Skip to content

King of Gods 612

King Of Gods

บทที่ 612 สามสิบครั้งอย่างรวดเร็ว

“ผู้ท้าชิงการชนะร้อยครั้งติดต่อกันคนใหม่…จ้าวเฟิง!”

เสียงที่ดังกังวานสะท้อนไปมาภายในสนามประลอง

เหตุเพราะความพ่ายแพ้ของเย่หมัวอวี่ ทั้งสนามจึงตกอยู่ในอารมณ์หดหู่ แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

“มีผู้ท้าชิงคนใหม่เร็วขนาดนี้เลยรึ?” ยอดฝีมือจากดินแดนต่างๆ ในที่นั่งของผู้เข้าชมต่างตกอกตกใจกันไม่น้อย

การพ่ายแพ้ที่อเนจอนาถของเย่หมัวอวี่ ความไม่ยุติธรรมอันแสนโหดร้ายของการประลองชนะร้อยสนามติดกัน ยังไม่มากพอที่จะทำลายความกระตือรือร้นของผู้ท้าชิงคนใหม่หรืออย่างไร

หนำซ้ำผู้ท้าชิงคนใหม่ก็กล้าเข้าร่วมประลองในทันทีที่เย่หมัวอวี่พ่ายแพ้ไปด้วย

คาดเดาได้ว่า ผู้ท้าชิงคนใหม่จะต้องมั่นอกมั่นใจในพลังของตัวเองอย่างมาก อย่างน้อยๆ ต้องแข็งแกร่งกว่าเย่หมัวอวี่ถึงจะใช้ได้

“จ้าวเฟิง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

“ผู้ท้าชิงคนใหม่นี่จะเป็นคนอย่างไรกันนะ?”

ความครึกครื้นของทั้งสนามถูกจุดปะทุขึ้นอีกครั้ง แววตาของคนทั้งหลายเต็มไปด้วยการรอคอย

ไม่นานนัก บนเวทีประลองก็ปรากฏร่างของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นคนหนึ่งช้าๆ

ผู้เข้าร่วมประลองคนใหม่ผู้นี้อายุราวๆ ยี่สิบปี เป็นบุรุษหนุ่มที่ท่าทางสุขุมและสำรวมอย่างเห็นได้ชัด

ตั้งแต่อยู่ที่ตระกูลจ้าวมาจนถึงเวทียิ่งใหญ่นอกดินแดนอย่างในวันนี้ ผู้เยาว์ในยามก่อนได้กลายมาเป็นบุรุษที่โตเป็นชายเต็มตัวแล้ว

“เขาคือจ้าวเฟิง?” แววตาของบรรดาผู้ชมจับจ้องไปยังร่างของผู้เยาว์คนดังกล่าว มีทีท่าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด ผู้ท้าชิงคนใหม่ผู้นี้ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นตรงไหน พลังฝึกตนก็สู้เย่หมัวอวี่คนก่อนไม่ได้

“เป็นเจ้าเด็กนี่?” แววตาของผู้เฒ่าชุดสีแดงสดหรี่เล็กลงน้อยๆ ก่อนกวาดผ่านไปที่หลี่อวิ๋นหยาผู้อยู่ด้านล่างเวที

ถ้าหากว่าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ จ้าวเฟิงและหลี่อวิ๋นหยาคือพวกเดียวกัน

“เหอะ!ฝีมือด้อยกว่าข้ายังคิดจะมาประลองเอาชนะร้อยครั้งรวด” แววตาของเย่หมัวอวี่เย็นชา กำมือสองข้างแน่น รู้สึกเหมือนโดนดูถูกอย่างประหลาด

“ประลองชนะร้อยครั้งรวด รอบที่หนึ่ง” กรรมการตัดสินในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ในมุมหนึ่ง

เย่หมัวอวี่จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา เขาอยากเห็นจ้าวเฟิงพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพด้วยตาของตนเองก่อนจึงจะจากไป

“เหอะเหอะ เจ้าเด็กคนนี้ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น สามารถชนะได้ห้าหกครั้งติดๆ กันก็นับว่าปาฏิหารย์แล้ว” เสียงถกเถียงในบริเวณรอบๆ บังเอิญตรงกับใจของเย่หมัวอวี่พอดี

บนเวทีประลอง

จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “เกียรติยศของการชนะประลองร้อยครั้งรวด ให้ข้าเป็นคนรับไว้แล้วกัน”

พูดมาได้ไม่อายปาก!

