Chapter 4 แต่งงาน
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบเสียงเบา หมอยิ้มให้แล้วเดินออกไป บ่าวก็ตามไปส่งท่านหมอ หนานกงเยี่ยนมองหมอแล้วหันไปมองหว่านหรง “แม่นางอยากอาบน้ำไหม? ข้าจะให้คนเตรียมน้ำร้อนให้ หลังจากอาบน้ำแล้วค่อยกินข้าวเถอะ”
“เอ่อ…ข้าไม่มีอาภรณ์เปลี่ยน” หว่านหรงบอกอย่างตะขิดตะขวงใจ หนานกงเยี่ยนจึงบอก “ข้าให้คนไปเอาอาภรณ์ชุดใหม่ให้แล้ว แม่นางไม่ต้องกังวลไป”
เขาพูดยังไม่ทันไร บ่าวก็ร้องบอกอยู่หน้าห้องว่า “นายท่านขอรับ อาภรณ์สตรีที่ท่านให้นำมา ข้านำมาแล้วขอรับ”
“เอาเข้ามา” หนานกงเยี่ยนบอก บ่าวจึงเปิดประตูเข้าไป วางอาภรณ์สตรีหลายชุดเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ หนานกงเยี่ยนสั่งอีก “ต้มน้ำร้อนให้นายหญิงพวกเจ้าด้วย แล้วก็ให้สาวใช้สักสองสามคนมาคอยดูแลนาง”
“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป หนานกงเยี่ยนหันไปบอกหว่านหรงว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดีเลย”
“เอ่อ…” หว่านหรงไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำอย่างไร หนานกงเยี่ยนลุกออกไป เขาปล่อยให้นางอยู่คนเดียว นางจะได้รู้สึกผ่อนคลายหน่อย
จนกระทั่งสาวใช้ 3 คนเดินมา พวกนางคารวะนายท่าน “นายท่าน”
“พวกเจ้าเข้าไปดูแลนายหญิงให้ดีๆ” หนานกงเยี่ยนสั่ง สาวใช้รับคำ “เจ้าค่ะ”
พวกนางจึงเดินเข้าไปในห้อง พวกนางมองแม่นางน้อยนางนั้นแล้วหลุบตาลง กุมมือคารวะ “นายหญิง”
“เอ่อ…” หว่านหรงไม่รู้จะตอบรับอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้มันยุ่งเหยิงไปหมด สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “เชิญนายหญิงไปอาบน้ำก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
“อะ…อืม” หว่านหรงตอบรับ อาบน้ำก็ดี นางรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวจริงๆ นั่นแหละ หลังจากนั้นนางก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่ อาภรณ์ชุดใหม่เป็นผ้าเนื้อดี นุ่มและนิ่มมาก ไม่เหมือนอาภรณ์ผ้าป่านหยาบๆ ที่นางสวมใส่เลย ดูเนื้อผ้าแล้วนางรู้สึกว่าคุณภาพของผ้านี้ดีกว่าอาภรณ์ของพี่สาวต่างมารดาซะอีก
“เชิญนายหญิงออกไปที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะเจ้าค่ะ นายท่านบอกว่ารอกินข้าวอยู่เจ้าค่ะ” สาวใช้บอก หว่านหรงพยักหน้า “อะ…อือ”
นางเดินตามสาวใช้ไป เห็นหนานกงเยี่ยนนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเห็นนางเดินมาก็ชี้บอก “นั่งซิ”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” หว่านหรงนั่งลงตรงข้าม หนานกงเยี่ยนหลิ่วตาสั่ง สาวใช้ก็ถอยออกไปยกอาหารไปวางที่โต๊ะ เมื่อพวกนางวางอาหารหมดแล้วก็ถอยออกไป หนานกงเยี่ยนพยักเพยิด “กินซิ ตอนอยู่โรงเตี้ยม เจ้าไม่ค่อยกินเลยนี่”
