Skip to content

กี่ชาติกี่ภพข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้ามีความสุข 3

Cover Kj

Chapter 3 (18+)ส่งของหมั้นอีกครั้ง

ถางซือดูดยอดอกข้างหนึ่ง อีกข้างก็ใช้มือลูบคลึงไปมา อีกมือก็วางบนเนินหญ้าดำขลับ บีบคลึงกลีบดอกไม้เบาๆ หว่านหรูอี้อ้าขาออกพลางสั่ง “ใส่นิ้วเข้าไปเร็ว ข้าทนไม่ไหวแล้ว”

ถางซือจึงสอดนิ้วเข้าไปในรูเล็กแทงเข้าๆ ออกๆ หว่านหรูอี้แอ่นสะโพกสู้นิ้วสีหน้าเหยเกอย่างพึงพอใจ “อื้อ…เร็วอีก”

ถางซือจึงยิ่งแทงนิ้วเร็วขึ้นจนเกิดเสียงดังแจ๊ะๆ หว่านหรูอี้ตัวเกร็งสั่นระริกๆ “อื้อ…เร็วอีก ใกล้แล้ว”

ถางซือยิ่งแทงนิ้วรัวๆ เสียงดังแจ๊ะๆ พลางดูดยอดอกอย่างแรง จนกระทั่งหว่านหรูอี้ตัวเกร็งกระตุก “อ้าาาาา…”

นางสุขสมถึงสวรรค์ รู้สึกตัวเบาลอยละล่อง นอนหอบหายใจถี่กระชั้น ถางซือดึงนิ้วออกมา นางผละจากยอดอกลงไปที่เนินหญ้าดำขลับ แหวกกลีบดอกไม้ออกแล้วเลียกินน้ำหวานทำความสะอาดให้คุณหนู หว่านหรูอี้เสียวจนตัวเกร็ง นางยิ่งอ้าขากว้างขึ้น “อ้า ดูดแรงๆ”

ถางซือจึงดูดเกสรกลางดอกไม้จนเสียงดังจ๊วบๆ นางดูดเกสรจนแทบจะขาดติดปากได้ คุณหนูชอบให้นางดูดแรงๆ นางก็สนองให้อย่างถึงพริกถึงขิง หว่านหรูอี้เสียวจนแทบอยากจะร้องครางดังๆ แต่นางก็รีบเอาผ้ามาอุดปากเอาไว้ กลั้นเสียงไม่ให้ดังลอดออกไป เสียงจึงเหลือเพียงเสียงอือๆ เหมือนนกกลางคืนร้อง

ถางซือดูดๆ เลียๆ อยู่พักหนึ่ง นางก็แทงนิ้วใส่รูเล็กจนหว่านหรูอี้ตัวเกร็ง เสียวกระสันจนหูอื้อตาลาย “อื้อ…”

นางอยากลองถูกแท่งเนื้อของบุรุษกระแทกรู แต่ว่านางก็ยังทำเช่นนั้นไม่ได้ หากว่านางแต่งงานไปแล้วสามีพบว่านางไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ สามีย่อมทอดทิ้งนางแน่นอน นางจะปล่อยให้ตัณหาครอบงำจนถึงขั้นนั้นไม่ได้เด็ดขาด พรหมจรรย์ของนางยังต้องเก็บไว้ให้สามีเป็นผู้ทะลวง นางในยามนี้ทำได้แค่ให้ถางซือช่วยคลายกำหนัดเช่นนี้ไปก่อน แต่แค่ลิ้นกับนิ้วก็ทำนางสุขสมถึงสวรรค์นับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นนางจึงโปรดปรานถางซือเป็นพิเศษ มีของกินดีๆ ก็แบ่งให้เสมอ บางคราวก็ให้เบี้ยเป็นรางวัล ถางซือจึงไม่รังเกียจที่ต้องใช้ลิ้นใช้นิ้วช่วยสร้างความสุขให้คุณหนูของนาง ยิ่งคุณหนูมีความสุขมากเท่าไหร่ รางวัลที่นางได้รับก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นอยู่ของนางก็ดีกว่าสาวใช้คนอื่นๆ มากนัก นางได้นอนอุ่นเตียงให้คุณหนูทุกค่ำคืน ใช้นิ้วใช้ปากช่วยสร้างความสุขให้คุณหนูทุกคืน

