Chapter 7 (18+)ปรนเปรอฮูหยิน 2
หว่านหรงฟังคำพูดอหังการของสามีแล้วรู้สึกฮึกเหิมตามเขา นั่นซิ นางเป็นฮูหยินของเขาแล้ว นางจะทำตัวขลาดเขลาได้อย่างไร
“กินเถอะ” หนานกงเยี่ยนคีบกับให้นาง หว่านหรงจึงกินข้าวต่อ
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้วหนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินไปดูกิจการร้านขายผ้าของตระกูล แม่นมจางกับจางลี่ก็ตามไปด้วย พวกนางแทบจะไม่ยอมห่างจากคุณหนูของพวกนางเลย หนานกงเยี่ยนเห็นว่าสาวใช้ 2 คนนี้ซื่อสัตย์จงรักภักดีกับหว่านหรง เขาจึงไม่ว่าอะไร ปล่อยให้พวกนางตามไปคอยดูแลรับใช้ฮูหยินของเขา
เมื่อไปถึงร้านขายผ้า ซึ่งเป็นกิจการของตระกูลหนานกง รถม้าเพิ่งจะหยุดลงตรงหน้าร้าน เถ้าแก่เห็นรถม้าของนายท่านมาจอดก็รีบก้าวเร็วๆ ไปต้อนรับถึงข้างรถม้าทันที “นายท่านขอรับ”
หนานกงเยี่ยนลงจากรถม้า เขามองเถ้าแก่ทีหนึ่งแล้วหันไปยื่นมือให้ฮูหยินของเขา “หรงเอ๋อร์ ลงมาซิ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงก้าวออกจากรถม้า จับมือสามีก้าวลงจากรถม้า เถ้าแก่รีบกุมมือคารวะ “นายหญิง”
หว่านหรงยิ้มให้เถ้าแก่ ตอนนั้นนางมาที่ร้านขายผ้าแห่งนี้กับพี่สาวต่างมารดา นางในตอนนั้นยังเป็นแค่บุตรสาวของอาลักษณ์เล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีแม้แต่เงินจะซื้อผ้าสักผืนจากร้านนี้ มาวันนี้นางกลายเป็นฮูหยินของเจ้าของร้าน เถ้าแก่จึงให้ความเคารพนบนอบเช่นนี้ อำนาจของเงินช่างเปลี่ยนคนได้จริงๆ
“มาเถอะหว่านหรง เข้าไปดูผ้าในร้านซิ เจ้าชอบผ้าพับไหนก็เลือกเอาตามใจชอบเลย” หนานกงเยี่ยนบอก เขาไม่อยากเห็นนางยิ้มให้คนอื่น หว่านหรงหันไปมองสามี ถามเย้าว่า “แล้วถ้าข้าต้องการผ้าทั้งร้านล่ะเจ้าคะ?”
“ก็ขนกลับไปให้หมด” หนานกงเยี่ยนบอกอย่างไม่ใส่ใจ เถ้าแก่อ้าปากค้าง “หา!?”