เหล่าผู้ชมในสนามประลองจำนวนมากล้วนแต่กลอกตา

ใบหน้าของเย่หมัวอวี่เกร็งกระตุกรุนแรงครั้งหนึ่ง เจ้าเด็กคนนี้เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน?

นี่สำหรับผู้ที่พ่ายแพ้อย่างเขายิ่งเป็นการดูหมิ่นมากกว่าเดิม

“เหอะเหอะ เจ้าหนุ่ม หากเจ้าชนะไม่ถึงสิบครั้งติดต่อกัน เกรงว่าค่าสมัครประลองเจ้าก็คงจะไม่ได้คืน” ผู้เฒ่าในชุดสีแดงยิ้มเยาะ

แล้วในเวลานี้เอง

บนเวทีประลองก็มีคู่ต่อสู้คนแรกเข้ามาประลองกับจ้าวเฟิง

“เจ้าหนุ่ม ให้ข้าที่เป็นผู้เข้าชมเล่นเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน” ผู้สูงศักดิ์วัยกลางคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำคนหนึ่งถูมือเตรียมสู้ แล้วขึ้นมาบนสนามประลองด้วยท่าทางนึกสนุก

ผู้สูงศักดิ์วัยกลางคนผู้นี้เป็นแขกที่มานั่งชม ฝึกตนอยู่เพียงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น พลังเทียบเท่าได้กับจ้าวเฟิง

การประลองชนะร้อยครั้งติดต่อกันในยามก่อนๆ คนที่เข้ามามีส่วนร่วมมักเป็นผู้เข้าชม ทางการของสนามประลองไม่ได้เข้มงวดในเรื่องนี้เท่าไหร่ ขอแค่ชนะไม่เกินห้าสิบครั้งติดกันก็จะไม่ได้รับความสนใจอะไรจากทางการ

“เริ่มได้” กรรมการตัดสินโบกมือ

ผู้สูงศักดิ์วัยกลางคนหัวเราะอย่างเบิกบาน ส่งกำปั้นข้างหนึ่ง ไอสวรรค์ในฟ้าและดินก็ร้องสะเทือนเลือนลั่น ตามมาด้วยเสียงสายฟ้าและเสียงลมกึกก้องตรงดิ่งไปที่จ้าวเฟิง

กำปั้นนี้ ถ้าหากว่าสำแดงที่ทวีปธรรมดาอาจจะถล่มภูเขาได้ทั้งลูก

 

แต่ทว่าที่นี่คือสนามประลองของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า อาณาเขตและพลังที่รุนแรงของแต่ละกระบวนท่าล้วนแต่โดนควบคุมเอาไว้

“ฟุ่บ!” ผู้สูงศักดิ์วัยกลางคนโดนโจมตีไปกลางอากาศ ร่างกายแข็งทื่อแล้วกระเด็นออกไปในทันที

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ผู้สูงศักดิ์ในวัยกลางคนมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ร่างกายเสมือนว่าโดนพลังที่รุนแรงผลักออกไปนอกเวที

โครม!

เมื่อร่วงลงไปบนพื้น ผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นก็กระอักเลือดออกมา

ภายในสนามประลองเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ความสนุกครื้นเครงหรือแม้แต่รอยยิ้มก็เหมือนจะแข็งค้างไป

พู่ว!

จ้าวเฟิงยกมือขึ้นเป่ากำปั้นของตนเองเบาๆ แล้วร่อนลงบนพื้น

“แค่นี้ก็จบแล้วรึ? ความเร็วช่างน่าตื่นตะลึงนัก!” เหล่าผู้ชมในสนามเพิ่งจะมีสติกลับมา

คนจำนวนมากยังมองร่องรอยการเคลื่อนกายและการลงมือของจ้าวเฟิงไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ

ผู้เฒ่าชุดแดงสดใจเต้นระรัว ผู้เข้าร่วมประลองคนใหม่ผู้นี้รวดเร็วเฉียบไวเหลือเกิน

นึกถึงคราวก่อนที่หลี่อวิ๋นหยายังต้องยอมเชื่อฟังผู้ท้าชิงคนใหม่ผู้นี้ ใจของผู้เฒ่าชุดคลุมสีแดงสดก็รู้สึกกระวนกระวาย

ภายในอัฒจันทร์ ตรงกลางที่นั่งแขกผู้มีเกียรติ

“หมัดเมื่อครู่นี้ใช้เพียงแรงจากกล้ามเนื้อเท่านั้น ร่างกายของเด็กคนนี้เทียบเท่ากับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ตัวหนึ่งได้เลย” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยพึมพำ

เนื่องด้วยเป็นการประลองที่ต้องชนะร้อยครั้งติดต่อกัน จ้าวเฟิงเพิ่งเริ่มสู้ เขาจึงไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่

แต่ทันทีที่เริ่มลงมือก็ทำให้คนจำนวนมากประหลาดใจแล้ว

“รอบที่สอง” กรรมการโบกมือน้อยๆ

วูบ!