เกสรถูกดูด รูถูกแทงเข้าๆ ออกๆ ทำให้หว่านหรูอี้เสียวจนสุขสมอีกครา “อ้าาาาา…”

นางเกร็งกระตุก ดันศีรษะของถางซือออก “พอแล้ว”

ถางซือจึงผละจากเนินหญ้าดำขลับ ดึงนิ้วออกมา น้ำหวานยืดติดนิ้วออกมาเป็นสาย นางยกนิ้วขึ้นเลียกินอย่างเอร็ดอร่อยลิ้น หว่านหรูอี้ปรือตาลง พลางสั่ง “ข้าจะนอนสักพัก”

“เจ้าค่ะ” ถางซือรับคำ นางลุกไปหยิบเสื้อกับกางเกงตัวในมาสวมให้คุณหนูของนาง หว่านหรูอี้สวมอาภรณ์ตัวในอย่างสะลืมสะลือ นางหลับไปแทบจะทันทีที่ถางซือสวมอาภรณ์ตัวในให้นางเสร็จแล้ว ถางซือลุกออกจากเตียงไปนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ใช้พัดโบกๆ ลมให้คุณหนูเบาๆ

ณ บ้านตระกูลหนานกง หนานกงเยี่ยนอุ้มว่าที่ฮูหยินของเขาที่ยังหลับใหลไม่ตื่นเข้าห้องนอนไป บ่าวในเรือนมองอย่างแตกตื่นตกใจ จู่ๆ นายท่านก็อุ้มสตรีกลับมางั้นรึ!?

นางเป็นใคร!? พวกบ่าวล้วนอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อถูกเจ๋อหมิงบ่าวคนสนิทของนายท่านถลึงตามอง พวกบ่าวก็รีบหลุบตาลงแล้วรีบแยกย้ายกันไปทำงานทันที เจ๋อหมิงเดินเข้าไปในห้องนอน เขายืนกุมมืออยู่เงียบๆ หนานกงเยี่ยนวางว่าที่ฮูหยินลงบนเตียงแล้วหันไปบอกเจ๋อหมิงว่า “นางคือว่าที่ฮูหยินของข้า”

“ไม่ใช่แม่นางหว่านหรูอี้นี่ขอรับ” เจ๋อหมิงเอ่ยคล้ายถาม หนานกงเยี่ยนจึงบอก “ข้าเปลี่ยนตัวคู่หมั้นแล้วน่ะ ข้าถอนหมั้นกับแม่นางหว่านหรูอี้แล้ว แล้วก็กำลังจะให้เจ้าเอาของหมั้นไปมอบให้หว่านกัวฉาย อ่อ นางเป็นน้องสาวของหว่านหรูอี้น่ะ ชื่อหว่านหรง ในเมื่อหว่านหรูอี้วางแผนผลักน้องมาแต่งกับข้าแทน ข้าก็ไม่ขัดข้อง เจ้าดูซิ นางสวยกว่าหว่านหรูอี้ตั้งเยอะแล้วข้าจะขัดข้องไปทำไม ฮ่าๆ นี่ถ้าหากข้าเห็นนางก่อนข้าคงไม่ต้องสิ้นเปลืองของหมั้นอีกรอบเช่นนี้หรอก”

“อ่อ” เจ๋อหมิงส่งเสียงรับรู้ หนานกงเยี่ยนจึงเล่าว่า “วันนี้ข้าไปเจอสองพี่น้องตระกูลหว่านที่โรงเตี้ยม ข้าจึงชวนพวกนางกินข้าวด้วย ไม่คิดเลยว่าจะถูกแม่นางหว่านคนพี่วางยาปลุกกำหนัดซะได้ ทีแรกข้าคิดว่าแม่นางคนน้องวางยาข้าซะอีก แต่กลับไม่ใช่ กลายเป็นว่าแม่นางหว่านหรูอี้เป็นคนวางยาข้า นางวางแผนให้ข้าได้เสียกับแม่นางหว่านหรง ซ้ำยังเชิญหว่านกัวฉายมาเป็นพยานในความบัดซบของข้าอีก ในเมื่อนางรังเกียจที่จะเป็นฮูหยินของข้าถึงเพียงนั้น ข้าก็เลยตามน้ำไปกับนางซะเลย ฮ่าๆ”

