Skip to content

King of Gods 548

King Of Gods

บทที่ 548 กองทัพของลู่เทียนอี้

หลังจากนั้นสักพัก

หมอกควันของเจ้าหอโครงกระดูกลอยกลับไปยังบริเวณใกล้ๆ หอคอยพฤกษาปีศาจ

บนต้นไม้

จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดขาว บนหน้าผากผุดเหงื่อขึ้นเป็นเม็ด พลังดวงตากับพลังวิญญาณสูญสลายไปกว่าครึ่ง ขนาดหอคอยพฤกษาที่อยู่เบื้องล่างเขาก็ยังอ่อนแรงไร้ชีวิตชีวาอยู่หลายส่วน

ภาพนี้ทำให้เจ้าหอโครงกระดูกพลันตระหนักขึ้นได้

ในเวลาเดียวกันใจเขาก็เต้นน้อยๆ จ้าวเฟิงในสภาพนี้ถือได้ว่าเป็นสภาพที่อ่อนแอที่สุดตั้งแต่เข้ามาภายในมิติซากปรักหักพังสือเฉิง

ในการรบก่อนหน้านี้ จ้าวเฟิงบีบให้ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและพรรคพวกจนตรอกทีละก้าวๆ พลังดวงตากับวิญญาณของเขาสลายไปมากทีเดียว หากยังยืดเยื้อต่อไปเรื่อยๆ พลังอาจจะไม่เพียงพอเหมือนกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น

“นายท่าน หากอดทนสู้ต่ออีกหน่อยก็จะทำลายพวกสามสำนักนั่นได้แล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างเสียดาย

สุดท้ายแล้วจ้าวเฟิงยังคงเก็บพลังสำรองไว้ ไม่ปล่อยให้ตนเองเข้าสู่สภาวะขาดแคลนพลัง เจ้าหอโครงกระดูกเองจึงแทบไม่มีโอกาสที่จะทรยศ

“เจ้าหอโครงกระดูก ที่ข้าไม่ตามต่อนั้นไม่ใช่เพราะระแวงเจ้า ถึงข้าอยู่ในสภาวะขาดพลังก็ไม่มีโอกาสอะไรเหลือให้เจ้าหรอก” จ้าวเฟิงเหลือบมองไปยังเจ้าหอโครงกระดูกเล็กน้อย

เจ้าหอโครงกระดูกใจหายวูบ เจตนาใดๆ ของตนล้วนแต่ปกปิดจ้าวเฟิงไม่ได้เลย

“ความหมายของนายท่านคือ…” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างระมัดระวัง

ยามอยู่ที่ซากปรักหักพังสือเฉิงและร่วมมือกับหอคอยพฤกษาปีศาจ พลังของจ้าวเฟิงเกือบจะสามารถพลิกดินฟ้า เนตรสวรรค์ควบคุมฝูงสัตว์อสูรทั่วทั้งบริเวณใดก็ได้

“หากว่าไม่สนใจสิ่งที่ต้องเสียไปแล้วสังหารคนของทั้งสามสำนัก ไอสวรรค์ของพวกเราจะสูญเสียบาดเจ็บไปมากแน่ ถึงขั้นที่อาจมีค่าตอบแทนหนักหนาเอาการ” สายตาลึกล้ำของจ้าวเฟิงทอดยาวไปยังเส้นขอบฟ้า

ในเวลาเดียวกัน ณ โลกภายนอก

บนยอดเขาเทียมฟ้า เหล่ายอดฝีมือของทั้งสามสำนักล้วนแต่มีสีหน้าชาวาบ

จ้าวเฟิงที่อยู่ภายในภาพเงาประหนึ่งจ้องมองมายังพวกเขา

“นี่นับว่าเป็นโชคดียิ่งนักที่ ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ สันทัดวิชาป้องกันและรักษา หากเปลี่ยนให้ผู้อาวุโสคนอื่นนำทัพล่ะก็ป่านนี้อาจจะเสียหายทั้งกองทัพไปแล้วก็เป็นได้”

“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นางก็พยายามจนมีชีวิตรอดอยู่ภายในมิติได้” เหล่ายอดฝีมือของทั้งสามสำนักถกกันเสียงต่ำ

ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเยือกเย็นสงบนิ่ง ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่านางจะล้มเหลว แต่ทำได้ถึงขนาดนี้ก็ควรค่าแก่การชื่นชมแล้ว จะอย่างไรศัตรูที่สามสำนักกำลังเผชิญหน้าก็นับได้ว่าเป็นประหนึ่งมาร

“รอ ‘ทางเชื่อมมิติ’ นั่นเสถียรก่อนแล้วค่อยส่งกองทัพที่แข็งแกร่งเข้าไปอีกครั้ง น่าจะพลิกสถานการณ์ได้” บนใบหน้ากระจ่างของเฉิงเยว่เซียนกูมีแววเยือกเย็น

แต่ทว่า เหตุการณ์พลิกผันที่เกิดขึ้นภายในซากปรักหักพังสือเฉิงทำให้ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักจิตใจหนักอึ้งยิ่ง

หลายวันจากนั้น

จ้าวเฟิงมิได้ให้เจ้าหอโครงกระดูกตามไล่ล่าสังหารผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอื่น แต่กลับทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการสร้างค่ายกลฟื้นฟูกับค่ายกลผนึกไอสวรรค์ จนซ่อมแซมรอยโหว่อีกสามบริเวณสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

ภารกิจหลักของเจ้าหอโครงกระดูกยังคงเป็นการสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาป

ส่วนจ้าวหยูเฟ่ยต้องรับผิดชอบคอยซ่อมแซมรอยโหว่และสร้างค่ายกลต่างๆ

ระยะเวลาสามวันผ่านไป

จ้าวเฟิงเอนหลังพิงหอคอยพฤกษาปีศาจ พลังดวงตาและวิญญาณฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลานั้นเขายังคอยควบคุมเหล่าสัตว์อสูรอยู่ตลอด

ในระยะเวลาสามวันนี้ กองทัพสามสำนักที่นำโดยผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นยังคงฟื้นฟูพลังไอสวรรค์กับบาดแผลอยู่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นซึ่งมีอาการบาดเจ็บสาหัส ไอสวรรค์ไม่เพียงพอ ถึงแม้ว่านางจะเชี่ยวชาญการรักษา มีพลังฟื้นฟูแข็งแกร่ง แต่ก็ยากที่จะฟื้นฟูถึงขั้นสูงสุดในเวลาอันสั้น

ไม่เพียงเท่านั้น คนอื่นๆ ในกองทัพล้วนแต่โดนพลังของหุ่นเชิดศพต้องสาปกัดกร่อน ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นยังต้องแบ่งไอสวรรค์ไปรักษาร่างกายภายในของพวกเขาที่บาดเจ็บจากพลังคำสาปด้วย

นี่ขนาดผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเป็นหมอรักษาที่มีชื่อเสียงของทั้งสามสำนัก หากเป็นผู้สูงศักดิ์ธรรมดาคงยากจะคลายพลังคำสาปนี้

เพื่อคลี่คลายคำสาปให้แก่คนทั้งหลาย พลังของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นสูญสลายไปไม่น้อย แต่นางเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยไม่ได้ มิฉะนั้นในกองทัพอย่างน้อยน่าจะล้มตายไปเกินกว่าครึ่งแล้ว

อีกทั้งในระหว่างการรักษา ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นรู้สึกว้าวุ่น ราวกับมีดวงตาคู่หนึ่งคอยจ้องทุกอากัปกริยาของตนอย่างลับๆ จากเบื้องบน ความรู้สึกเช่นนั้นราวมีอะไรทิ่มแทงหลังตลอดเวลา

สุดท้ายในวันที่สี่ ภยันอันตรายก็มาเยือนกองทัพจากสามสำนัก ฝูงสัตว์อสูรจำนวนสี่ห้าฝูงเข้ามาห้อมล้อมหุบเขาที่คนเหล่านั้นกำลังรักษาตัวอยู่

ตูม โครม โครม…

ภายใต้การโจมตีของฝูงสัตว์อสูรนับร้อยนับพันตัว หุบเขานี้ราบเป็นหน้ากลองอย่างรวดเร็ว