“ท่านพี่ก็พูดเกินไป อาภรณ์ข้ามีตั้งเยอะแล้ว ข้ายังใส่ไม่ครบทุกชุดเลย หากว่าขนผ้ากลับไปหมดทั้งร้านจริงๆ เดือนไหนปีไหนข้าจะใส่ครบล่ะเจ้าคะ” หว่านหรงหัวเราะเบาๆ สามีช่างตามใจนางเหลือเกิน เช่นนี้แล้วนางจะไม่รักเขาได้อย่างไร นางรักเขา รักมาก มากจนนางเองก็ไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่ มากเท่าใบไม้ในผืนป่า หรือมากเท่าเม็ดทรายทั้งหมดในทะเลทรายกระมัง
หนานกงเยี่ยนเห็นนางหัวเราะก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่ง แต่พอเขาเหลือบมองเถ้าแก่ที่กำลังมองฮูหยินของเขา เขาจึงกระแอมไอ “อะแฮ่มๆ”
พลางถลึงตาใส่เถ้าแก่ “เจ้ามัวยืนทื่ออะไรอยู่ ยังไม่รีบไปเอาสมุดบัญชีมาให้ข้าตรวจอีกรึ”
“อ่า…ขอรับๆ” เถ้าแก่ที่ได้สายตาดุๆ จากนายท่านรีบตั้งสติกลับมา เขาหันหลังไป ก้าวเร็วๆ เข้าร้านไปทันที พลางคิดว่า ‘ดูเหมือนนายท่านจะหวงนายหญิง’
เขาเป็นเถ้าแก่ร้านมาหลายปี เจอคนมากมาย ดังนั้นสายตาและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน เป็นสิ่งที่เขาต้องคาดเดาให้ออก จะซื้อผ้าหรือไม่? ชอบผ้าแบบใด? น่าจะมีเงินในถุงเงินเท่าไหร่? สิ่งเหล่านี้เขาล้วนคาดเดาได้ค่อนข้างแม่นยำ ยิ่งถ้าบุรุษพาสตรีมาซื้อผ้า เขายิ่งต้องสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของบุรุษให้แจ่มแจ้ง หากเขามองสตรีนางนั้นมากหน่อย อาจได้รับสายตาหึงหวงจากบุรุษที่มากับนาง สายตาของนายท่านก็เป็นเช่นนั้น แสดงออกชัดว่าหึงหวงนายหญิง ก็น่าจะหึงหวงอยู่หรอก นายหญิงงามถึงเพียงนั้น หึๆๆๆ…
เขาคิดๆ อยู่ในใจพลางหยิบสมุดบัญชีไปวางไว้บนโต๊ะ รอให้นายท่านตรวจดู หนานกงเยี่ยนจูงมือฮูหยินเดินเข้าไปด้วยกัน เขาพานางไปที่ห้องด้านใน เถ้าแก่หลุบตาลงไม่มองนายหญิง เขามองนายท่านแล้วบอกว่า “สมุดบัญชีอยู่บนโต๊ะขอรับ ข้าไปยกน้ำชาก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ” หนานกงเยี่ยนโบกมือไล่ เถ้าแก่กุมมือถอยออกไป หนานกงเยี่ยนนั่งลงที่โต๊ะ
หว่านหรงนั่งลงด้านข้าง นางหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนหมึกให้สามี เถ้าแก่ก็สั่งลูกน้องในร้านให้ยกน้ำชาไปให้นายท่าน เมื่อก่อนเขามักจะยกน้ำชาไปให้เอง แต่ว่าตอนนี้ถ้าเขายกเข้าไปเอง มีหวังได้เห็นสายตาดุๆ จากนายท่านแน่นอน ดังนั้นให้ลูกน้องที่เป็นสตรียกเข้าไปแทนย่อมดีกว่า เหอๆๆๆ…
หนานกงเยี่ยนนั่งตรวจบัญชีทีละเล่มอย่างละเอียดลออ หว่านหรงนั่งฝนหมึกอยู่ข้างๆ มองดูสามีทำงานไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงเวลาเย็น หนานกงเยี่ยนก็พาฮูหยินออกจากร้านขายผ้า เถ้าแก่ยืนส่งถึงข้างรถม้า เขาพยายามไม่มองนายหญิงมากนัก ไม่เช่นนั้นอาจได้รับสายตาดุๆ จากนายท่านอีกก็เป็นได้ รถม้าขับออกไป เถ้าแก่ถอนหายใจพรู “เฮ้อ…”
“เถ้าแก่ ท่านมีเรื่องหนักใจอะไรหรือเจ้าคะ?” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยปากถาม เถ้าแก่จึงบอก “ไม่มีอะไรหรอก ไปๆ เก็บของปิดร้านเถอะ นี่ก็เย็นมากแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ลูกน้องรับคำแล้วรีบก้าวเร็วๆ ไปเก็บของทันที เถ้าแก่เดินตามไปช่วยเก็บของ
รถม้าวิ่งกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน หนานกงเยี่ยนก็ลงจากรถม้า เขายื่นมือไปประคองฮูหยินลงมา “เจ้าไปอาบน้ำเถอะ ข้าจะไปรอที่ห้องโถง”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำ นางเดินเข้าเรือนไปพร้อมกับแม่นมจางและจางลี่ หนานกงเยี่ยนก็แยกไปที่เรือนข้าง เจ๋อหมิงก้าวไปหาพลางกุมมือ “นายท่าน พรุ่งนี้ท่านจะไปบ้านพ่อตาเวลาใดขอรับ?”