ผู้ต้องการประลองด้วยอีกคนทะยานออกมาจากที่นั่งของผู้เข้าชมอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่บินเข้ามานั้นเป็นชายหนุ่มตัวผอม กลิ่นอายพลังรุนแรงยิ่งกว่า จิตสังหารที่เต็มไปด้วยประสบการณ์มากมายทะลักออกมา

อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้นเหมือนกัน แต่พลังของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้สูงศักดิ์คนก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“พยัคฆ์เหินฟ้า! ”

ร่างของชายหนุ่มร่างผอมสั่นน้อยๆ เคลื่อนไหวรวดเร็วราวเสือดาวเหิน หอบเอาลมรุนแรงพุ่งทะลวงจากฟ้า ตรงไปยังเรือนร่างของจ้าวเฟิงประหนึ่งสายฟ้าฟาด

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มร่างผอมคนนี้เป็นยอดฝีมือที่ถนัดในเรื่องความเร็วและมีประสาทสัมผัสที่ว่องไว

“โครม ตูม! ”

เสียงระเบิดจากการพุ่งปะทะกันดังกึกก้องขึ้นระหว่างจ้าวเฟิงและชายหนุ่มรูปร่างผอมคนดังกล่าว

 

จ้าวเฟิงยังยืนสงบอยู่ที่เดิม แทบจะไม่ได้หลบหนีไปไหน จากนั้นปล่อยหมัดเพียวๆ พุ่งเข้าปะทะในทันที

และในวินาทีที่ปล่อยหมัดออกไปนั้นเอง เลือดเนื้อในร่างกายของจ้าวเฟิงก็ระเบิดกลิ่นอายที่น่ากลัวของอสูรบรรพกาลออกมา

ชายหนุ่มร่างผอมเหมือนว่าจะหายใจไม่ออก

“แกร๊ก! ”

แขนของชายหนุ่มร่างผอมหักออกจากร่าง กระอักเลือดออกมาแล้วลอยตัวจากไป

สยบศัตรูได้ด้วยกระบวนท่าเดียว!

ภายในสนามประลองเกิดระลอกแห่งความตื่นตระหนกขึ้นอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงยังไม่ได้แสดงพลังอะไรที่แข็งแกร่งมากมายออกมา แต่ว่าการใช้กระบวนท่าเพียงท่าเดียวสังหารคนในระดับขั้นเดียวกันอย่างรวดเร็วฉับไว วิธีการรุนแรงง่ายดายนั้นสะท้านใจคนดูอย่างยิ่ง

“ร่างกายของเด็กคนนี้เหมือนมีกลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลอย่างหนึ่งแฝงอยู่ เกรงว่าจะใกล้เคียงกับสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ”

เจ้าตำหนักหย่งเฟิงกวาดตาผ่าน มีความตกใจเกิดขึ้นในแววตา

อนึ่ง เขายังสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายสายเลือดในร่างของจ้าวเฟิงบริสุทธิ์ยิ่งกว่า

เย่หมัวอวี่เสียอีก

“รอบที่สาม…”

ในสนามประลอง จ้าวเฟิงก็เผชิญหน้าการประลองครั้งใหม่เรื่อยๆ

พลั่ก!

หมัดธรรมดาๆ ไม่มีอะไรพิสดารตรงดิ่งไปหาคู่ต่อสู้อีกครั้ง

ผู้ท้าชิงในช่วงต้นๆ ส่วนมากเป็นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น อย่างมากสุดก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง

ชนะสามครั้งรวด…สี่ครั้งรวด…ห้าครั้งรวด!

การชนะติดต่อกันของจ้าวเฟิงรวดเร็วกว่าเย่หมัวอวี่ในช่วงแรกๆ ไม่น้อย

“รวดเร็วยิ่งนัก ยังมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ นี่มันกดขี่คนในระดับเดียวกันชัดๆ” เย่หมัวอวี่สติหลุดลอยไปเล็กน้อย

ความเร็วของจ้าวเฟิงรวดเร็วกว่าเขาในยามที่ไม่ได้ใช้พลังสายเลือดด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเฟิงไม่เพียงแต่รวดเร็ว พลังของร่างกายก็น่ากลัวหาใดเปรียบ

ชนะเจ็ดครั้งรวด…แปดครั้งรวด…เก้าครั้งรวด!