“หรือว่านางจะรู้เรื่องนั้นของท่านแล้ว นางจึงไม่อยากแต่งกับท่าน” เจ๋อหมิงคาดเดา หนานกงเยี่ยนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “นางจะรู้หรือไม่รู้ก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็จะแต่งฮูหยินอยู่ดี จะเป็นคนพี่หรือคนน้องก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าเป็นคนน้องนี่แหละดีที่สุดแล้ว ข้าชอบนาง ดังนั้นนางต้องแต่งกับข้า”

เจ๋อหมิงฟังแล้วจึงบอก “เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมของหมั้นไปให้หว่านกัวฉายอีกครั้ง หากใครถามข้าจะก็บอกว่าท่านคิดว่าของหมั้นน้อยไปหน่อยจึงได้ส่งไปเพิ่มล่ะกัน หว่านกัวฉายคงไม่อยากให้เรื่องนี้อื้อฉาวออกไปแน่นอน ดังนั้นเขาคงปิดปากทุกคน อีกทั้งแม่นางหว่านหรูอี้ก็ไม่อยากแต่งกับท่าน ไม่เช่นนั้นหลังจากที่ท่านไปขอหมั้นแล้ว นางคงป่าวประกาศเรื่องน่ายินดีนี้จนรู้กันทั่วเมืองนานแล้ว คงไม่ปิดเงียบไว้เช่นนี้หรอก มาวันนี้นางวางแผนผลักน้องสาวมาแต่งกับท่านแทนก็ถือว่านางไร้วาสนาเป็นฮูหยินตระกูลหนานกงเถอะ”

“ไปๆ เจ้ารีบไปจัดการเถอะ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้า เจ๋อหมิงจึงถอยออกไป หนานกงเยี่ยนนั่งลงมองหว่านหรงที่ยังหลับใหลไม่ตื่น เขาพิศดูใบหน้านางที่งดงามราวนางเซียน แม้ว่านางจะไร้เครื่องประทินโฉม แต่ใบหน้าเช่นนี้ก็ถือว่างามพิสุทธิ์ยิ่งนัก เขามองนางด้วยสายตาอ่อนโยน ต่อให้นางตื่นขึ้นมาแล้วไม่อยากแต่งกับเขา เขาก็จะบังคับให้นางแต่งกับเขาจนได้

เขา…หนานกงเยี่ยนหากทำอะไรแล้วไม่มีทางไม่สำเร็จ ดังนั้นเรื่องกล่อมสตรีนางหนึ่งให้ยอมตกแต่งกับเขาย่อมไม่ใช่เรื่องยาก หึๆๆๆ…

เวลาผ่านไป หว่านหรงค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา นางเห็นใบหน้าของบุรุษหล่อเหลาอยู่ด้านข้างก็สะดุ้ง “อ่ะ!”

นางกระถดตัวถอยไปจนติดผนังด้านในอย่างตื่นกลัว พลางมองไปรอบๆ ห้องหรูหราที่ไม่คุ้นตาอย่างงุนงง “ที่นี่?”

“บ้านข้าเอง” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงกะพริบตาปริบๆ นางนึกไม่ออกว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้นางก็หน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที

“แม่นางดื่มชาก่อนเถอะ พิษยาปลุกกำหนัดคงทำให้แม่นางรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ถ้าอย่างไรให้ข้าช่วย…”

“ไม่ต้อง!” หว่านหรงพูดแทรกก่อนที่หนานกงเยี่ยนจะพูดจบ นางยิ่งหน้าแดงก่ำมากขึ้นอีก นางอายจนอยากมุดดินหนีแล้ว นางไม่เคยต้องมือชายใดมาก่อน จู่ๆ กลับถูกคู่หมั้นพี่สาวรังแกซะจนนางแทบอยากผูกคอตายหนีอายให้รู้แล้วรู้รอดไป ยิ่งคิดถึงตอนที่เขาจูบ เขาดูด เขาลูบ เขาแทงนิ้วอยู่ในตัวนาง นางก็ยิ่งอายแสนอาย นางชันเข่าขึ้นมา ซุกหน้ากับเข่าตัวเอง

“ข้าหมายถึงว่า ข้าจะตามหมอมาตรวจเจ้าต่างหาก” หนานกงเยี่ยนบอก เขายิ้มขำบางๆ หว่านหรงเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่งเหลือบมองเขาอย่างตื่นกลัว พลัน! นางก็นึกได้ว่าก่อนที่นางจะหลับไป นางเห็นท่านพ่อใช่ไหม!?