“เอ่อ…ขอบคุณเจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว หนานกงเยี่ยนก็กินนิดๆ หน่อยๆ เขายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เพราะตอนอยู่ที่โรงเตี้ยมเขากินไปมากอยู่ เขามักจะชอบไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้นทุกวัน เพราะว่าพ่อครัวที่นั่นทำอาหารอร่อย รสชาติถูกใจเขามาก พ่อครัวที่นี่ฝีมือยังสู้พ่อครัวที่โรงเตี้ยมไม่ได้ จึงเป็นเรื่องปกติที่คนอื่นๆ จะรู้ว่าเขาไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้นทุกวัน ดังนั้นหว่านหรูอี้ที่รู้เรื่องนี้จึงวางแผนไปดักรอ ทำทีว่าไปเจอคู่หมั้นโดยบังเอิญ แล้วก็สบโอกาสวางยาเขา หาทางถอนหมั้นให้ตัวเองอย่างชั่วร้ายมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเห็นว่าหว่านหรงที่ถูกผลักเข้ามาในแผนการนั้นมีหน้าตางดงามกว่าหว่านหรูอี้ เขาคงไม่มีทางยอมตามน้ำไปกับแผนการชั่วๆ ของนางเช่นนั้นหรอก เขาคงหาวิธีถอนหมั้นกับนางด้วยวิธีการของเขาเอง ในเมื่อไม่อยากหมั้นกับเขา เขาต้องง้อนางด้วยรึ ยังมีสตรีอีกมากที่อยากเป็นฮูหยินของเขา
หว่านหรงกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย นางรู้สึกว่าอาหารของที่นี่ก็อร่อยมากเหมือนกัน แต่ถ้าเทียบกับที่โรงเตี้ยมแล้วคล้ายกับว่าอาหารที่โรงเตี้ยมจะอร่อยกว่า อย่างเช่นขาหมูน้ำแดงที่นางกำลังกินอยู่ เป็นอาหารอย่างเดียวกันกับที่โรงเตี้ยม แต่ว่าเนื้อหมูที่โรงเตี้ยมทำได้นุ่มกว่า เปื่อยแต่ไม่เละ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าพ่อครัวของโรงเตี้ยมนั้นมีวิธีการทำอย่างไรเนื้อหมูจึงได้เปื่อยนุ่ม เคี้ยวแล้วแทบละลายในปาก แต่ว่าเนื้อก็ไม่เละจนเปื่อยยุ่ยคีบไม่ได้ อืม…นางพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหนานกงเยี่ยนจึงไปกินอาหารที่โรงเตี้ยมนั้น
หลังจากพ่อบ้านตรวจนับของหมั้นเสร็จแล้ว เจ๋อหมิงก็ถามถึงคนสนิทของแม่นางหว่านหรง พ่อบ้านก็ต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้นายท่านตัดสินใจ หว่านกัวฉายซึ่งกำลังโมโหการกระทำของหว่านหรงจึงไม่อยากเห็นนังบ่าวชั่ว 2 คนนั่นอยู่ในจวนอีก เพราะพวกมันสั่งสอนลูกสาวของเขาไม่ดี นางถึงได้แย่งคู่หมั้นพี่สาวอย่างไร้ยางอายเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อทางหนานกงเยี่ยนต้องการตัวบ่าวชั่ว 2 คนนั่น เขาจึงบอกให้นำตัวไปได้เลย เจ๋อหมิงจัดการเรื่องต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับไปโดยมีบ่าวของแม่นางหว่านหรงกลับไปด้วย
พวกนางซักถามถึงคุณหนูของพวกนางหลายคำ แต่เจ๋อหมิงก็ไม่ตอบอะไร เขาบอกแต่เพียงว่า “ไว้พวกเจ้าไปเจอคุณหนูของพวกเจ้าแล้ว ก็ถามเรื่องราวกับคุณหนูของพวกเจ้าเองเถอะ ตามข้ากลับไปบ้านตระกูลหนานกง จะได้ไปคอยรับใช้คุณหนูของพวกเจ้า”
