้แม้จะต้องการก็ตาม
“ฟัน!” หวังหลินร้องตะโกน กระบี่สิบเก้าเล่มฟันเข้าใส่ทันที มันเชื่อมต่อเข้ากับการฟันกระบี่ต่อเนื่องและตรงเข้าหาเฉียนกุ้ยจง
เป็นความเร็วที่เหนือจินตนาการ เฉียนกุ้ยจงไม่สามารถต้านทานการฟันสิบเก้าครั้งจากกระบี่ระดับสวรรค์ดับสูญได้ เสียงดังสนั่นกึกก้องพร้อมกระบี่แทงเข้าใส่ร่างเขา
ร่างกายสั่นสะท้านและถูกแยกส่วนเป็นสิบเก้าชิ้นทันที โลหิตระเบิดสาดกระจายไปทุกที่!
เสียงร้องคำรามโหยหวนดังสนั่นในเวลาเดียวกับร่างเฉียนกุ้ยจงแตกสลาย ด้วยเพราะเขาเป็นเซียนขั้นทลายสวรรค์ดังนั้นวิญญาณดั้งเดิมจึงหนีออกจากศีรษะ เขาเก็บสมบัติมาและรีบหนี
ตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัวเกินจินตนาการ เขารู้สึกว่าเซียนผมขาวคนนี้รู้เรื่องเกี่ยวกับสำนักทะลวงสวรรค์ บางทีการตายของฉีเล่าซิงก็เกี่ยวข้องด้วย
“เขามาจากสำนักอะไรถึงมีสมบัติที่แข็งแกร่งแบบนั้น? หรือว่า…หรือจะมาจากเขตระดับแปด?!” พอคิดเช่นนี้เฉียนกุ้ยจงถึงกับตกตะลึงยิ่ง วิญญาณดั้งเดิมหนีอย่างบ้าคลั่ง เขาต้องบอกสำนักให้รู้เรื่องนี้!
เขารู้ว่ากองหนุนที่สองของสำนักตัวเองจะมาถึงในอีกไม่นาน ดังนั้นขอเพียงต้องยื้อเวลานานกว่านี้เล็กน้อย!
หวังหลินหน้าซีด ชั่วขณะที่วิญญาณดั้งเดิมของเฉียนกุ้ยจงหนีไป แววตาซ้ายหวังหลินปรากฏเปลวเพลิงลุกโชติช่วงก่อตัวเป็นทะเลเพลิง หากมองใกล้ๆจะเห็นได้ว่าทะเลเพลิงนั้นมีอยู่เก้าชั้น!
เปลี่ยนร่างเก้าลี้ลับ!
ชั่วขณะเปลวเพลิงเก้าชั้นปรากฏ มันก็เชื่อมไปรอบๆหวังหลิน ร่างหวังหลินที่คล้ายกำลังเผาไหม้เดินออกมา
ครั้งนี้ร่างกายหายไปแต่กลับปรากฏวิหคเพลิงตัวสีขาวขนาดหลายร้อยฟุตขึ้นมาแทน วิหคเพลิงตัวนี้คือหวังหลิน!
ยามสะบัดปีก หวังหลินไล่ทันเฉียนกุ้ยจงไปเป็นเพลิงทางยาว กระแทกเข้าใส่วิญญาณอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
วิญญาณเฉียนกุ้ยจงหรี่สายตาและกรีดร้อง เขารู้สึกถึงความตายกำลังเข้ามาใกล้ วินาทีนั้นสายเกินกว่าจะคิดแล้ว ดวงตาบ้าระห่ำพลางขยับแขนปรากฏกลิ่นอายทำลายล้างออกมาจากวิญญาณ
ในจังหวะอันตรายเขาเลือกทำลายวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองเสียดีกว่า แต่ด้วยระดับบ่มเพาะอันสูงส่งจึงสามารรถควบคุมการทำลายตัวเองได้ สองแขนพลันระเบิดกลายเป็นพายุและเข้าไปใกล้วิหคเพลิง สมบัติที่เขาถือระเบิดกลายเป็นเส้นสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งหาวิหคเพลิง
อย่างไรก็ตามแค่นี้ไม่สามารถหยุดการปะทะวิหคเพลิงได้ เปลวเพลิงเข้าล้อมรอบวิญญาณเฉียนกุ้ยจง
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังสะท้อนพร้อมกับวิญญาณเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เขาถอยหนีอย่างหมดท่าพร้อมกับมีเปลวเพลิงปกคลุม
ขณะหลบหนี สองฝ่ามือสร้างผนึกปรากฏอักขระเวทย์ลึกลับรอบตัว วิญญาณอสรพิษตัวหนึ่งปรากฏเบื้องหน้า เฉียนกุ้ยจงสูดลมหายใจทำให้วิญญาณเจ้าอสรพิษหดลงและแตกดับในทันที
หลังจากดูดซับวิญญาณอสูรชีวิตของตัวเองไป เฉียนกุ้ยจงพลันหนีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หันกลับมามอง
วิหคเพลิงหายตัวไปและปรากฏเป็นหวังหลิน หน้าอกเป็นคราบเลือดจนเห็นกระดูกสีขาว เขาจ้องเฉียนกุ้ยจงที่กำลังหลบหนี แววตาเผยจิตสังหารแรงกล้า
“วิญญาณเทียนหยุน ผสานเข้ากับสัมผัสวิญญาณข้า!” หวังหลินไม่ได้ใช้วิชายับยั้งและสร้างผนึกขึ้นมาแทนก่อนจะชี้ใส่วิญญาณเทียนหยุน วิญญาณนั้นดวงตากะพริบวาบและเปลี่ยนกลายเป็นลำแสงเข้าสู่ร่างหวังหลิน
หวังหลินร่างสั่นเทา ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งคล้ายกับมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง คนทั้งหมดที่หวังหลินเคยเจอมาในทั้งชีวิต เทียนหยุนเป็นคนเดียวที่เป็นแบบนี้!