“ท่านพ่อข้าล่ะ?” นางถาม หนานกงเยี่ยนตอบ “เขาก็อยู่บ้านเขาซิ เจ้าไม่ต้องกังวลไป เขาทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก มีข้าอยู่ทั้งคนใครหน้าไหนกล้าตีเจ้า ก็ต้องข้ามศพข้าไปซะก่อน”

“ข้าจะกลับบ้าน” หว่านหรงบอก หนานกงเยี่ยนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้ายังอยากจะกลับไปถูกตีเนี่ยนะ?”

เขาแน่ใจว่าหากแม่นางน้อยผู้นี้กลับบ้านไปแล้วจะต้องถูกหว่านกัวฉายตีสัก 1 รอบแน่แท้ หว่านหรงคิดตาม ถ้านางกลับไป ท่านพ่อต้องตีนางแน่นอน ต่อให้นางจะพูดจนปากฉีกว่าถูกคนวางยา ท่านพ่อก็คงไม่เชื่อนางแน่ๆ อีกทั้งนางไร้แม่คอยปกป้อง ในจวนนั้นนอกจากแม่นมกับสาวใช้เก่าแก่ของท่านแม่แล้วก็ไม่มีใครดีกับนางเลย ท่านพ่อก็เจอหน้ากันนับครั้งได้ ไม่ต้องพูดถึงความรักความผูกพันอะไรเลย มีพ่อที่เหมือนเป็นคนแปลกหน้าต่อกันเช่นนั้น นางต้องถูกตีแน่นอน!

“แต่ว่าแม่นมกับจางลี่ป่านนี้คงเป็นห่วงข้าแย่แล้วกระมัง” นางเอ่ยอย่างกังวล หนานกงเยี่ยนบอก “งั้นข้าจะให้คนไปรับตัว 2 คนนั่นมา เจ้าจะได้เลิกกังวลเสียที”

“รับมา?” หว่านหรงทวนคำ เขาพูดเหมือนง่าย แต่คงไม่ง่ายอย่างที่เขาพูดหรอก หนานกงเยี่ยนคล้ายจะอ่านใจนางได้ เขาเห็นสีหน้ากังวลใจของนางก็พอจะเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว เขาจึงบอกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป แค่คนสองคนข้าย่อมมีวิธีพามาให้เจ้าอยู่แล้ว จำไว้ ข้า หนานกงเยี่ยน ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่สำเร็จ”

เขาบอกอย่างอหังการแล้วลุกขึ้นหมุนตัวเดินออกไป หว่านหรงมองตามจนประตูปิดลง นางจึงถอนหายใจโล่งอก

หนานกงเยี่ยนเดินออกไป เขามองหาเจ๋อหมิง แล้วก็เห็นเจ๋อหมิงกำลังสั่งบ่าวไพร่อยู่ เขาจึงเดินไปหา “เจ๋อหมิง”

“นายท่าน” เจ๋อหมิงหันไปกุมมือ หนานกงเยี่ยนจึงสั่งว่า “เจ้าไปจวนตระกูลหว่าน ก็อย่าลืมพาเอ่อ…”

เขานึกๆ อึดใจหนึ่งแล้วบอก “แม่นม กับจาง…ลี้ อ่อ จางลี่ กลับมาด้วยล่ะ ดูเหมือนคู่หมั้นข้าจะเป็นห่วง 2 คนนี้มาก แล้วเจ้าก็ช่วยสืบเรื่องของหว่านหรงมาให้ข้าด้วย ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาง ข้าอยากรู้ทั้งหมด”

“เรื่องของแม่นางหว่านหรง เท่าที่ข้าสืบมาก่อนหน้านี้ นางเป็นบุตรสาวของฮูหยินเอกกับหว่านกัวฉาย แต่เพราะมารดานางตายตั้งแต่นางอายุได้ขวบกว่าๆ นางจึงกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็ก นางเพิ่งจะปักปิ่นไปเมื่อวันก่อน ดังนั้นตอนที่ท่านให้ข้าไปสู่ขอฮูหยิน ข้าจึงไม่ได้บอกชื่อนางมาเป็นตัวเลือกให้ท่าน เท่าที่ข้ารู้ นางอยู่ในจวนนั้นแทบจะเป็นคุณหนูที่ถูกลืมไปแล้ว หว่านกัวฉายมีลูกสาวหลายคนก็จริง แต่ว่าคนที่อายุถึงวัยออกเรือน ก็มีแค่แม่นางหว่านหรูอี้ อ่อ ตอนนี้ก็มีแม่นางหว่านหรงอีกคนแล้ว”