แม่นมจางกับจางลี่เห็นพ่อบ้านของตระกูลหนานกงดูดุๆ พวกนางจึงไม่กล้าซักถามอะไรอีก ตอนนี้พวกนางห่วงแต่คุณหนูของพวกนางที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว พวกนางรู้แค่ว่าคุณหนูของพวกนางก่อเรื่องก่อราวจนนายท่านโมโหยกใหญ่ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูของพวกนางไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้ พวกนางจะถามใครก็ไม่สะดวก อยู่ในจวนนี้พวกนางมีฐานะเหมือนต้นหญ้าต้นหนึ่งที่ไร้ค่า ไร้ค่ามากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากลัวคุณหนูจะถูกอนุกับลูกๆ คนอื่นของนายท่านรังแก พวกนางคงพากันบากหน้ากลับตระกูลจางไปนานแล้ว พวกนางถือว่าเป็นคนของตระกูลจาง สัญญาทาสของพวกนางก็ยังอยู่ที่ตระกูลจาง พวกนางตามคุณหนูของพวกนางมารับใช้คุณหนูอยู่ที่ตระกูลหว่าน แต่น่าเสียดายที่คุณหนูของพวกนางอายุสั้นนัก คลอดลูกได้ปีกว่าก็ล้มป่วยจนตายจากไปเสียนี่ คุณหนูน้อยหว่านหรงถือว่าเป็นคนตระกูลหว่าน พวกนางไม่อาจพาคุณหนูหว่านหรงกลับไปตระกูลจางได้ พวกนางจึงคอยเลี้ยงดูคุณหนูแทนคุณหนูของพวกนาง พวกนางคิดๆ เอาไว้ว่าถ้าคุณหนูหว่านหรงออกเรือนไปเมื่อใด พวกนางก็จะขอตามไปรับใช้ด้วย แต่ถ้าตามไปไม่ได้พวกนางก็จะกลับตระกูลจางไป
หว่านหรงได้เจอแม่นมจางกับจางลี่ก็ดีใจมาก 3 คนนายบ่าวจึงคุยกันอยู่นานมาก
หลังจากที่แม่นมจางกับจางลี่ฟังเรื่องราวจากปากคุณหนูแล้ว แม่นมจางก็พูดขึ้นว่า “นี่ต้องเป็นแผนของคุณหนูใหญ่แน่นอน ไม่เช่นนั้นนางจะชวนคุณหนูออกไปด้วยทำไม”
“ข้าว่าแล้วเชียว! ว่ามันไม่ชอบมาพากลตั้งแต่ที่คุณหนูใหญ่มาชวนคุณหนูออกไปซื้อของด้วย ร้อยวันพันปีข้าไม่เห็นนางจะมาชวนคุณหนูไปด้วยเลย วันนี้กลับใจดีมาชวนคุณหนูไปด้วย ที่แท้ก็มีแผนการร้ายอยู่นี่เอง” จางลี่พูดขึ้นมา สีหน้าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคืองแทนเจ้านาย แล้วนางก็สงสัยขึ้นมา “ว่าแต่ทำไมคุณหนูใหญ่ถึงทำเช่นนั้นล่ะ? นายท่านหนานกงร่ำรวยถึงขนาดนี้ ซ้ำยังหล่อเหลามาก มีแต่สตรีอยากจะพลีกายให้เขา เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงได้ไม่อยากแต่งกับเขาจนถึงขั้นคิดแผนการชั่วๆ แบบนี้ล่ะ?”
“อืม นั่นซิ” แม่นมจางคิดๆ นางก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่งกับนายท่านหนานกง ได้เป็นฮูหยินเอก ถือว่าเป็นบุญวาสนาของสตรีทั้งหลายเลยทีเดียว เหตุใดคุณหนูใหญ่ถึงได้ไม่อยากได้วาสนาดีๆ แบบนี้ล่ะ?
“หรือว่านายท่านหนานกงจะเป็นต้วนซิ่ว?” แม่นมจางคาดเดา จางลี่คิดๆ “อืม…อาจจะเป็นไปได้ก็ได้”
หว่านหรงฟังทั้งสองพูดแล้วพลางคิดๆ เช่นกัน นางก็สงสัยยิ่งนักว่า เหตุใดพี่สาวต่างมารดาถึงได้ไม่อยากได้วาสนานี้? ถ้าหนานกงเยี่ยนเป็นต้วนซิ่วจริงๆ นางต้องแต่งกับเขา เช่นนั้นชีวิตคู่ของนางคงไม่ราบรื่นแน่นอน ดังนั้นก่อนที่นางจะแต่งกับหนานกงเยี่ยน นางควรสืบให้แน่ใจซะก่อนดีกว่า นางคิดๆ แล้วก็ลุกออกไป
“คุณหนูจะไปไหนเจ้าคะ?” จางลี่ถาม หว่านหรงหันไปบอก “ข้าจะไปหานายท่านหนานกงน่ะ”
“เจ้าค่ะ” จางลี่รับคำแล้วรีบตามไป แม่นมจางก็รีบเดินตามไปเช่นกัน นางจะปล่อยให้คุณหนูไปคนเดียวได้อย่างไร
เผื่อว่ามีเรื่องอะไรนางจะได้ช่วยคุณหนูอีกแรง นางจะไม่ยอมปล่อยให้คุณหนูต้องไปเจอเรื่องร้ายๆ อะไรอีกแน่นอน
หว่านหรงเดินออกจากห้องไปได้หน่อยก็เห็นสาวใช้ นางจึงถาม “นายท่านหนานกงล่ะ?”
