1601. จดหมายที่บ้าน
พริบตาเดียวอีกสิบปีก็ผ่านพ้นไป
ซูต้าวตายไปด้วยโรคชราเมื่อสามปีก่อน เขาจากไปในฤดูหนาว เขาพยายามผ่านฤดูหนาวไปเพื่อจะมีชีวิตไปอีกหลายเดือนให้ได้เห็นใบไม้แห้งในปีถัดไป
อย่างไรก็ตามถึงแม้ความคิดจิตใจของเขาจะสามารถหยั่งรู้โลกใบนี้ได้ ร่างกายกลับมิอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตและความตายไปได้ ช่วงฤดูหนาว เกล็ดหิมะร่วงหล่น ทำให้โลกและแม่น้ำถูกแช่แข็งเป็นน้ำแข็งหนาเตอะ เขามองหิมะกำลังร่วงลงมาราวกับมันคงอยู่ไปชั่วกาลนาน
หวังหลินเข็นเก้าอี้ไม้ของเขาออกมาและเดินท่องไปในเมืองซู หวังหลินผู้มีอายุเกือบสี่สิบปีได้เปล่งกลิ่นอายแน่วแน่ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพลางเข็นซูต้าวอย่างเงียบๆ
ฤดูหนาวครั้งนี้ค่อนข้างหนาวเป็นพิเศษ หิมะตกลงมาพร้อมกับสายลมหนาวและเทใส่ร่างของทั้งสอง ยามเช้าตรู่ ระฆังในอารามดังก้องอยู่ไกลๆ เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นชัดเจนในใจ
“หลินเอ๋อร์ อาจารย์จะจากไปแล้ว…อาจารย์ไม่เคยมีลูก ศิษย์พี่สามคนของเจ้าสืบทอดความจริงแท้ของข้าไปเยอะ แต่มีเพียงความคิดความอ่านของเจ้าเท่านั้นที่คล้ายกับข้า…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าตระหนักรู้ถึงเวรกรรมแล้ว แม้มันยังคงขุ่นมัว ท้ายที่สุดเจ้าก็จะเข้าใจ สิ่งที่เจ้าไล่ตามไม่ใช่เพียงแค่เวรกรรม”
“อาจารย์จะมอบคฤหาสน์นี้ให้กับเจ้า” ซูต้าวเอ่ยเสียงอ่อนแรงผสานกับสายลมและเข้าสู่หูของหวังหลิน หวังหลินเงียบเสียงและเผยแววตาแห่งความเศร้า
ซูต้าวอยู่กับเขามาสิบเจ็ดปี ตลอดสิบเจ็ดปีนี้หวังหลินได้เปลี่ยนจากชายหนุ่มอายุสิบเก้าไปเป็นชายวัยกลางคน การติดตามซูต้าวทำให้หวังหลินเรียนรู้และเข้าใจอะไรเยอะมาก
หิมะตกอย่างหนักหน่วงและปกคลุมทัศนวิสัยของทั้งสอง ขณะที่เสียงระฆังดังกึกก้อง หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองซู
เสียงรถเข็นไม้เคลื่อนเบาๆ ไปบนถนน มีรอยสองเส้นที่เก้าอี้ทำเอาไว้ มันเหมือนกับชีวิต เมื่อไหร่ที่เรามองกลับไปก็จะเห็นได้ว่ามันไกลแค่ไหน อย่างไรก็ตามมันเพียงแค่ลากมาถึงปัจจุบันและไม่อาจเห็นได้ว่าจะสิ้นสุดตรงไหน
หิมะตกลงปกคลุมเส้นทางบนพื้น แม้แต่จุดเริ่มต้นก็มองไม่เห็น
“ส่งข้า…ไปที่ภูเขาซูข้างนอกเมือง…” ซูต้าวเอ่ยเสียงบางเบา แต่สายตาเปล่งประกาย เขามองโลกราวกับกำลังมองเห็นจุดจบของตัวเอง
หวังหลินพยักหน้าเงียบๆ พลางเข็นเก้าอี้ไม้ไปหาจุดหมายปลายทางสุดท้ายของซูต้าว
หิมะตกลงหนักกว่าเดิม สายลมและหิมะกระทบใบหน้าทำให้หิมะละลาย ความเย็นเยียบเข้าสู่จิตใจ หวังหลินเข็นเก้าอี้ไม้ผ่านถนนอันเก่าแก่และออกไป นอกเมืองซู เขาเห็นภูเขาเล็กๆ ด้านนอกเมือง
ภูเขาแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากแต่มันมีจิตวิญญาณ
ผู้คนไม่สามารถมองเห็นจิตวิญญาณนี้ได้ แต่หากหลับตาลงจะสัมผัสได้ว่าต้นไม้ทุกต้น ใบหญ้าทุกใบบนภูเขาและรู้สึกว่าภูเขากำลังหายใจ และนั่นก็มากพอแล้ว
หวังหลินเข็นเก้าอี้ไปยังทางเดินที่นำทางสู่ภูเขา ซูต้าวหลับตาลงอย่างช้าๆ เขาสัมผัสได้ว่าไม่สามารถทนอีกต่อไปได้แล้ว อย่างไรก็ตามสายตาเขายังคงเปล่งประกายเหมือนเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน
ดวงตาคือหน้าต่างของจิตใจ ร่างกายซูต้าวอาจจะเน่าเปื่อยแต่ความคิดเขา วิถีชีวิตของเขาได้ก่อเกิดขึ้นมาแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่มีวันหายไป
“พาข้าไป…ที่แห่งนั้น” น้ำเสียงของซูต้าวเบาลงมากขึ้น หวังหลินแบกซูต้าวไว้บนหลังและเดินออกจากถนน หิมะตกลงอย่างต่อเนื่องในขณะที่เขาก้าวเดินไปบนภูเขา ทีละก้าว
ท้ายที่สุดมีหลุมฝังศพแห่งหนึ่งฝังอยู่อย่างโดดเดี่ยว หลุมศพแห่งนี้ตกอยู่ในหิมะราวกับกำลังรอคอยบางอย่าง ราวกับมันรอคอยมาหลายสิบปีก็เพื่อวันนี้
ซูต้าวนั่งลงเบื้องหน้าหลุมศพและจ้องมอง ดวงตาไม่มีน้ำตาแต่กลับเป็นแววตาอ่อนโยน
“ข้ากำลังมา…เจ้าพูดว่าอยากมองข้าตลอดไป ดังนั้นข้าจึงฝังเจ้าไว้ที่นี่เพื่อให้เจ้าสามารถมองเห็นข้าที่อยู่ล่างภูเขาได้ตลอด” ซูต้าวพึมพำพลางสัมผัสกับหลุมศพ สีหน้าท่าทางอ่อนโยนและดูเหมือนลืมความเย็นจากหลุมศพไป
หรือจะพูดได้ว่าความเย็นจากหลุมศพได้เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นในใจเขาแทน
เขาค่อยๆ หลับตา ใบหน้ายิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับสิ้นลมหายใจสุดท้าย…
ซูต้าวเสียชีวิต
หวังหลินยืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลาพักใหญ่ เขาหันตัวกลับมามองลงจากภูเขา จากตำแหน่งนี้เขามองเห็นเมืองซูและคฤหาสน์ซูได้ชัดเจน
สัมผัสความเศร้าโศกเต็มไปทั่วจิตใจหวังหลิน เขาสับสนและยังคิดถึงเรื่องตัวตนของโลกนี้เป็นแบบไหน
มีชาติที่แล้วของเขาอยู่หรือไม่ การเกิดใหม่ของเขา หรือเป็นเพียงแค่ความฝัน? ไม่มีทางไหนที่จะอธิบายทุกอย่างได้ จะจริงหรือหลอกก็ดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ในวงกลมจนบอกไม่ได้ว่าจุดเริ่มและจุดจบอยู่ตรงไหน
ครึ่งเดือนต่อมา หลุมศพอีกหลุมปรากฏอยู่ข้างๆ กับหลุมศพโดดเดี่ยวบนภูเขา ตอนนี้มันไม่โดดเดี่ยวอีกแล้ว
สามปีหลังจากซูต้าวเสียชีวิตไป หวังหลินอายุสามสิบเก้า
ครอบครัวของเขาถูกพาออกมาจากหมู่บ้านใกล้ภูเขาเมื่อหลายปีก่อน แต่พวกท่านไม่สามารถปรับชีวิตให้เข้ากับที่นี่ได้ หลังจากนั้นหลายเดือนจึงกลับไปที่บ้านเกิดและอาศัยอยู่แบบชีวิตธรรมดาทั่วไป