“ข้าไม่สนแล้วว่าจะยังไง ข้าจะแต่งกับคนนี้ ต้องเป็นหว่านหรงเท่านั้น ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าไปจัดการให้เรียบร้อย” หนานกงเยี่ยนสั่ง

“ขอรับ” เจ๋อหมิงรับคำ เขารู้ดีว่านายท่านของเขาเอาแต่ใจมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปซะทุกเรื่อง อย่างเช่นเหตุผลในการเลือกฮูหยิน ที่เลือกตระกูลหว่านก็เพราะว่าตระกูลหว่านเป็นตระกูลเล็กๆ ไม่มีอำนาจอะไร ดังนั้นฮูหยินที่มาจากตระกูลเล็กๆ แบบนั้นย่อมไม่ก่อเรื่องก่อราวก่อคลื่นลมอะไรได้ หากแต่งเข้ามาแล้วย่อมเชื่อฟังสามี อยู่อย่างไร้ปากไร้เสียง ทำหน้าที่ฮูหยินได้ดีแน่นอน

“อ่อ แล้วถ้าหว่านกัวฉายคิดจะพานางกลับไป บอกไปว่าข้าต้องการให้นางอยู่ที่บ้านข้าเพื่อทำความคุ้นเคยกับข้า” หนานกงเยี่ยนบอก เจ๋อหมิงรับคำ “ขอรับ”

หนานกงเยี่ยนสั่งเสร็จแล้วก็หมุนตัวจะเดินกลับไป เขาชะงักแล้วหันกลับไปสั่งเจ๋อหมิงว่า “ตามช่างตัดอาภรณ์มาด้วย คู่หมั้นข้าควรจะสวมอาภรณ์ที่งดงามไม่ใช่อาภรณ์ราคาถูกแบบนั้น ช่วงนี้ก็หาอาภรณ์ดีๆ ที่ตัดเสร็จแล้วให้นางสวมไปก่อน”

“ขอรับ” เจ๋อหมิงรับคำอีกครั้ง เขารู้สึกว่านายท่านใส่ใจคู่หมั้นคนนี้มากจริงๆ มากยิ่งกว่าแม่นางหว่านหรูอี้ซะอีก แม่นางคนนั้นเกรงว่านายท่านคงจำหน้านางไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว

หนานกงเยี่ยนสั่งแล้วก็หมุนตัวเดินกลับไปจริงๆ เที่ยวนี้เขาเดินกลับไปไม่มีอะไรต้องสั่งความอีก เรื่องที่ควรสั่งก็สั่งไปหมดแล้ว เขาจึงคิดจะไปดูคู่หมั้นของเขาซะหน่อย เจ๋อหมิงเห็นนายท่านเดินไปไกลแล้วเขาจึงหันไปสั่งบ่าวไพร่ ให้ไปตามช่างตัดอาภรณ์มา ซ้ำยังให้คนไปเอาอาภรณ์สตรีที่ตัดไว้แล้วจากร้านของตระกูลหนานกงมาให้คู่หมั้นของนายท่านได้สวมใส่ไปก่อน

จากนั้นเขาก็สั่งบ่าวไพร่ให้เตรียมของหมั้นต่อ แน่นอนว่าของหมั้นเที่ยวนี้ย่อมไม่มากไปกว่าของหมั้นเที่ยวที่แล้ว และก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าของหมั้นเที่ยวที่แล้วสักชิ้นแน่นอน ส่วนสินสอดที่เตรียมไว้แล้วก็ใช้ของเดิมที่จะมอบให้ตอนงานแต่งของนายท่านกับแม่นางหว่านหรูอี้นั่นแหละ