ฝูงสัตว์อสูรทั้งหลายที่นำโดยราชันอสูรในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงโจมตีก่อกวนเป็นหลัก กองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นบาดแผลยังไม่หายสนิทก็ยังจำต้องเข้าร่วมรบ

ช่วงเวลาหลังจากนั้น พวกเขาต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ทุกวัน วันละหลายครั้ง

กองทัพสามสำนักไม่อาจข่มตาหลับได้ ในใจยังคงกังวลตลอดเวลา

ฝูงสัตว์อสูรเหล่านี้ลอบโจมตีได้ฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก พวกมันไม่ได้โจมตีตามแบบธรรมดา

ความสามารถของสัตว์อสูรส่วนหนึ่งในนั้นหลักแหลมปราดเปรื่องต่างจากสัตว์อสูรทั่วไป ดังเช่นสัตว์อสูรบางส่วน ยามต่อสู้มุดออกมาจากพื้นดิน ยังมีสัตว์อสูรที่มีพลังบางอย่างซุกซ่อนอยู่ หรือไม่ก็ชำนาญในพลังลวงตาต่างๆ บางส่วนยังสามารถปล่อยพิษกลิ่นประหลาดที่เป็นอันตรายถึงชีวิตด้วย

มิติซากปรักหักพังสือเฉิงแห่งนี้ยังอยู่ในสภาพโบราณกาล จึงมีสัตว์อสูรแปลกประหลาดมากมาย

ในวันที่ห้า ท้ายที่สุดกองทัพจากสามสำนักก็มีการล้มหายตายจากเกิดขึ้น

ระหว่างการสู้รบตบมือ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นพยายามคุ้มครองและช่วยรักษาคนในกองทัพ เรียกได้ว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด

การซุ่มโจมตีกับกลยุทธ์ก่อกวนของจ้าวเฟิงไหลลื่นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก มิได้เจาะจงเฉพาะผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น แต่มุ่งโจมตีเหล่ายอดฝีมือคนอื่นในกองทัพมากกว่า

จิตใจของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นล้วนแต่ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย จ้าวเฟิงเองก็ชื่นชมในจุดนี้

แต่ว่าเขาได้กำหนดเป้าหมายเป็นสมาชิกที่อ่อนแอบางส่วนภายในกองทัพสามสำนัก

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นแทบจะไม่มีแก่ใจมาฟื้นฟูรักษา อย่าพูดถึงว่าให้โจมตีจ้าวเฟิงกลับเลย

เวลาหมุนเวียนไปเรื่อยๆ การบาดเจ็บล้มตายของกองทัพสามสำนักเรียกได้ว่าเกิดขึ้นแทบทุกวัน

จนมาถึงช่วงหลังๆ ยามที่กองกำลังสามสำนักสู้รบ เนตรสวรรค์ไม่ได้ปรากฏให้เห็น แต่คอยลอบโจมตีเป็นระยะ

เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!

เนตรมรกตพิฆาต!

เมืองวงกตมายา!

ในเวลาว่าง ‘เนตรสวรรค์’ ของจ้าวเฟิงก็จะแวะเวียนมาเยี่ยมบ้าง หากไม่มาพรากชีวิตใครสักคนก็จะมาบีบให้ทั้งกองทัพตกอยู่ในอันตราย

จนถึงวันที่สิบห้า สมาชิกในกองทัพของสามสำนักค่อยๆ ล้มตายไปเรื่อยๆ

สุดท้าย

ก็เหลือเพียงแค่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น เย่เหยียนหยู และขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกหนึ่งคน

ยามออกเดินทางมีกันเกือบสิบยี่สิบคน มาบัดนี้เหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น

“จ้าวเฟิงคนนี้…เขาเอาแต่คิดหาวิธีการต่างๆ มาทรมานพวกเรา?”