ในฤดูหนาวยามที่หวังหลินอายุสามสิบเก้า เขาถูกเรียกตัวจากจักรพรรดิแห่งแคว้นจ้าว
นี่คือการเรียกตัวครั้งที่ห้าในเวลาสามปีหลังจากซูต้าวเสียชีวิตไป
เนื้อหาของการเรียกครั้งที่ห้าแทบจะเหมือนกัน แต่การเรียกแต่ละครั้งจะหรูหรายิ่งกว่าครั้งก่อน พวกเขาบอกว่าจักรพรรดิต้องการให้หวังหลินมาที่เมืองหลวงเพื่อเป็นราชครู
ช่วงระหว่างยี่สิบปีมานี้ ชื่อเสียงหวังหลินเพิ่มพูนขึ้นในเหล่าบัณฑิตของแคว้นจ้าว แม้เขาจะไม่เคยออกไปจากเมืองซูตลอดยี่สิบปี ผู้คนมักจะมาเยี่ยมและฟังการสอนของเขาระหว่างการสอบราชการประจำปี
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับซูต้าวแต่ก็เกี่ยวข้องกับหวังหลินด้วย ในช่วงยี่สิบปีมีบุคคลสำคัญ บัณฑิตและขุนนางบางคนที่ได้รับความพ่ายแพ้จากคำพูดของหวังหลิน
ทุกคนรู้ว่าหวังหลินได้รับสืบทอดมาจากซูต้าวให้กลายเป็นมหาบัณฑิต นี่ยิ่งทำให้จิตใจแต่ละคนฝังรากลึกลงไปตอนที่ซูต้าวเสียชีวิต
อย่างไรก็ตามไม่มีสิ่งใดแน่นอน มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จักตัวตนของหวังหลิน พวกเขาไม่เชื่อว่าหวังหลินจะคู่ควรต่อตำแหน่งมหาบัณฑิต
ความคิดเห็นเหล่านี้แตกแยกกันไปตอนที่ซูต้าวยังมีชีวิต ทว่าในสามปีหลังที่ซูต้าวเสียชีวิตไป เสียงของแต่ละคนจึงดังขึ้นเรื่อยๆ สามปีที่หวังหลินอยู่เงียบๆ พวกเขาจึงกลายเป็นเสียงแห่งความสงสัย
หวังหลินไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องราวแบบนี้ เขามีชีวิตเงียบๆ กับต้าฝูต่อไป
ความเงียบของหวังหลินทำให้หลายคนที่ตั้งคำถามกลายเป็นคนที่ดื้อด้านมากขึ้น พวกเขาชื่นชมที่หวังหลินเป็นศิษย์ของซูต้าว แต่ไม่คิดว่าหวังหลินคู่ควรต่อตำแหน่งมหาบัณฑิต ผู้คนขับเคลื่อนด้วยแรงจูงใจของตัวเอง เรื่องราวนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกระทั่งมีหลายเสียงดังขึ้นทั่วแคว้นจ้าว
หวังหลินยังคงเมินเฉย เขาเฝ้ามองดูพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก มองดู ฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นและมาถึงฤดูใบไม้ร่วง เขาทำความเข้าใจโลกและพยายามเข้าใจเวรกรรม ทั้งยังค้นหาสัญญาณชีวิตและความตาย และจริงเท็จไปด้วยกัน
แม้เขาจะตกอยู่ในสภาวะสับสนตัวเอง เขาก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปเรื่อยๆ เขาไม่ต้องการให้ความสนใจสิ่งไร้ค่าเหล่านี้และไม่ได้รู้สึกว่าต้องพิสูจน์ไปทุกอย่าง ทั้งหมดนี้ ไร้ความหมายกับเขา ราวกับเด็กกำลังโต้เถียงกัน
ทว่ายิ่งเขาเงียบขึ้น เสียงเหล่านี้ก็ยิ่งดังขึ้น สิ่งที่แย่ก็คือในบรรดาสามศิษย์ของซูต้าว นอกจากซูซานที่เป็นผู้อาวุโสและป่วยหนัก อีกสองคนเองก็ตั้งคำถามต่อหวังหลินด้วย