อ่อ นายท่านบอกว่าถูกวางยาปลุกกำหนัด เช่นนั้นก็ควรจะตามหมอมาด้วย เขาคิดแล้วก็สั่งคนไปตามหมอมาทันที บ่าวไพร่ล้วนทำตามคำสั่งของพ่อบ้านเจ๋อหมิง เพราะว่าท่านพ่อบ้านผู้นี้คือคนสนิทที่นายท่านไว้ใจที่สุด คำพูดของเขาก็เปรียบเหมือนกับคำพูดของนายท่านนั่นแหละ พวกบ่าวไพร่ไม่เคยเห็นนายท่านขัดแย้งอะไรกับพ่อบ้านเจ๋อหมิงเลย จนพวกเขาแอบคิดกันไปต่างๆ นานา ว่าบางทีพ่อบ้านเจ๋อหมิงอาจจะเป็น ‘คนรัก’ ของนายท่านก็ได้

พวกเขาจะคิดเช่นนี้ก็ไม่ผิด นายท่านออกจากบ้านไปครั้งหนึ่ง จู่ๆ ก็กลับมาพร้อมกับบุรุษรูปงามคนหนึ่ง บอกกับพวกเขาว่า ‘ต่อไปนี้พวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเจ๋อหมิงเหมือนฟังคำสั่งข้า ใครกล้ามีปัญหากับเจ๋อหมิงก็เตรียมตัวไสหัวออกไปซะ!’

คำสั่งของนายท่านครั้งนั้นทำให้พวกบ่าวได้แต่คิดๆ อยู่ในใจ แต่ไม่กล้าพูดกล้าถามอะไร นับตั้งแต่นั้นมาพวกบ่าวไพร่จึงได้รู้ถึงความสำคัญของพ่อบ้านเจ๋อหมิงที่กลายเป็นคนสนิทของนายท่าน

เมื่อก่อน นายท่านมีสาวใช้อุ่นเตียง แต่ว่าหลังจากที่นายท่านกลับมาพร้อมกับท่านพ่อบ้านเจ๋อหมิง สาวใช้อุ่นเตียงเหล่านั้นก็ถูกหมางเมินจนกลายเป็นคนไร้ความสำคัญในสายตานายท่านไปเสียได้ สาวใช้เหล่านั้นเคยหาเรื่องเจ๋อหมิง ผลสุดท้ายนายท่านให้ความสำคัญกับเจ๋อหมิงมากกว่า ดังนั้นสาวใช้อุ่นเตียงเหล่านั้นจึงถูกขายออกไป หลังจากนั้นจึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องกับพ่อบ้านเจ๋อหมิงอีกเลย

หลังจัดเตรียมของหมั้นเสร็จแล้ว เจ๋อหมิงก็ให้บ่าวไพร่ขนหีบของหมั้นไปที่จวนตระกูลหว่านทันที เขานั่งรถม้านำหน้าไป รถม้าที่ขนหีบก็ขับตามหลังไป ส่วนบ่าวไพร่ก็เดินตามรถม้าไป ผู้คนมองรถม้า 2 คันที่ผูกผ้าแดงไปตลอดทาง อีกทั้งบ่าวไพร่ที่เดินตามรถม้าก็แต่งตัวด้วยอาภรณ์สีแดง ดูก็รู้ว่าเป็นรถม้างานมงคล คงเป็นรถม้าที่ไปส่งสินสอดเจ้าสาวกระมัง ในเมื่อบ้านตระกูลหนานกงเพิ่งจะหมั้นหมายไปไม่กี่วันก่อนเอง คงเป็นเช่นนี้แหละ ผู้คนพูดกันไปต่างๆ นานา

เจ๋อหมิงไม่สนใจเสียงซุบซิบของผู้คน เขาแค่ทำหน้าที่ของตัวเอง นำของหมั้นไปมอบให้กับหว่านกัวฉาย จัดการเรื่องหมั้นหมายของนายท่านกับแม่นางหว่านหรงให้เสร็จสิ้น ถูกต้องตามธรรมเนียม 3 หนังสือ 6 พิธีการก็พอ

เมื่อรถม้าไปจอดหน้าจวนตระกูลหว่าน บ่าวไพร่ก็บอกกับคนเฝ้ายามที่ประตูตามที่ท่านพ่อบ้านเจ๋อหมิงบอก รออยู่สักพัก เจ๋อหมิงก็ถูกเชิญเข้าไปภายในจวน เขาเดินตามบ่าวจวนตระกูลหว่านไปถึงห้องโถงหลัก เห็นหว่านกัวฉายนั่งอยู่ในห้องจึงกุมมือคารวะ “ท่านอาลักษณ์หว่าน”

หว่านกัวฉายมองพ่อบ้านตระกูลหนานกงสีหน้าค่อนข้างเย็นชา “นังลูกไม่รักดีของข้าล่ะ?”