“ขึ้นอยู่กับว่าหรงเอ๋อร์ตื่นเมื่อไหร่ เจ้าก็เตรียมข้าวของไว้ให้เรียบร้อยเถอะ” หนานกงเยี่ยนบอก เจ๋อหมิงรับคำ “ขอรับ”
หนานกงเยี่ยนเดินเข้าเรือนไป เจ๋อหมิงตามไปคอยรับใช้อยู่ข้างกาย
หลังจากกินมื้อเย็นอิ่มแล้ว หนานกงเยี่ยนก็จูงมือฮูหยินเข้าเรือนนอน แม่นมจางกับจางลี่ก็กลับไปพักผ่อน พวกนางจะกล้าตามไปเป็น ‘ก้างขวางคอ’ ได้อย่างไร ฮี่ๆๆๆ…
เมื่ออยู่ในห้องตามลำพังแล้ว หนานกงเยี่ยนก็จับฮูหยินถอดอาภรณ์ออก หว่านหรงหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นตึกตักๆ หนานกงเยี่ยนประคองนางที่เปลือยเปล่าไปที่เตียง เขาปล่อยนางยืนอยู่หน้าเตียง แล้วขยับไปแก้เชือกผ้าสีแดงมาเส้นหนึ่ง เขาเอาเชือกผูกกับคานด้านบน ปล่อยปลายเชือกลงมา แล้วเขาก็แก้เชือกอีกเส้น เอามาผูกกับคานด้านบนปล่อยปลายเชือกลงมา จากนั้นเขาก็หันไปดึงฮูหยิน “มาซิ หรงเอ๋อร์ วันนี้เปลี่ยนท่านะ”
“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำเสียงเบา หนานกงเยี่ยนจับข้อมือนางผูกกับเชือกผ้าสีแดงนั้น โยงนางไว้กลางเตียง หว่านหรงถูกมัดข้อมือห้อยโยงแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างประหลาด นางไม่รู้ว่าสามีจะมอบความสุขแบบไหนให้นาง หนานกงเยี่ยนหาผ้าผูกตา แต่ว่าหาไม่เจอ เขาจึงเดินไปเปิดหีบใบหนึ่ง หยิบผ้าปิดตาที่เตรียมเอาไว้ออกมา เขาใช้ผ้าผืนนั้นผูกปิดตานาง หว่านหรงมองไม่เห็นอะไร นางได้ยินเสียงสามีเคลื่อนไหวอยู่ข้างกาย หนานกงเยี่ยนขยับไปยืนด้านหน้านาง เขามองนางที่ถูกมัดโยงคุกเข่าอยู่กลางเตียง ผิวขาวตัดกับเชือกสีแดง ทำให้นางดูเหมือนปฏิมากรรมชั้นยอด เขายื่นมือไปบีบดอกบัวงาม หว่านหรงคราง “อื้อ…ท่านพี่”
“หรงเอ๋อร์” หนานกงเยี่ยนครางเสียงแหบพร่า เขาคุกเข่าลงตรงหน้านาง ก้มลงไปดูดดอกบัวงาม มือข้างหนึ่งเลื่อนลงไปบีบคลึงดอกไม้งามกลางลำตัว หว่านหรงเสียวจนคราง “อู…ท่านพี่เจ้าขา…”
เจ๋อหมิงได้ยินเสียงคราง เขามองตรงรูเล็กๆ ออกไป เห็นนายท่านกำลังปรนเปรอนายหญิงอยู่ นางถูกปิดตาแล้ว เขาจึงเปิดประตูลับเดินออกไป เขาไปหยุดยืนอยู่หน้าเตียงด้วยฝีเท้าไร้เสียง หนานกงเยี่ยนรู้สึกถึงเจ๋อหมิง เขาเหล่มองเจ๋อหมิงแวบหนึ่ง แล้วขยับตัวอ้อมไปด้านหลังฮูหยิน เขากอดนางจากด้านหลัง มือขยำดอกบัวตูมข้างหนึ่ง อีกข้างก็บีบคลึงดอกไม้งามกลางลำตัว เจ๋อหมิงมองดูฮูหยินที่ถูกปรนเปรอ ใบหน้านางช่างเย้ายวนชวนให้กระแทกให้ลึกสุดรูจริงๆ
หนานกงเยี่ยนบีบคลึงฮูหยิน ดวงตามองเจ๋อหมิงที่มองมา ราวกับจะบอกเจ๋อหมิงว่า ‘เจ้าดูซิ ข้าทำให้นางเสียวถึงขนาดนี้ นางเป็นของข้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ในตัวนาง’
เจ๋อหมิงอ่านสายตานายท่านออก เขากำมือแน่น เข้าใจดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ใดๆ เลย แต่ว่าถึงจะไม่มีสิทธิ์ เขาก็รักนางเข้าให้แล้ว!