“นายท่านอยู่ที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบ หว่านหรงจึงบอก “เช่นนั้นเจ้าไปเรียนนายท่านทีว่าข้าต้องการพบเขา”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำแล้วรีบเดินไป หว่านหรงจึงเดินไปนั่งรอที่โต๊ะ จางลี่กับแม่นมจางก็อยู่ข้างกายซ้ายขวา ทำตัวเหมือนเป็นองครักษ์อย่างไรอย่างนั้น
สาวใช้หายไปพักใหญ่ก็เดินกลับมา “นายหญิงเจ้าคะ เชิญตามข้าไปที่ห้องหนังสือเจ้าค่ะ”
“อืม” หว่านหรงลุกขึ้นเดินตามสาวใช้ไป แม่นมจางกับจางลี่รีบเดินตามไป
เมื่อไปถึงห้องหนังสือ สาวใช้ก็หยุดอยู่หน้าประตูห้องร้องบอก “นายท่านเจ้าคะ นายหญิงมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามา” เสียงหนานกงเยี่ยนบอกดังออกมา สาวใช้จึงผลักประตูเปิด “เชิญเจ้าค่ะ”
หว่านหรงเดินเข้าไป หนานกงเยี่ยนลุกขึ้นพลางเดินไปหานาง “เจ้าหาข้ามีอะไรรึ?”
“เอ่อ…” หว่านหรงอึกอัก ไม่รู้จะเริ่มถามอย่างไรดี นางมองเขา เขาก็มองนางอยู่ นางหันไปมองแม่นมจางกับจางลี่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมือนหากำลังใจ แม่นมจางอดปากไม่ไหวจึงโพล่งถามแทน “นายท่านหนานกงเจ้าคะ ท่านเป็นต้วนซิ่วหรือไม่เจ้าคะ?”
“ต้วนซิ่ว!” หนานกงเยี่ยนผงะไป เขารู้สึกเหมือนถูกคำว่า ‘ต้วนซิ่ว’ ตัวโตๆ พุ่งชนหน้าผากเข้าอย่างจัง!
3 สาวต่างวัยมองจ้องหนานกงเยี่ยนเป็นตาเดียว หนานกงเยี่ยนจึงตั้งสติกลับมา มองสตรีทั้งสามที่เหมือนรอคำตอบจากเขาอยู่ เขาจึงยกมือขึ้นสาบานว่า “ข้าสาบานต่อฟ้าดินเลยว่า ข้าไม่ได้เป็นต้วนซิ่วอย่างที่คนอื่นสงสัย ถ้าข้าพูดปดขอให้ฟ้าผ่าตอนนี้เลย”
เบื้องนอกเงียบสงบไร้เสียงใดๆ หนานกงเยี่ยนลดมือลง เขาจ้องหว่านหรงแล้วบอกว่า “หากเจ้าสงสัยว่าข้าเป็นต้วนซิ่ว เช่นนั้นเชิญเจ้าพิสูจน์เลยไหม ข้ายินดีให้เจ้าพิสูจน์เต็มที่เลย”
“พิสูจน์อย่างไรเจ้าคะ?” จางลี่ถามแทนคุณหนูของนาง หนานกงเยี่ยนยิ้มบางๆ ตอบว่า “ก็ทำเรื่องนั้นพิสูจน์เลยซิ”
“ว๊าย!” 3 สาวอุทานออกมา แต่ละคนหน้าแดงๆ ขึ้นมา แม่นมจางตั้งสติได้แล้วก็รีบดึงคุณหนูของนางไปข้างหลังตัวเอง พลางตำหนินายท่านหนานกงอย่างอดไม่อยู่ “จะพิสูจน์อย่างนั้นได้อย่างไรกัน คุณหนูข้าเสียเปรียบซิเจ้าคะ”
“อ้าว ก็พวกเจ้าสงสัยข้า ข้าก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ตัวเองได้” หนานกงเยี่ยนพูดยิ้มๆ หว่านหรงมองหนานกงเยี่ยนอย่างจริงจังแล้วถามว่า “ถ้าท่านไม่ได้เป็นต้วนซิ่ว แล้วเหตุใดท่านจึงคิดจะแต่งงานกับข้า?”