พวกของเย่เยียนอวี่ทรมานอย่างมาก ในเวลาที่ผ่านมาแทบจะหาช่วงสงบไม่ได้ ต้องคอยระมัดระวังตัวตลอดเวลา

สามคนที่เหลือ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นฟื้นฟูไอสวรรค์ได้เพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น ส่วนเย่เหยียนหยูและขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่านางเท่าไหร่นัก

ณ โลกภายนอก ยอดเขาเทียมฟ้า

ราชันทั้งสามสีหน้ามืดคล้ำลง

“หากว่าทุ่มเทกำลังทั้งหมด จ้าวเฟิงมีความสามารถมากพอจะสังหารกองทัพของสุ่ยอวิ้นได้ แต่ว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยอย่างครุ่นคิด

ดูออกไม่ยาก พลังส่วนมากของจ้าวเฟิงหมดไปกับการซ่อมแซมรอยโหว่ขนาดใหญ่ทั้งสามรอย

มองดูเผินๆ เหมือนผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอื่นโดนทรมานอยู่ ด้วยจ้าวเฟิงก่อกวนไม่ยอมหยุด

แต่ว่าในความเป็นจริง จ้าวเฟิงเพียงแค่รังควานกองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นในยามว่างเท่านั้น หากลองคำนวณดูแล้ว ครั้งละสองสามครั้งต่อวันแทบไม่ได้เปลืองพลังอะไรของจ้าวเฟิงเลย

“ราชันทั้งสาม รอยร้าวของมิติซากปรักหักพังสือเฉิงนับวันยิ่งเล็กลง รอยโหว่ขนาดใหญ่นั้นยิ่งมั่นคงแข็งแกร่งขึ้น

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การสร้างทางเชื่อมมิติให้มั่นคงก็ยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้น” ทางปรมาจารย์อิ๋นคงบอกข่าวร้ายมา ราชันปราณเทวะทั้งสามหน้าเปลี่ยนสีไปกันหมด

“ยังส่งคนไปได้อีกกี่ครั้ง?” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปากถาม

“อย่างน้อยครั้งหนึ่ง มากที่สุดก็สองครั้งเท่านั้น หากยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ การจะส่งคนไปในรอบที่สามก็เป็นไปได้ยากแล้ว” ปรมาจารย์อิ๋นคงตอบ

เขาจ้องมองในภาพเงาแล้วต้องลอบถอนใจ

จ้าวเฟิงผู้นั้นควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขาไม่ได้ใส่ใจผลแพ้ชนะ มุ่งแต่จะกำจัดกองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น แต่จุดสำคัญของจ้าวเฟิงกลับอยู่ที่การซ่อมแซมรอยโหว่และรอยร้าวต่างๆ เขาจะคอยขัดขวางให้การฟื้นฟูพลังของผู้อาวุโส

สุ่ยอวิ้นช้าลงก็ต่อเมื่อเขาว่างเท่านั้น

วิ้ง~

บนยอดเขาเทียมฟ้า ภาพเงานั้นค่อยๆ สั่นไหวเลือนราง

“เกิดอะไรขึ้น!”

“ภาพเงาเลือนรางไปแล้ว!”

ยอดฝีมือของทั้งสามสำนักที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นตกใจจนร้องเสียงหลง

ในเวลานั้น ภายในมิติซากปรักหักพัง การซ่อมแซมรอยโหว่ทั้งสามในขั้นแรกสำเร็จแล้ว

“พี่จ้าวเฟิง! รอยโหว่ที่หุบเขาลี้ลับซ่อมแซมไปหกเจ็ดส่วนแล้ว รอยโหว่อีกสองแห่งซ่อมแซมไปแล้วกว่าแปดเก้าส่วน ส่วนรอยร้าวอื่นๆ กำลังค้นหาและซ่อมแซม…” เสียงของจ้าวหยูเฟ่ยดังมา

ภายในบริเวณหุบเขาลี้ลับซ่อมแซมเสร็จไปเพียงแค่หกเจ็ดส่วน เป็นเพราะว่าที่นี่โดนพลังอันแข็งแกร่งของราชันปราณเทวะทะลวงผ่าน แล้วไหนจะการประลองของผู้สูงศักดิ์ในคราวก่อนอีก

ดังนั้นถึงแม้ว่าพลังที่ใช้รักษาตรงนี้จะมากที่สุดแต่กลับสำเร็จช้าที่สุด

“ดูแล้วกองทัพถัดไปของสามสำนักสองดาวคงจะมาปรากฏ ณ ที่แห่งนี้”