หนานกงเยี่ยนแทงนิ้วทะลวงรู หว่านหรงสะดุ้งเสียวซ่าน “อื้อ…ท่านพี่…”
“หรงเอ๋อร์ บอกให้ข้าชื่นใจหน่อยซิ ข้าทำให้เจ้าเสียวขนาดไหน” หนานกงเยี่ยนบอกอยู่ข้างหู พลางขบใบหูของนางเบาๆ หว่านหรงครางตอบ “อื้อ…สะ…เสียวมากเจ้าค่ะ อื้อ…อู…”
หนานกงเยี่ยนยิ้มอย่างผู้ชนะ เขามองสบตากับเจ๋อหมิง ‘เห็นรึยังล่ะ’
เจ๋อหมิงมองตอบ เขากำมือแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ แท่งหยกแข็งขึงชี้เด่อยู่ใต้อาภรณ์
“อื้อ…อา…” หว่านหรงครางออกมา นางพยายามกลั้นเสียงครางเอาไว้ หนานกงเยี่ยนบอกอยู่ข้างหู “เจ้าอยากร้อง เจ้าก็ร้องออกมา ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยินหรอกหรงเอ๋อร์ เจ้ากับข้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ใครจะได้ยินก็ช่างมันเถอะ”
“อื้อ…ตะ…แต่ว่า…ข้า…อายนี่” หว่านหรงครางบอก “อื้อ…พวกบ่าวได้ยินเสียงข้า พวกเขาจะคิดอย่างไร…”
“ก็คิดว่าข้าเก่งอย่างไรล่ะ” หนานกงเยี่ยนบอก นิ้วยิ่งทะลวงรูถี่ๆ หว่านหรงเสียวจนบิดตัวไปมา ครางกระเส่า “อื้อ…อื้อ…ท่านพี่…ข้าจะ…ข้าจะ…”
หนานกงเยี่ยนยิ่งแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ เร็วขึ้นอีก เขารู้สึกว่ารูนางบีบรัดแน่นมาก น้ำหวานของนางไหลเยิ้มจนเปื้อนมือเขาเต็มไปหมด หว่านหรงเสียวจนสุดจะทนไหว นางตัวเกร็งครางเสียงหวาน “อ้าาาาา…”
หนานกงเยี่ยนแทงนิ้วเข้าๆ ออกๆ รูนางอีกครู่หนึ่งก็ดึงนิ้วออกมา น้ำหวานของนางชโลมเปื้อนมือเขาจนชุ่มโชก เขายกมือข้างนั้นขึ้นดู คล้ายกับจะอวดเจ๋อหมิงไปในตัว หว่านหรงหอบหายใจสะท้อนสะท้าน “แฮ่กๆ”
นางคุกเข่าหมดเรี่ยวหมดแรง หากว่าข้อมือไม่ได้ถูกมัดโยงเอาไว้ ตัวนางคงทรุดลงไปกองกับฟูกนิ่มแน่นอน หนานกงเยี่ยนอ้อมตัวนางลงจากเตียง หลิ่วตาสั่งเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงจึงถอดอาภรณ์ออกจนตัวเปลือยเปล่า หนานกงเยี่ยนใช้นิ้วเขียนอักษรบนแผ่นหลังเจ๋อหมิง เจ๋อหมิงรอจนนายท่านเขียนจบแล้วเขาจึงก้าวขึ้นเตียง อ้อมไปด้านหลังนายหญิง หนานกงเยี่ยนก้าวไปยกเก้าอี้มาตั้งหน้าเตียง นั่งลงรอดู เจ๋อหมิงเข้าซ้อนด้านหลังนายหญิง เขาจับขานางสอดแขนข้างหนึ่งเข้าไปใต้ข้อพับเข่า ยกขาข้างนั้นขึ้นสูง ทำให้ดอกไม้งามแบะกลีบอ้าออก เขาจับแท่งหยกถูไถกับดอกไม้งามดอกนั้นจากทางด้านหลัง หนานกงเยี่ยนจ้องมองแท่งหยกที่กำลังถูไถดอกไม้งาม