เวลาไม่นานจ้าวเฟิงก็ตั้งรับการประลองในครั้งที่สิบแล้ว

“ให้ข้าเอง!” เสียงต่ำๆ ดังมาจากฝั่งส่วนกลางของลานประลอง

ผู้มาใหม่เป็นชายฉกรรจ์ผิวดำ กล้ามเนื้อทั่วร่างเป็นประหนึ่งรูปหล่อสำริดที่สาดพลังเยือกเย็นแกร่งกล้าออกมา

ตุบ!

ยามเมื่อชายฉกรรจ์ผิวดำร่อนลงมา เวทีประลองสั่นน้อยๆ แสดงถึงพลังโจมตีที่แข็งแกร่งราวสัตว์อสูรตัวใหญ่

“เป็นเขานี่เอง…ราชันโลหะทมิฬ! ”

ผู้เข้าชมในสนามจำนวนไม่น้อยต่างตกอกตกใจเมื่อนึกสถานะของผู้มาเยือนออก

พลังฝึกตนของราชันโลหะทมิฬอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง อีกทั้งเป็นผู้ฝึกตนที่เน้นการฝึกฝนร่างกาย

“ทลายพสุธา! ”

ราชันโลหะทมิฬเป็นดุจสัตว์อสูรตัวใหญ่ เมื่อชูฝ่ามือขึ้น เงารูปกระถางสำริดสีดำเย็นยะเยือกขนาดใหญ่ก็กดทุกสรรพสิ่งลงไป

“เคล็ดวิชาสายเลือดที่เปลี่ยนรูปร่างของพลังกายโดยตรง” จ้าวเฟิงเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย

ในการประลองครั้งที่สิบ ในที่สุดก็ได้พบคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจขึ้นสักหน่อย

ด้วยเพราะว่าการประลองในครั้งที่สิบมีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าไม่สามารถชนะสิบครั้งติดกัน เช่นนั้นขนาดค่าสมัครเข้าประลองก็ไม่ได้คืน

“ทำลาย!” จ้าวเฟิงคำรามเสียงต่ำ ภายในเลือดเนื้อกระดูกทั้งร่างระเบิดพลังกายมหาศาลจากแหล่งกำเนิดพลังบรรพกาลออกมา

อ๊าก~

ในวินาทีที่ยื่นฝ่ามือออกไป รอบกายของจ้าวเฟิงเสมือนมีเสียงคำรามของสัตว์อสูรจากยุคบรรพกาล กลิ่นอายที่รุนแรงป่าเถื่อนนั้นพุ่งทะลักมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ส่งผลให้ราชันโลหะทมิฬรู้สึกหายใจไม่ออก

“พลังสายเลือดของข้า กลิ่นอายจากร่างของเจ้าเด็กนั่น…” เลือดเนื้อร่างกายและจิตใจของราชันโลหะทมิฬสั่นสะท้านอย่างแปลกประหลาด

โครม ฉัวะ!

เงาทรงกระถางสำริดที่เคล็ดวิชาสายเลือดของเขาสร้างขึ้นถูกจ้าวเฟิงใช้หมัดเดียวทำลายจนสูญสลาย

อึก!

ราชันโลหะทมิฬกระอักเลือดออกมาในทันที ร่างกายก็กระเด็นออกไป

ชนะสิบสนามรวด!

จ้าวเฟิงมีท่าทีเรียบนิ่ง ใจสงบ

ตั้งแต่เริ่มประลองมาจนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้ใช้ปราณที่แท้จริงเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว และก็ยังไม่ได้ใช้พลังสายเลือดเลยด้วย

ในระยะเวลาหนึ่งปี การสูดกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลและการอาบเลือดหัวใจวาฬทั้งสอง ทำให้แก่นแท้ชีวิตของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติหลายครั้งจนเหมือนเกิดใหม่

แล้วในวันนี้

สภาวะวิญญาณของเขาก็แตะไปถึงขีดจำกัดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงแล้ว

ในด้านของพลังกาย เลือดหัวใจวาฬสามารถช่วยเพิ่มพลังให้อย่างมาก การหลอมรวมของกลิ่นอายของห้วงฝันบรรพกาล ทำให้เขาคล้ายกับหลอมรวมเข้ากับช่วงเวลาบรรพกาลนั้นด้วย พลังก็เทียบเท่ากับสัตว์อสูรในระดับเดียวกัน