หลังจากพบเจอโชคลาภของฉิงหลิน หวังหลินจึงรู้แจ้งเกี่ยวกับวิขาของป๋ายฟ่าน พอบรรลุขีดจำกัดวิชาไสยเวทย์แล้วเขาจึงสามารถทำให้วิญญาณผสมผสานกับตัวเองได้!
หวังหลินค่อยๆหลับตาไม่สนการหลบหนีของเฉียนกุ้ยจง ขณะเดียวกันยกแขนซ้ายและชี้ออกไป
พริบตานั้นปรากฏพายุขึ้นไกลๆ สายหมอกปั่นป่วนรุนแรงพร้อมกับกระจายเป็นระลอกคลื่นสีเหลือง ใจกลางระลอกคลื่นมีฝ่ามือยักษ์ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับนิ้วชี้ ส่วนนิ้วที่เหลือรวมกันเป็นกำปั้น
ดัชนีชะตาสวรรค์!
หวังหลินใช้พลังอำนาจของตัวเองและใช้วิญญาณของเทียนหยุนเป็นเครื่องชี้ทาง ดัชนีชะตาสวรรค์ร่อนลงใส่ดาราจักรทะเลเมฆา เคลื่อนด้วยแรงเหวี่ยงเหนือจินตนาการ เร็วยิ่งกว่าเฉียนกุ้ยจงหลบหนี ไม่ว่าเขาจะพยายามหนีมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหลบดัชนีที่ร่อนลงบนร่างได้
ขณะที่ดัชนีชะตาสวรรค์ประทับแทนที่ทุกอย่างเบื้องหน้าเฉียนกุ้ยจง ท้ายที่สุดวิญญาณเขาก็แตกสลายกลายเป็นละอองแสง ดัชนีชะตาสวรรรค์หายไปพร้อมกับเขาด้วย
รอบด้านเงียบสนิท ตั้งแต่ตอนที่หวังหลินโจมตีครั้งแรกจนถึงตอนนี้เวลาพึ่งผ่านไปสั้นๆเท่านั้น หวังหลินเก็บทุกอย่างและพุ่งออกไกล
“หากร่างกายดั้งเดิมข้าอยู่ที่นี่ การต่อสู้คงไม่ยากเพียงนี้ สามบททดสอบและเจ็ดหายนะ…ไม่รู้ว่าร่างดั้งเดิมจะสามารถผ่านมันไปสำเร็จได้หรือไม่…” หวังหลินยกแขนขวาไว้บนหน้าอก นาทีนั้นเส้นด้ายสีขาวนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ภายในอก ปลดปล่อยความเจ็บปวดรุนแรง
แววตาหวังหลินกะพริบเย็นเยียบพลางเปลี่ยนทิศทางและหายตัวไปในเส้นขอบฟ้า
ห้าวันต่อมาแผ่นดินโม่หลัวค่อยๆปรากฏเบื้องหน้า หวังหลินถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเลือกทิศทางหนึ่งหลังจากคำนวณตำแหน่งที่เซียนพวกนั้นจากมา พลางเคลื่อนเป็นวงกลมขนาดใหญ่และโชคดีที่สามารถหลบเลี่ยงความขัดแย้งมาได้สำเร็จ
หวังหลินไม่รู้ว่าหลังจากฆ่าเฉียนกุ้ยจงไปไม่นาน สำนักอื่นๆก็รับรู้ถึงการตายของฉีเล่าซิง พื้นที่รอบแผ่นดินป่าถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนา
การตายของเฉียนกุ้ยจงทำให้สำนักดอกไม้กระจ่างตกตะลึง ขณะที่กำลังปิดผนึกพื้นที่พวกเขาก็ค้นหาฆาตกรอย่างบ้าคลั่งแต่หวังหลินจากไปไกลแล้ว
เหล่าเซียนจากเขตระดับหกพบเจอร่างศพในหุบเขาที่ฉีเล่าซิงอยู่ ทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่สำนักห้าพิษ พอเจอสายตาจากทุกสำนัก สำนักห้าพิษไม่สามารถอธิบายอะไรได้