“อื้อ…ท่านพี่…” หว่านหรงคราง เจ๋อหมิงค่อยๆ ดันแท่งหยกเข้ารู หว่านหรงเม้มปาก นางรู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ คับแน่นมาก เจ๋อหมิงดันแท่งหยกเข้ารูไปได้นิดหนึ่ง เขาก็สอดแขนเข้าไปใต้ข้อพับเข่าอีกข้างของนายหญิง ยกขานางขึ้น ทำให้นางอยู่ในท่ากางขาอ้าออก เจ๋อหมิงค่อยๆ ดันแท่งหยกกระแซะๆ เข้าไป หว่านหรงคราง “อื้อ…”
หนานกงเยี่ยนอยากจะดูให้ชัดๆ เขาจึงขยับลุกไปนั่งบนเตียง มองจ้องดอกไม้งามที่กำลังถูกแท่งหยกทะลวงเข้าไป ขณะที่มองอยู่นั้น เขาเกิดความคิดอยากเลียดอกไม้งามไปด้วย แต่ว่าถ้าเขาทำแบบนั้น นางรู้แน่นอนว่ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย เขาข่มใจตัวเองเอาไว้ ไม่ให้ทำแบบนั้น เขามองจ้องดอกไม้งามดอกนั้นเขม็ง เจ๋อหมิงทะลวงเข้าไปจนสุดแล้วก็ยกตัวนายหญิงขึ้น ทำให้ดอกไม้งามรูดแท่งหยกขึ้นไป
“อื้อ…” หว่านหรงคราง รู้สึกคับแน่นมาก เจ๋อหมิงปล่อยตัวนายหญิงลง ทำให้ดอกไม้งามกลืนแท่งหยกเข้าไป หนานกงเยี่ยนเห็นกลีบเนื้ออ่อนนุ่มยู่เข้ายู่ออก มันช่างทำให้เขาตื่นตัวจริงๆ เจ๋อหมิงยกตัวนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ แท่งหยกทะลวงเข้าๆ ออกๆ ทำเขาเสียวจนอยากร้องครางยิ่งนัก แต่เขาก็ต้องกลั้นเสียงเอาไว้ หว่านหรงเสียวจนกลั้นเสียงครางไม่อยู่ “อื้อ…ท่านพี่…ซี๊ด…”
หนานกงเยี่ยนจ้องมองแท่งหยกที่เปื้อนน้ำหวานเป็นมันวาวกำลังทะลวงเข้าๆ ออกๆ รูเล็กแดงแจ๋ ทำเขานึกถึงตอนที่ยังมีแท่งหยกอยู่ ความรู้สึกนั้นมันยากจะลืมจริงๆ เขาจินตนาการว่าตัวเองกำลังทำกับฮูหยิน คิดว่าแท่งหยกของเจ๋อหมิงก็คือแท่งหยกของเขา อา…
เขาจ้องมองตาไม่กะพริบ มองดูน้ำหวานไหลย้อยชโลมแท่งหยกจนเป็นมันวาว กลิ่นน้ำหวานของนางช่างเย้ายวนใจยิ่ง อู…
เขาอดใจไม่ไหวจนต้องยื่นมือไปบี้เกสรของนาง หว่านหรงเสียวสะท้านทันที “อ้า…ซี๊ด…”