เขามองจ้องพ่อบ้านคนนั้น

“แม่นางหว่านหรงตอนนี้อยู่ที่บ้านตระกูลหนานกง นายท่านของข้าบอกว่า ในเมื่อนางกำลังจะแต่งงานกับนายท่าน เช่นนั้นก็ให้นางอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกงทำความคุ้นเคยกับนายท่านดีกว่า ข้านำของหมั้นมามอบให้ท่านอาลักษณ์ตามพิธี เชิญท่านอาลักษณ์ตรวจดูได้เลย” เจ๋อหมิงบอก เขาไม่พูดคำว่า ‘ขอรับ’ กับคนอื่น คนเดียวที่เขาใช้คำว่า ‘ขอรับ’ ด้วยก็คือนายท่านเท่านั้น เรื่องนี้ทำให้หว่านกัวฉายไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่ คิดว่าพ่อบ้านตระกูลหนานกงช่างไร้มารยาทเกินไป เป็นแค่พ่อบ้าน ฐานะก็คือบ่าวไพร่นั่นแหละ แล้วพ่อบ้านไยจึงได้เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้! หากว่าเป็นพ่อบ้านของตระกูลหว่าน พูดจาเช่นนี้คงถูกโบยจนหลังขาดไปแล้ว! หึ!

“เจ้ากลับไปบอกหนานกงเยี่ยนว่าให้รีบจัดงานแต่งงานให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่” หว่านกัวฉายบอก เจ๋อหมิงตอบกลับ “นายท่านข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้ เช่นนั้นขอดวงของแม่นางหว่านหรงด้วย ข้าจะได้ให้ซินแสดูฤกษ์”

“ได้” หว่านกัวฉายตอบ เจ๋อหมิงจึงถามว่า “บ่าวคนสนิทของแม่นางหว่านหรงมีใครบ้าง? นายท่านข้าต้องการให้พวกนางไปรับใช้แม่นางหว่านหรง”

“หึ!” หว่านกัวฉายแค่นเสียงคำหนึ่งอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก เขาจึงหันไปสั่งพ่อบ้านของตนเอง “เจ้าจัดการเรื่องแทนข้าที ข้าปวดหัวต้องการพักผ่อน”

เขาสั่งแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป พ่อบ้านตระกูลหว่านรับคำ “ขอรับ”

เขารีบก้าวไปคุยกับพ่อบ้านตระกูลหนานกงทันที “เจ้าพาข้าไปตรวจนับของหมั้นก่อนเถอะ”

“อืม” เจ๋อหมิงพยักหน้าแล้วหมุนตัวเดินนำไป พ่อบ้านเดินตามไป เขาพอจะรู้เรื่องจากนายท่านมาบ้างแล้ว ดังนั้นจึงไม่ตกใจนักที่จู่ๆ ตระกูลหนานกงก็ส่งของหมั้นมาอีก แต่ว่าคุณหนูรองช่างไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้ว แย่งคู่หมั้นพี่สาวไปได้อย่างไร ไม่มีความละอายใจเลยรึ? เห็นนางอยู่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยมเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่านางจะร้ายถึงเพียงนั้น เฮ้อ…ใจคนยากแท้หยั่งถึงจริงๆ

ขณะเดียวกัน ณ บ้านตระกูลหนานกง บ่าวพาหมอไปพบนายท่านที่เรือนนอน “นายท่านขอรับ ข้าพาหมอมาแล้วขอรับ”

“อืม ดีๆ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้ารับ หมอที่เดินตามบ่าวก็รีบก้าวไปข้างหน้ากุมมือคารวะนายท่านหนานกง “นายท่านขอรับ”