“คำตอบนี้ง่ายมาก ตระกูลหว่านเป็นตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจใดๆ ข้าต้องการฮูหยินที่ไร้อำนาจของตระกูลเดิมหนุนหลัง จะได้ไม่ก่อเรื่องก่อราวอะไรให้ข้าปวดหัว จะเป็นพี่สาวเจ้าก็ได้ หรือจะเป็นเจ้าก็ดี ข้าไม่เกี่ยง” หนานกงเยี่ยนตอบตรงๆ 3 สาวฟังคำตอบแล้วอึ้งงันไป
“เหตุผลที่ท่านหมั้นกับพี่สาวข้า มีเพียงแค่นี้น่ะหรือ?” หว่านหรงถาม หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “ก็มีแค่นี้แหละ ข้าไม่ชอบเรื่องปวดหัว ดังนั้นข้าจึงต้องการฮูหยินที่มาจากตระกูลเล็กๆ ไร้อำนาจ”
เขาเอื้อมมือไปจับข้อมือหว่านหรง ดึงนางมายืนตรงหน้าตัวเอง มองเข้าไปในดวงตานางแล้วบอกว่า “แต่หลังจากที่ข้าเจอเจ้า ฮูหยินของข้าจะเป็นคนอื่นไม่ได้อีก ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เจ้าเข้าใจไหมแม่นางหว่าน ข้าชอบเจ้าซะแล้ว ดังนั้นเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรเป็นฮูหยินของข้า”
หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที ใจเต้นตึกๆ แม่นมจางกับจางลี่ก็ยืนตะลึงบื้อใบ้กันไปเลย
พวกนางคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะต้องมาได้ยินคำพูดเช่นนี้ มันช่างทำให้หัวใจของสตรีเต้นอย่างบ้าคลั่งได้เลยจริงๆ สายตาจริงจังของนายท่านหนานกงที่มองคุณหนูของพวกนางทำให้คนสูงวัยอย่างพวกนางแทบจะละลายกลายเป็นน้ำไปแล้ว
แม่นมจางที่ผ่านโลกมามากกว่าคนอื่นๆ ในที่นี้ นางจึงฉุดจางลี่ให้ถอยออกไปด้วยกัน จางลี่ยังตกตะลึงอยู่ นางไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองเดินถอยหลังออกไปได้อย่างไร แม่นมจางเดาว่านายท่านหนานกงจะต้องตกหลุมรักแรกพบกับคุณหนูของนางแน่นอน ดังนั้นวาสนาดีๆ เช่นนี้นางยังจะไปยืนทื่อเป็น ‘ก้างขวางคอ’ ได้อย่างไร
“แม่นาง เจ้าทำใจเถอะ เจ้าต้องแต่งกับข้า เป็นฮูหยินข้า ต่อให้เจ้าไม่ยอม ข้าก็จะทำให้เจ้ายอมจนได้” หนานกงเยี่ยนพูดจริงจังมาก หว่านหรงมองดูใบหน้าหล่อเหลาของหนานกงเยี่ยนแล้วรู้สึกใจยิ่งเต้นแรงมากขึ้นอีก ตึกๆๆๆ…
“หรงเอ๋อร์ จำไว้ เจ้าต้องแต่งกับข้า” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างเอาแต่ใจตัวเอง ตั้งแต่เห็นนางครั้งแรก เขาก็คิดอยากจะเปลี่ยนตัวคู่หมั้นอยู่ในใจแล้ว ดังนั้นเมื่อหว่านหรูอี้วางแผนชั่วนั่น เขาจึงยอมตามน้ำ ยอมตกกระไดพลอยโจนไปด้วยซะเลย