เจ๋อหมิงถูกรูน้อยรัดแน่นติ้ว ทำเขาแทบเกือบถึงสวรรค์ทันใด รูนางบีบรัดแน่นมาก หนานกงเยี่ยนเห็นฮูหยินครางกระเส่าก็ยิ่งบี้เกสรแรงๆ หว่านหรงเสียวแทบขาดใจ “อ้า…ท่านพี่…อื้อ…”
ใบหน้านางเหยเกคล้ายกับทรมานปนสุขเสียว ครางกระเส่าฟังไม่ได้ศัพท์ “อ้า…อ้า…”
ยิ่งนางครางเสียงดัง เจ๋อหมิงก็ยิ่งยกตัวนางขึ้นๆ ลงๆ ถี่ๆ หนานกงเยี่ยนก็บี้เกสรแรงๆ ไม่หยุดไม่พัก หว่านหรงเสียวจนลืมคิดถึงความผิดปกตินี้ไป ในเมื่อแขนทั้งสองสอดอยู่ใต้ข้อพับ แล้วยังจะใช้มือบี้เกสรได้อีกหรือ? ความผิดปกตินี้นางไม่ทันคิดจริงๆ นางถูกทำให้เสียวจนจะขาดใจตาย ไหนเลยจะมีเวลาไปคิดถึงเรื่องอื่นอีก นางรู้แต่ว่าเขาทำให้นางเสียวมาก!
“อ้า…อ้า…อ้าาาาา…” นางครางเสียงดัง ตัวเกร็งกระตุก สุขสมอีกครา น้ำหวานหลั่งชโลมแท่งหยกจนหยดลงบนฟูกแหมะๆ
“อ้า…ท่านพี่พอก่อน ข้าเสียวมาก” นางร้องบอก นางเพิ่งจะสุขสมไป ทำให้ตรงส่วนนั้นรู้สึกอ่อนไหวมากขึ้น เขายังทะลวงรูไม่หยุด ซ้ำยังบี้เกสรไม่พัก มันทำให้นางเสียวจนทนไม่ไหวจริงๆ แต่บุรุษทั้งสองกลับไม่หยุดตามที่นางขอ พวกเขายังคงกระทำการเช่นเดิมต่อไป เจ๋อหมิงยกนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ รูนางรัดแน่นติ้วทำเขาเสียวมาก หนานกงเยี่ยนเห็นนางเสียวจนตัวสั่นก็ยิ่งรู้สึกสะใจ ใบหน้านางยามนี้ช่างกระตุ้นอารมณ์เขามากจริงๆ หว่านหรงถูกเขา 2 คนร่วมมือกันปรนเปรอนาง นางจึงได้แต่ร้องครางเสียงแหบเสียงแห้ง “อ้า…ท่านพี่…ซี๊ด…”
สาวใช้บ่าวไพร่ที่เข้าเวรกลางคืน พวกเขาล้วนเอาฝ้ายอุดหูเอาไว้ นายท่านกับนายหญิงกำลังใช้วิชา ‘เสกเด็ก’ พวกเขามีแต่ความยินดี เชื่อว่าอีกไม่นานนายหญิงต้องมีคุณชายน้อยๆ แน่นอน ฮี่ๆๆๆ…
เจ๋อหมิงยกนายหญิงขึ้นๆ ลงๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หว่านหรงเสียวแทบขาดใจตายคาแท่งหยก หนานกงเยี่ยนก็บี้เกสรไปเรื่อยๆ เขาชอบสีหน้านางในตอนนี้ยิ่งนัก ช่างเย้ายวนยิ่งนัก ปลุกเร้าอารมณ์เขาจนแทบจะบ้าคลั่งแล้ว หว่านหรงครางเสียงแหบแห้ง “อ้า…อ้า…”
จนกระทั่งนางสุขสมถึงสวรรค์ไปเจ็ดแปดครั้ง เจ๋อหมิงจึงได้ถึงคราวสุขสมบ้าง “อื้อ!”