“มาๆ ตามข้าไปตรวจคู่หมั้นข้า นางอยู่ในห้อง” หนานกงเยี่ยนบอก เขาเปิดประตูห้องนอนเดินนำเข้าไป หมอเดินตามเข้าไป หว่านหรงเห็นคนเข้ามาก็รีบขยับตัวแอบอยู่ข้างเสาเตียง นางเห็นคนนำหน้าคือหนานกงเยี่ยน ส่วนอีกคนที่เดินตามหลัง นางเคยเห็นเขาบ้าง ตอนที่เขาไปที่จวนของบิดา ตรวจโรคให้คนในจวน ใช่ เขาเป็นหมอเลื่องชื่อของเมืองนี้ เขาชื่ออะไรนางก็จำไม่ได้แล้ว

“แม่นางหว่านหรง ข้าพาหมอมาตรวจ” หนานกงเยี่ยนบอก หว่านหรงจึงค่อยๆ ขยับตัวออกจากเสามุ้ง จัดอาภรณ์ให้เข้าที่เข้าทาง หมอเห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงจึงยิ้มให้อย่างเมตตา เขาวางล่วมยาลงพลางถาม “แม่นางเจ็บป่วยอย่างไรหรือ?”

“นางถูกวางยาปลุกกำหนัดน่ะ” หนานกงเยี่ยนตอบแทนนาง หมอตกใจ “ยาปลุกกำหนัด!”

“อื้ม! ท่านรีบตรวจนางเถอะ” หนานกงเยี่ยนเจ้ากี้เจ้าการสั่ง หมอจึงยิ้มให้แม่นางน้อย “แม่นางยื่นมือมาให้ข้าจับชีพจรสักหน่อยเถิด”

หว่านหรงค่อยๆ ยื่นมือออกไปอย่างกลัวๆ กล้าๆ หมอวางนิ้วบนจุดชีพจร ภายในห้องจึงไร้เสียงใดๆ ครู่หนึ่ง จนหมอดึงมือกลับไปกำลังจะเปิดปากพูด แต่หนานกงเยี่ยนก็ชิงถามซะก่อน “นางเป็นอย่างไรบ้าง?”

“นายท่านอย่าได้ร้อนใจไป แม่นางไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวข้าจัดยาให้นางสักเทียบก็ดีขึ้นแล้ว” หมอบอกแล้วลุกไปที่โต๊ะ บ่าวก็รีบก้าวไปฝนหมึกให้ หมอจับพู่กันขึ้นมาจุ่มน้ำหมึกแล้วลงมือเขียนเทียบยา หลังจากเขียนเสร็จแล้ว เขาก็บอกว่า “ต้มยาตามนี้ ดื่มคราวละ 1 ถ้วย เช้าเย็นก็ล้างพิษยาปลุกกำหนัดได้หมดแล้ว”

“อ่อ ขอบคุณมากๆ” หนานกงเยี่ยนยิ้มบางๆ หมอมองหน้าหนานกงเยี่ยนแล้วเอ่ยว่า “ดูเหมือนนายท่านก็ถูกพิษเช่นกัน ถ้าอย่างไรให้ข้าจับชีพจรสักหน่อยเถอะ ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว จะได้ไม่ต้องไปๆ มาๆ ให้เสียเที่ยว”

“อืม” หนานกงเยี่ยนเดินไปนั่งลงตรงข้าม ยื่นแขนวางบนโต๊ะ หมอจึงตรวจชีพจรครู่หนึ่งแล้วดึงมือกลับ เขาหยิบพู่กันมา หนานกงเยี่ยนก็ดึงแขนกลับมา มองดูหมอเขียนเทียบยา ครั้นเขียนเสร็จ หมอก็ส่งเทียบยาให้พลางบอก “ต้มดื่มคราวละ 1 ถ้วย ดื่มเช้าเย็นสัก 2 วัน พิษก็หมดไปได้ หลังจากนั้นท่านก็ต้มยาเทียบนี้ดื่มเช้าเย็น 1 วัน เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ แล้ว”

“ขอบคุณมากๆ” หนานกงเยี่ยนบอก หมอเหลือบมองแม่นางบนเตียงแวบหนึ่งแล้วก็เอ่ยขอตัว “เช่นนั้นข้าลาล่ะ”

“เชิญๆ” หนานกงเยี่ยนผายมือ พลางสั่งบ่าวว่า “เจ้าตามไปส่งท่านหมอแล้วรับยามาด้วย”

“ขอรับ” บ่าวรับคำ หมอก็ลุกขึ้นเดินไปถือล่วมยาขึ้นมา เขาเอ่ยกับแม่นางบนเตียงว่า “ขอลา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!