“เอ่อ…ข้า…ข้า…ขอตัว” หว่านหรงรู้สึกอายจนหน้าแดงก่ำ นางไม่อาจทนสายตาเขาได้นางจึงดึงมือออกจากอุ้งมือเขาแล้วหมุนตัวก้าวเร็วๆ ออกจากห้องไปทันที แม่นมจางเห็นคุณหนูเดินออกมานางก็รีบลากจางลี่ตามไปทันที “คุณหนู รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ”
หว่านหรงก้าวเร็วๆ จนแทบกลายเป็นวิ่งกลับไปที่ห้องนอนห้องนั้น นางเข้าห้องไป นั่งลงที่โต๊ะ ใจเต้นตึกๆ แม่นมจางวิ่งกระหืดกระหอบตามไปอยู่ข้างกาย “โหย! คุณหนู ไม่รอบ่าวบ้างเลย”
“คุณหนูเจ้าคะ หน้าท่านแดงมากเลยเจ้าค่ะ” จางลี่เอ่ยขึ้นมา หว่านหรงยกมือกุมแก้มทั้งสองข้าง นางรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนมาก ใจยังเต้นตึกๆ ไม่หาย
เจ๋อหมิงก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานให้นายท่าน เขาเอาดวงของแม่นางหว่านหรงกับดวงของนายท่านไปให้ซินแสตรวจดวงชะตา หลังจากซินแสตรวจดวงชะตาแล้วก็บอกว่า “โอ้! ชะตาของแม่นางคนนี้สมพงษ์กับนายท่านหนานกงเสียยิ่งกว่าคนก่อนซะอีก ถ้าได้แต่งงานด้วยกัน กิจการจะมีแต่รุ่งเรือง เสียแต่ว่านายท่านมีดวงไร้บุตรนี่ซิ จะแก้อย่างไรดี?”
ซินแสคิดๆ เจ๋อหมิงจึงบอก “เรื่องดวงไร้บุตรนี่ท่านไม่ต้องกังวลไป นายท่านข้าไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก แล้วแต่สวรรค์ลิขิตเถอะ ท่านหาฤกษ์เถอะ นายท่านข้าใจร้อนอยากแต่งงานไวๆ”
“อ่อๆ” ซินแสฟังแล้วก็คิดคำนวณฤกษ์แต่งงาน เจ๋อหมิงรออยู่เงียบๆ สักพักซินแสก็เงยหน้าบอก “ฤกษ์ดีคืออีก 1 เดือน ผ่านฤกษ์นี้ไปต้องรอถึง 2 ปีทีเดียว”
“อ่อ ขอบคุณมาก” เจ๋อหมิงกุมมือคารวะแล้วยื่นถุงเงินให้ซินแส จากนั้นเขาก็รีบเอาฤกษ์ไปให้นายท่านดู
หลังจากดูฤกษ์ยามแล้ว หนานกงเยี่ยนก็พยักหน้า “เอาตามนี้แหละ”
“เช่นนั้นข้าจะรีบไปจัดงานแต่งให้ท่านขอรับ” เจ๋อหมิงบอกแล้วถอยออกไป เขายุ่งมากทีเดียวที่ต้องรีบเตรียมงานแต่งงานให้นายท่านอย่างเร่งรีบเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใด เขาก็ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้น 1 เดือนต่อมา หนานกงเยี่ยนกับหว่านหรงจึงแต่งงานกัน ท่ามกลางแขกเหรื่อที่มาอวยพรอย่างล้นหลาม หว่านหรูอี้แอบเยาะเย้ยน้องสาวต่างมารดาอยู่ในใจ ‘นังโง่นั่นคิดว่าตัวเองได้ดิบได้ดี ไม่รู้เลยว่ากำลังจะตกนรกทั้งเป็น เฮอะๆๆๆ’