เขากลั้นเสียงครางจนมันกลายเป็นเสียงคำรามอยู่ในลำคอ แท่งหยกกระตุกยึกๆ หลั่งธารขุ่น สายธารนั้นไหลย้อยออกมาหยดแหมะๆ
เขาปล่อยตัวนายหญิงลง ดึงแท่งหยกออกจากกายนาง หนานกงเยี่ยนก็ดึงมือกลับไปพร้อมกัน เจ๋อหมิงก้าวลงจากเตียง หยิบอาภรณ์ขึ้นมาสวมแล้วเดินไปที่ประตูลับ หนานกงเยี่ยนมองฮูหยินของเขาที่คุกเข่าหมดเรี่ยวหมดแรง เขารอจนประตูลับปิดสนิทแล้วจึงได้ก้าวไปแก้เชือกออกจากข้อมือฮูหยิน เขาประคองนางนอนลง หว่านหรงหอบหายใจสะท้อนสะท้าน นางผล็อยหลับไปทันทีที่นอนลงไป หนานกงเยี่ยนแก้ผ้าผูกตาออก เขาเห็นนางหลับไปแล้วเขาจึงหันไปยกเก้าอี้เก็บแล้วเดินกลับไปนอนกอดนางหลับไปด้วยกัน
เช้าวันที่ 3 หลังจากหว่านหรงแต่งงาน หว่านกัวฉายตื่นแต่เช้า เขากินข้าวเช้าแล้วก็ชะเง้อมองประตูเรือนตลอดเวลา เขากำลังรอลูกสาวกับลูกเขยกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมของภรรยาตามธรรมเนียม อนุรองก็ชะเง้อชะแง้รอคอยเช่นกัน แม้นางจะเกลียดหว่านหรงเข้ากระดูกดำที่กล้าแย่งวาสนาของลูกสาวนางไป แต่ว่านางก็ไม่กล้าแสดงออกนอกหน้า อีกทั้งตระกูลหนานกง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องพยายามผูกมิตรให้ดีที่สุด
ยามเหมา* ผ่านไป หว่านกัวฉายก็ลุกไปรออยู่ที่ห้องโถงหน้า เขานั่งรอจิบชารอไปเรื่อยๆ อนุรองและอนุคนอื่นๆ ก็พากันมารอต้อนรับเขยเยี่ยนเช่นกัน แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากจะผูกมิตรกับหนานกงเยี่ยน
(ยามเหม่า (卯:mǎo) คือ 05.00 – 06.59 น.)
จนกระทั่งยามเฉิน* ผ่านไป ก็ยังไม่มีวี่แววว่าหนานกงเยี่ยนกับหว่านหรงจะมาถึงเลย หว่านกัวฉายจึงสั่งบ่าว “ไปดูซิ ลูกเขยเยี่ยนมาถึงหรือยัง”
(ยามเฉิน (辰:chén) คือ 07.00 – 08.59 น.)
“ขอรับ” บ่าวรับคำแล้วรีบเดินออกไป เขาไปดูที่ประตูใหญ่ มองชะเง้อออกไปเบื้องนอกก็ยังไม่เห็นวี่แววรถม้าของตระกูลหนานกงเลย มีแต่คนเดินถนนผ่านไปผ่านมา เขามองๆ รอๆ มองแล้วมองอีก จึงกลับไปรายงานนายท่านว่า “ยังไม่มาขอรับ”
“จนป่านนี้ยังไม่มาอีก” หว่านหรูอี้บ่นเบาๆ นางมารอดูน้องสาวต่างมารดาหน้าโง่ที่ต้อง ‘หวานอมขมกลืน’ เพราะสามีพิการ นางรอที่จะเยาะเย้ยอยู่เลยเชียว นังนั่นเป็นลูกฮูหยินเอกแล้วอย่างไร อยู่ในจวนก็อยู่เหมือนคนไร้ค่าคนหนึ่ง อาหารการกิน อาภรณ์ผ้าผ่อน เรือนนอน ข้าวของทุกอย่างล้วนสู้นางที่เป็นลูกอนุรองไม่ได้สักอย่าง
“อี้เอ๋อร์” อนุรองรีบสะกิดลูกสาว แล้วเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “อาจจะกำลังมาก็ได้”
นางขึงตาใส่ลูกสาวเป็นเชิงบอกให้สงบปากสงบคำ หว่านหรูอี้เหยียดปากทีหนึ่งแล้วยกชาขึ้นจิบปิดบังสีหน้าเอาไว้ อนุรองรีบหันไปพูดกับสามีว่า “บางทีหรงเอ๋อร์อาจจะกำลังมากระมัง”
“อืม” หว่านกัวฉายพยักหน้า ยกชาขึ้นจิบ รอต่อไป
จนกระทั่งยามซื่อ* ผ่านไป หว่านกัวฉายก็มีสีหน้าทะมึนขึ้นมาแล้ว เขาวางถ้วยชากระแทกดังปึก! “ฮึ่ม!”