ไม่เพียงเท่านั้น พลังของเลือดเนื้อของจ้าวเฟิงยามเมื่อโจมตีสุดกำลังยังมีกลิ่นอายของแหล่งกำเนิดพลังบรรพกาล ซึ่งเหนือกว่าพลังสายเลือดธรรมดาทั่วไปอยู่ด้วย

“นอกเหนือจากสายเลือดใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ ยังมีสายเลือดหายากอะไรอีก ถึงสามารถข่มสายเลือดมากมายเช่นนี้ได้” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงแววตาเป็นประกายยามเอ่ยพึมพำ

หลังจากชนะไปสิบครั้งรวดแล้ว จ้าวเฟิงก็ไม่ได้หยุดพัก ยังคงประลองต่อไป

ถึงอย่างไรประลองมาจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้ใช้ปราณที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย

ชนะสิบเอ็ดสนามรวด สิบสองครั้งรวด…สิบห้าครั้งรวด!

ผลงานการประลองของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นไม่หยุด

คู่ต่อสู้ทุกราย เขาใช้เพียงกำปั้นธรรมดาๆ ต่อยกระเด็นออกไป แล้วกำราบพลังสายเลือดของฝ่ายตรงข้าม

“ชนะยี่สิบครั้งรวดแล้ว!” ในสนามประลองฉับพลันเกิดเสียงฮือฮา

ตามกติกาของการประลองชนะร้อยครั้งรวด ขอเพียงแค่ผู้ท้าชิงชนะสิบครั้งติดกันต่อวันก็จะมีสิทธิ์พักได้

แต่จ้าวเฟิงชนะยี่สิบสนามติดกันโดยไม่หยุดพัก ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ จนถึงตอนนี้เขายังไม่มีทีท่าเหนื่อยล้าใด ยังไม่เห็นเขาใช้ปราณที่แท้จริงและพลังสายเลือดด้วยเช่นกัน

“เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่ผู้ฝึกฝนร่างกายโดยเฉพาะ เป็นเพียงแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น แต่กลับ…”

ในดวงตาของเย่หมัวอวี่มีวี่แววประหลาดใจ ประลองวันแรกชนะไปยี่สิบครั้งติดต่อกัน เป็นสถิติที่เย่หมัวอวี่เคยทำไว้

แต่ทว่า ในวันแรกที่เย่หมัวอวี่ชนะการประลองไปยี่สิบครั้งติดต่อกันก็อ่อนล้าอยู่ไม่น้อย จึงไม่ได้ประลองต่อ

ในขณะนี้ จ้าวเฟิงยังไม่ได้แสดงพลังใดที่เหนือกว่าเย่หมัวอวี่ แต่ว่าชายหนุ่มที่น่ากลัวคนนี้ จนถึงตอนนี้ยังไม่ได้ใช้ปราณที่แท้จริงและพลังสายเลือดเลยด้วยซ้ำ

คงมีเพียงคำว่า ‘ลึกล้ำเกินประมาณ’ จึงจะอธิบายถึงบุรุษหนุ่มผู้นี้ได้

เวลาครึ่งชั่วยามต่อมา

“พลั่ก!”

จ้าวเฟิงชูกำปั้นขึ้น ปรากฏกลิ่นอายสีม่วงอ่อน แล้วเสยยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายคนหนึ่งกระเด็นออกไป

โฮ่!

ในสนามประลองเกิดเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

“สามสิบครั้งติดต่อกัน!”

กรรมการที่ลืมสติไปแล้วเล็กน้อยเอ่ยประกาศ

ประลองชนะไปสามสิบครั้งติดต่อกันในช่วงเวลาเพียงครู่เดียว บุรุษหนุ่มคนนี้ใช้เพียงปราณที่แท้จริงเพียงเล็กน้อย

ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาจะประลองไปถึงร้อยครั้งก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

“เป็นเพราะไม่มีคู่ต่อสู้ การประลองชนะร้อยครั้งติดของวันนี้จึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เป็นการชั่วคราว”

ผู้เฒ่าชุดสีแดงสดโบกมือขัดระหว่างการประลอง สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลง ลอบพึมพำว่าเจ้าเด็กคนนี้พลังแข็งกล้านัก จะต้องยืดเวลาคิดหากลยุทธ์มารับมือในวันพรุ่งนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!