นางที่รอดจากนรกขุมนั้นมาได้จึงยืนกระหยิ่มยิ้มย่อง ลอยหน้าลอยตามองดูคุณชายรูปงามที่มาร่วมอวยพรงานแต่งงานนี้ แน่นอนว่านางคิดจะหาสามีดีๆ จากใครสักคนในงานนี้ แขกเหรื่อที่มาในวันนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของแคว้น มีตั้งแต่องค์ชาย คุณชายตระกูลใหญ่ๆ ต้องมีสักคนแหละที่ต้องตานางบ้าง ดังนั้นวันนี้นางจึงแต่งตัวงดงามที่สุดเท่าที่จะสวยได้ เรียกกว่าสวยไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว นางในฐานะญาติฝ่ายเจ้าสาวจึงชะม้อยชะม้ายชายตามองดูหนุ่มรูปงามทั้งหลายอย่างมีจริตจะก้าน
หว่านกัวฉายก็หน้าบานที่ได้เกี่ยวดองกับตระกูลหนานกงซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ของเมือง ความร่ำรวยของตระกูลหนานกงนั้นครอบคลุมไปถึงครึ่งเมืองเลยทีเดียว ร้านค้าต่างๆ ที่เป็นกิจการของตระกูลหนานกงมีมากมายนับไม่ถ้วน องค์ชายบางคนยังร่ำรวยไม่เท่าตระกูลหนานกงเลยด้วยซ้ำ คิดดูซิ เขาได้เป็นพ่อตาของลูกเขยที่ร่ำรวยขนาดนี้จะไม่ยินดีได้อย่างไร ฮ่าๆๆๆ…
ภายในห้องหอ หลังจากเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแล้ว หนานกงเยี่ยนก็บอกว่า “เดี๋ยวข้าช่วยถอดมงกุฎหงส์ให้นะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงพยักหน้ารับอย่างเอียงอาย นางใจเต้นตึกๆ ถึงแม้ว่าเวลา 1 เดือนที่ผ่านมานางเริ่มคุ้นเคยกับคู่หมั้นบ้างแล้ว แต่นางก็ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรเกินเลยกับเขา นอกจากครั้งนั้นที่นางถูกวางยา นางก็เพิ่งรู้ภายหลังว่าเรือนที่นางอยู่เป็นเรือนนอนของหนานกงเยี่ยน เขายกเรือนนอนของเขาให้นางอยู่ ส่วนตัวเขาก็ไปนอนเรือนอื่น ระหว่างนั้นนางกับเขาเจอกันบ่อยๆ เขามากินข้าวร่วมโต๊ะกับนาง พูดคุยซักถามความเป็นอยู่ของนางอย่างเอาใจใส่ ความเอาใจใส่ของเขาทำให้แม่นมจางเบาใจยิ่งนัก นางคิดว่าหลังจากคุณหนูแต่งงานกับนายท่านหนานกงแล้วคงไม่ถูกทิ้งให้ตกระกำลำบากใดๆ แน่นอน ส่วนเรื่องที่ต่อไปนายท่านหนานกงจะมีอนุอีกหรือไม่ก็เป็นเรื่องในอนาคตล่ะ มันเป็นธรรมดาที่บุรุษจะมีเมียหลายคน ยิ่งนายท่านหนานกงร่ำรวยถึงเพียงนี้เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้จริงๆ
หนานกงเยี่ยนช่วยถอดมงกุฎหงส์ออก เขาวางมงกุฎหงส์ที่งดงามและหนักอึ้งนั้นบนถาด หว่านหรงรู้สึกเบาศีรษะขึ้นมาทันที นางแอบบ่นเรื่องมงกุฎหงส์ที่หนักอึ้งนี้กับแม่นมจาง แต่แม่นมจางกลับปลอบว่า ‘น้ำหนักของมงกุฎหงส์ของเจ้าสาวก็คือน้ำหนักของความรับผิดชอบต่อครอบครัวในอนาคตเจ้าค่ะ คำนี้ข้าก็จำมาจากแม่สื่อตอนที่ท่านแม่คุณหนูแต่งกับนายท่านเจ้าค่ะ’
หว่านหรงแอบเบะปาก ‘แต่มันหนักมากเลยนะ ข้าคอจะหักแล้วเนี่ย!’
หนานกงเยี่ยนเห็นฮูหยินบิดคอเหมือนเมื่อยขบเขาจึงวางมือบนไหล่นาง หว่านหรงสะดุ้ง “อุ้ย!”