เป็นผลให้เหล่าบัณฑิตของแคว้นจ้าวเกิดความปั่นป่วนและไปทำให้คนทั่วไปแตกแยกด้วย เสียงแห่งความสงสัยเสมือนพายุที่พัดผ่านแคว้นจ้าว
บางคนค้นพบข้อสอบของหวังหลินเมื่อยี่สิบปีก่อนและเริ่มวิจารย์อย่างหนักหน่วง พวกเขาใช้เรื่องที่หวังหลินแค่ผ่านการสอบครั้งแรกเท่านั้นมาใส่ร้ายอย่างโอหัง
ท่ามกลางเสียงอันยุ่งเหยิงเหล่านี้ สารเรียกตัวของจักรพรรดิแห่งแคว้นจ้าวได้มาเป็นครั้งที่หก ครั้งที่เจ็ด แปด เก้า ตามหวังหลินเหมือนหิมะ
สิ่งที่ทำให้รู้สึกว่ามากเกินไปก็คือมันส่งผลกระทบต่อครอบครัวของหวังหลินด้วย ครอบครัวของเขาแก่ชราแล้วและควรจะมีชีวิตอย่างเป็นสุขในบั้นปลายของชีวิต แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผู้คนในหมู่บ้านได้รู้เรื่องนี้และแพร่กระจายกันไปในหมู่บ้าน ลือกันว่าเหล่าชาวบ้านได้ทำให้ครอบครัวของหวังหลินโกรธเกรี้ยว
ทั้งสองแก่ชราแล้วและความโกรธครั้งนี้ทำให้พ่อของหวังหลินต้องล้มป่วย
ระหว่างฤดูหนาวในปีนี้ หวังหลินยืนถือจดหมายหนึ่งอยู่ในลาน จดหมายนี้มาจากแม่ของเขา นางให้ใครสักคนเขียนให้และไว้วางใจให้ลุงสี่ส่งมา
จดหมายบอกหวังหลินว่าพ่อของเขาสบายดี
หลังจากอ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธเกรี้ยวผุดขึ้นในแววตาสงบนิ่งของหวังหลิน
หวังหลินพับจดหมายและเก็บใส่เสื้อผ้า เขามองไปยังหิมะที่กำลังตก “เกินไปหน่อยแล้ว”
เขาไม่มีเจตนาจะพิสูจน์ทุกอย่าง ไม่ว่าเหล่าเสียงในแคว้นจ้าวจะดังเพียงใดก็ไม่สนใจ ตำแหน่งมหาบัณฑิตที่ถือไว้นั้นไร้ค่า เขาไม่สนใจ
เขาเหมือนชายชราที่เพียงแค่ต้องการทำความเข้าใจโลกเท่านั้น
อย่างไรก็ตามทุกอย่างมีขีดจำกัดและจุดเดือดของหวังหลินคือครอบครัว ความโกรธเกรี้ยวของพ่อแม่ ความเจ็บปวดของพ่อแม่ ความเศร้าของพ่อแม่คือ ความโกรธเกรี้ยวของเขา ความเจ็บปวดของเขา ความเศร้าของเขา
“ต้าฝู เตรียมของที่จำเป็น ข้าจะบรรยายเป็นเวลาสิบปี ข้าจะต้อนรับทุกคนในโลกมาที่เมืองซูเพื่อเรียนรู้จากข้า หากพวกเขาสามารถแสดงให้เห็นว่าเหนือกว่าข้าได้ ก็เอาคฤหาสน์นี้ไปจากข้าได้เลย” หวังหลินสะบัดแขนเสื้อและจากไป
ต้าฝูที่อยู่ด้านหลังซึ่งมีอายุนำหน้ามาก่อน เขายังคงเหมือนเดิมเหมือนยี่สิบปีที่แล้ว เขาตื่นเต้นมากเท่ากับความโกรธเกรี้ยวในช่วงสามปีหลัง พวกคนที่เคยเคารพเขา ไม่เพียงแต่จะแปลกประหลาดแต่ยังเย็นชากับเขาด้วย
ตอนนี้พอได้ยินคำพูดของหวังหลิน จึงเกิดท่าทีคาดหวัง เขารีบจัดแจงเรื่องนี้ให้รวดเร็ว
“ฮึ่ม ฮึ่ม นายน้อยของข้ายังคงหยิ่งผยองที่สุด บรรยายสิบปี ข้าอยากจะเห็น สีหน้าพวกคนที่พ่ายแพ้ไปเสียจริงๆ”