(ยามซื่อ (巳:sì) คือ 09.00 – 10.59 น.)
ปกติแล้วลูกสาวและลูกเขยจะกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของภรรยาก็ไม่ควรเกินยามเฉิน(07.00 – 08.59 น.) แต่นี่จนเลยยามซื่อ(09.00 – 10.59 น.)ไปแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา! เขยเยี่ยนทำเช่นนี้เหมือนไม่เห็นหัวบ้านเดิมภรรยาเลย! ถือว่าร่ำรวยกว่ารึ! ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นขุนนางในราชสำนักนะ! (แม้ว่าตำแหน่งจะไม่ใหญ่โตก็เถอะ)
เขาโมโหจนหน้าแดง จึงลุกขึ้นเดินกลับเรือนนอนไป เหล่าอนุก็คุยกัน “เอ…หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อนุรองมองไปมองมา นางจึงสั่งบ่าวว่า “เจ้าไปดูที่บ้านตระกูลหนานกงที เหตุใดหรงเอ๋อร์กับเขยเยี่ยนจึงยังไม่มาสักที”
“ขอรับ” บ่าวรับคำสั่งแล้วถอยออกไป อนุรองก็ตามสามีไป แน่นอนว่านางต้องไปพูดปลอบใจสามีให้ใจเย็นลง
บ่าวจากจวนตระกูลหว่านรีบเดินไปที่บ้านตระกูลหนานกง เมื่อไปถึงบ้านตระกูลหนานกง เขาก็ถามยามเฝ้าประตูว่า “เหตุใดท่านเขยเยี่ยนกับคุณหนูรองถึงยังไม่ไปเยี่ยมท่านอาลักษณ์หว่านหรือ?”
“เจ้าเป็นใคร?” ยามเฝ้าประตูถาม บ่าวจึงบอกว่า “ข้าเป็นบ่าวจวนตระกูลหว่าน ฮูหยินให้ข้ามาถามเพราะว่าท่านอาลักษณ์หว่านรอคุณหนูกับท่านเขยตั้งแต่เช้าแล้ว”
“นายท่านข้ายังไม่ตื่น เรื่องไปเยี่ยมตระกูลหว่าน ต้องรอให้นายท่านตื่นเสียก่อน” ยามเฝ้าประตูบอก บ่าวอึ้งงันไป “ยังไม่ตื่น!”
ยามเฝ้าประตูไม่สนใจบ่าวคนนั้นอีก บ่าวพยายามตั้งสติกลับมาแล้วเดินกลับจวนไปรายงานอนุรอง
หลังจากอนุรองและหว่านกัวฉายได้ยินคำรายงานของบ่าว อนุรองก็อึ้งงันไปเหมือนกัน ส่วนหว่านกัวฉายโมโหจนหน้าดำหน้าแดงแล้ว “วะ! ไอ้เด็กนั่นมันเห็นหัวข้าไหม!?”
‘แน่นอนว่าไม่เห็นหรอก ไม่งั้นจะปล่อยให้รอแบบนี้เรอะ!’ นี่คือความคิดของอนุรอง แต่ว่านางก็ไม่กล้าพูดออกไป ทำได้เพียงปลอบสามีไปตามเรื่องตามราว “บางทีลูกเขยเยี่ยนอาจจะนอนดึกมากกระมังเจ้าคะ”