“ข้านวดให้นะ” หนานกงเยี่ยนบอก เขานวดไหล่ให้นาง หว่านหรงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจมาก ความเอาใจใส่ของเขาทำให้นางรักเขาเข้าแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ว่านางจะรู้จักเขาเพียงแค่เดือนเดียว แต่ว่าความเอาใจใส่ของเขาที่ดูแลนางอย่างดีไม่เคยขาดตกบกพร่องทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ได้แต่งงานกับเขา ซึ่งจนป่านนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดพี่สาวต่างมารดาถึงได้ทิ้งคู่หมั้นที่แสนดีถึงเพียงนี้ได้ลงคอ
หนานกงเยี่ยนนวดไหล่นวดคออยู่สักพัก เขาก็หยุดมือแล้วบอกว่า “ไปดื่มเหล้ามงคลก่อนเถอะ หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้วพวกเราจึงจะถือว่าเป็นสามีภรรยากัน”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ หน้าแดงๆ อย่างเอียงอาย หนานกงเยี่ยนประคองฮูหยินไปที่โต๊ะอาหาร เขารินเหล้ามงคลแล้วยื่นจอกเหล้าให้นาง หว่านหรงรับจอกเหล้ามา หนานกงเยี่ยนก็คล้องแขนดื่มเหล้า หว่านหรงก็ดื่มเหล้าเช่นกัน นางหน้าแดงระเรื่อ ยิ่งเหล้าไหลลงคอไปแล้วทำให้ในท้องนางรู้สึกร้อนวาบขึ้นมา หนานกงเยี่ยนวางจอกเหล้า หยิบตะเกียบมาคีบกับให้นาง “เจ้าต้องกินเยอะๆ นะ ราตรีนี้ยังอีกยาว”
หว่านหรงพยักหน้ารับ หน้าแดงๆ นางคีบกับกินอย่างเขินอาย คำพูดของเขาสื่อว่า คืนนี้เขากับนางจะร่วมเข้าหอกัน คิดมาถึงตรงนี้นางก็เขินจนหน้าแดงอีก ก่อนหน้านี้แม่นมจาง เอาตำราเข้าหอให้นางดู นางมองภาพวาดพวกนั้นแล้วหน้าแดงแล้วแดงอีก แม่นมจางบอกยิ้มๆ ‘คุณหนูต้องดูไว้เจ้าค่ะ นี่คือเรื่องสำคัญที่จะมัดใจสามีเลยนะเจ้าคะ’
จางลี่ก็มองตำรานั้นพร้อมกับคุณหนู นางดูภาพไปพลางหน้าแดงๆ เช่นกัน สตรีหม้ายอย่างนางเคยทำเรื่องนั้นกับสามีแล้ว แต่มันก็นานนมมาแล้ว ตั้งแต่สมัยนางยังเป็นสาวรุ่นๆ แต่งงานยังไม่ทันไร สามีก็ไปถูกเกณฑ์ไปรบจนตัวตาย นางที่ยังไม่มีลูกไว้สืบสกุลจึงถูกพ่อผัวแม่ผัวขับไล่ออกจากบ้าน หาว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีตาย ทำนองว่านางมีดวงชะตา ‘ดวงกินผัว’ พวกเขาจึงขับไล่นาง นางถูกขับไล่ออกมาจึงซมซานเร่ร่อนไปจนกระทั่งเจอกับคุณหนูตระกูลจาง คุณหนูจางจึงรับนางไว้เป็นสาวใช้ข้างกาย ตระกูลจางไม่ได้ร่ำรวยมาก เป็นตระกูลปักผ้าเล็กๆ นางจึงได้เรียนการปักผ้ามาจากตระกูลจาง จนคุณหนูแต่งงานกับนายท่านหว่าน นางก็ตามคุณหนูไปอยู่ที่ตระกูลหว่าน ตอนนี้นางก็ตามคุณหนูหว่านหรงมาอยู่ที่ตระกูลหนานกง นางอยู่ที่ตระกูลหนานกงคอยรับใช้คุณหนูไม่ได้รับความลำบากอะไรเลย ความเป็นอยู่ของนางกับแม่นมจางดีเสียกว่าตอนที่อยู่จวนตระกูลหว่านซะอีก