จ้าวเฟิงปิดตาลงช้าๆ หลายวันที่ผ่านมาเขายังคงฝึกฌานเพื่อฟื้นฟูกำลัง

เมื่อขอบเขตจิตวิญญาณใกล้จะถึงขั้นของผู้สูงศักดิ์ เขายิ่งเข้าใจในพลังของ ‘วายุอัสนีสีม่วง’ มากขึ้นทุกที

นอกจากนี้ ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ที่ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเรียกใช้ตอนนั้นเป็นวิชาสายเลือดอันแข็งแกร่งที่เกี่ยวข้องกับธาตุน้ำ พลังดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ตรวจสอบจนเข้าใจในหลักการ

“จิตวิญญาณเทพวารีใช้วิชาสายเลือดธาตุน้ำมาห่อหุ้มร่างกายจนแทบหลอมรวมกลายเป็นของเหลว วิชานี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ทว่าส่วนประกอบในร่างกายของมนุษย์เป็นน้ำกว่าแปดสิบส่วน…” จ้าวเฟิงนิ่งสงบแล้วจึงคิดขึ้นได้

หลักการวิชานี้ของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น เขาใช้ดวงตาเทพเจ้าคัดลอกมาแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่จ้าวเฟิงต้องทำคือศึกษาให้ปรุโปร่ง ฝึกตน แล้วจึงคัดลอกวิชาสายเลือดดังกล่าวนำมาใช้ให้กลายเป็นของตนเอง

ด้วยเหตุว่าเป็นวิชาสายเลือดที่เกี่ยวกับน้ำหรือกระทั่งเนตรวารีเหมือนกัน จ้าวเฟิงจึงสามารถฝึก ‘จิตวิญญาณเทพวารี’ ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว

เพื่อปกปิดความลับระดับนี้จากโลกภายนอก ยามจ้าวเฟิงศึกษาวิชาดังกล่าว เขาจึงซ่อนอยู่หลังหอคอยพฤกษาปีศาจ

เวลารวดเร็วราวติดปีกบิน

ตั้งแต่กองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นบุกเข้ามาภายในมิติ เวลาก็ผ่านไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ภายในเวลาครึ่งเดือนนี้ จ้าวเฟิงเข้าใจในพลังของวายุอัสนีสีม่วงลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ขอบเขตที่เข้าใจมากถึงหนึ่งในห้าแล้ว

ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้ใจกลางของผู้สูงศักดิ์มากขึ้นทุกที

จ้าวเฟิงหลอมรวมเป็นหนึ่งกับหอคอยพฤกษาเป็นระยะเวลานานเพียงนี้ วิญญาณและพลังจึงแข็งแกร่งขึ้นมากพอที่จะประมือกับผู้สูงศักดิ์ได้หลายครั้ง

“ในตอนนี้นอกเหนือจากพลังที่แท้จริงซึ่งเข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดแล้ว ด้านอื่นๆ ข้าก็แทบจะไม่ต่างจากผู้สูงศักดิ์ธรรมดา หรืออาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ” จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงพลังของตนเองที่ก้าวหน้าไปกว่าเดิมมาก

ยามนี้แผนการร้อยศพก็สำเร็จไปถึงสามสิบแปดส่วนแล้ว! ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพมีหุ่นเชิดศพเกือบสามสิบแปดร่าง พลังของค่ายกลจึงแข็งแกร่งขึ้น

แล้วในวันนี้เอง ภายในใจกลางของหุบเขาลี้ลับก็มีแรงกระเพื่อมรุนแรงของมิติเกิดขึ้น

วิ้ง!

รอยแยกสีเงินสว่างวาบขึ้น ณ ใจกลางหุบเขา

“จ้าวเฟิง ระวัง! กองทัพที่สองของสามสำนักกำลังผ่านทางเชื่อมเข้ามาภายในมิติสือเฉิง” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเตือน

กลิ่นอายอันแข็งแกร่งนับสิบเล็ดลอดออกมาจากภายในรอยแยก ผู้ที่นำมาก่อนเป็นชายหนุ่มร่างท้วมท่าทางเฉื่อยชา พลังฝึกตนสูงถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคนในขั้นผู้สูงศักดิ์ธรรมดา

เป็นลู่เทียนอี้นั่นเอง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!