เริ่มเกิดคลื่นใต้น้ำเคลื่อนตัวภายในเขตระดับห้า
หลังจากกลับมาที่แผ่นดินโม่หลัว หวังหลินมุ่งหน้าเข้าหาสำนักต้นกำเนิด เขารู้ว่าเขตระดับห้ากำลังจะวุ่นวาย เหล่าเซียนเขตระดับหกจะต้องเพิ่มระยะการค้นหา และตอนนั้นตัวตนของเขาในสำนักต้นกำเนิดคงยิ่งสำคัญมาก
การกลับมาของหวังหลินไม่ได้ทำให้สำนักต้นกำเนิดเพิ่มความสนใจ เขาปรากฏตัวภายในลานทิศใต้ทันที เขาเห็นซิ่วหยุนนั่งอยู่นอกบ้านและมีสีหน้าตกตะลึง
“เจ้า…” ซิ่วหยุนกำลังจะเอ่ยปากแต่หวังหลินไม่ให้ความสนใจนางและสะบัดแขนเสื้อ ปรากฏสมุนไพรจำนวนมากและกลายเป็นภูเขาย่อมๆระหว่างสองคนในเวลาไม่นาน
“ข้ามาคืนสมุนไพรให้เจ้า!” หวังหลินเอ่ยคำเดียวจากนั้นก็เข้าบ้านไป
ซิ่วหยุนมองสมุนไพรเบื้องหน้าและอ้าปากค้าง ด้วยความรู้ของนางจึงบอกได้ว่าสมุนไพรจำนวนมากพวกนี้ได้มายากยิ่ง มูลค่าของมันมากเกินกว่าที่หวังหลินใช้ไปมหาศาล
นางตกตะลึงเป็นเวลานานก่อนจะคืนสติได้และถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากหวังหลินจากไปนางก็ถูกอาจารย์ดุทุกวันและกังวลมาก อาจารย์นางบอกว่าหากผู้อาวุโสเซิ่งหนิวไม่กลับมา เมื่อนั้นพอสำนักเต๋าม่วงมาถึงนางจะกลายเป็นคนพาสำนักให้ล่มจม
หวังหลินนั่งอยู่ในบ้านด้วยสายตาเคร่งเครียด ชี้ใส่หน้าอกด้วยแขนขวา ใบหน้ายังคงซีดเผือดและเริ่มบ่มเพาะ ไม่นานนักเส้นสีขาวกะพริบวาบพลางเริ่มบังคับออกมาจากร่างกาย
เส้นสีขาวบิดเบี้ยวดูโหดร้ายยิ่ง หวังหลินใช้แขนขวาเข้าจับเส้นสีขาวและดึงมันออกมา โลหิตทะลักออกมาย้อมเสื้อผ้าจนแห้งกรัง
พอจ้องเส้นสีขาวในมือ แววตาหวังหลินปรากฏความหนาวเย็น เขาบีบมันอย่างรุนแรงให้กลายเป็นผุยผง หวังหลินบ่มเพาะต่อไปและบังคับให้เส้นสีขาวออกมาจากร่าง
เขาใช้เวลาทำแบบนี้ตลอดหลังกลับจากการเดินทาง ดังนั้นมันจึงเหลือเส้นสีขาวในร่างไม่มากนัก
เข้าวันที่สามหลังจากกลับมาที่สำนักต้นกำเนิด เขาจึงบังคับให้เส้นสีขาวออกมาได้หมด พอทำลายเส้นสุดท้ายให้กลายเป็นฝุ่น ดวงตาเขาพลันส่องสว่าง
แขนขวายื่นออกไปเปิดมิติเก็บของ หินหยกและสูตรยาบนกระดูกสัตว์ลอยเข้าในมือ
หวังหลินสูดหายใจลึก หลังจากได้รับพวกมันมาเขาไม่มีเวลาศึกษา ตอนนี้สามารถผ่อนคลายได้แล้วและกำลังจะศึกษามัน
ทว่าทันใดนั้นดวงตาหรี่แคบและเก็บของทั้งสองกลับไป หวังหลินหายตัววับในพริบตาและพุ่งลงใต้ดินจนถึงจุดที่ร่างดั้งเดิมอยู่
“บททดสอบ!”
……………………………..