Skip to content

King of Gods 759

King Of Gods

บทที่ 759 ยอดราชันทั้งสาม

สิบสามแคว้นเมฆา แคว้นเมฆาคล้อย

เทือกเขานภาจันทร์ บนยอดเขาห่างไกลที่เขียวชอุ่มลูกหนึ่ง จ้าวเฟิงลอยตัวนิ่งกลางลมเขา กวาดสายตามองไปทั่วสำนักจันทร์สลาย ทิวทัศน์ที่เป็นระเบียบเรียบร้อยทำให้เขาดื่มด่ำกับความสงบชั่วขณะตรงหน้า

เวลาผ่านมาหลายปี

ในสำนักยังคงมีผู้คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ไม่น้อย

ใบหน้าที่คุ้นเคยเหล่านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นเคยลูกศิษย์ระดับต่ำของสำนัก แต่ว่าในวันนี้คนเหล่านั้นกลายเป็นคนในระดับสูงและกลางแล้ว

จ้าวเฟิงเห็นหลินฝานผู้เคยเป็นคนนอก ส่วนในวันนี้กลายเป็นรองเจ้าหอและฝึกตนอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ในความทรงจำ เด็กสาววัยแรกรุ่นอย่าง ‘หลันเสี่ยวหยวน’ ตอนนี้ก็กลายเป็นผู้อาวุโสหญิงที่สูงส่งผุดผาดของสำนัก

ในอดีต หยางชิงซานและหนานกงฟานที่ออกจากเมืองก่วงจวินมาพร้อมกันก็กลายเป็นผู้คุมกฎของสำนักไปแล้ว

สำนักจันทร์สลายในวันนี้มีพละกำลังทั้งหมดเทียบเท่าได้กับสำนักระดับครึ่งดาว ภายในสำนัก มีผู้อาวุโสหรือเจ้าหอที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงถึงยี่สิบกว่าคน

ณ ในมุมหนึ่งของสำนักจันทร์สลาย

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีเข้มผู้หนึ่งดื่มสุราเมามายเละเทะ แต่ว่าทั้งสิบสามแคว้นเมฆาไม่มีใครกล้าดูถูกเขา

เขาคือยอดฝีมือในขั้นนายเหนือแท้ของสำนักจันทร์สลาย…นายเหนือแท้เซียวเหยา!

ส่วนนายเหนือแท้อีกคนคือของสำนักจันทร์สลายก็คือ ‘หลินทง’ ผู้ครอบครองเนตรลบสวรรค์

นายเหนือแท้ทั้งสองคนนี้บ้างถูกจ้าวเฟิงให้เป็นข้ารับใช้ บ้างก็โดนหักหลังจากพันธะสัญญาโลหิตที่ลงนามเอาไว้

ในความเป็นจริง ในขณะที่จ้าวเฟิงกลับมาที่ทวีปบุปผาคราม หลินทงและนายเหนือแท้เซียวเหยาล้วนแต่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองอย่างหนึ่งขึ้น

คนแรกมีเมล็ดดวงใจทมิฬ ส่วนคนหลังมีพันธะสัญญาโลหิต

“ศิษย์น้องจ้าว” เสียงชายหนุ่มร่างบึกบึนดังมาจากข้างกาย

ผู้ที่มาเยือนคือหยางกานเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักจันทร์สลาย และเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั่วแคว้นเมฆา

“ศิษย์พี่หยาง” จ้าวเฟิงยิ้มออกมาเล็กน้อย

หยางกานและเขาล้วนเป็นศิษย์ของผู้อาวุโส ในตอนนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนถือว่ากลมเกลียวกัน

“ศิษย์น้องจ้าว การกลับมาของเจ้าในครั้งนี้เหมือนจะแตกต่างกว่าในยามก่อนอยู่บ้าง” หยางกานถามเอ่ยอย่างแปลกใจเล็กน้อย

ในสายตาของหยางกานจ้าวเฟิงเป็นคนที่บ้าคลั่งการฝึกตนผู้หนึ่ง กลับมาเมื่อคราก่อนฉุกละหุกอย่างยิ่ง

แต่ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงกลับมาสิบกว่าวัน เวลาส่วนใหญ่มีท่าทางสงบและผ่อนคลาย

ตั้งแต่ที่กลับมา จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ฝึกตน แต่เดินเล่นวนไปมา เข้ากับสีหน้าที่ละม้ายว่าป่วยเล็กน้อย เหมือนกับเขาเป็นคนเจ็บไข้ที่กลับมารักษาตัวที่บ้านเกิด

จ้าวเฟิงยิ้มแย้ม แต่ไม่ได้อธิบายอะไร

จากนั้นจ้าวเฟิงและหยางกานก็เดินเล่นรอบสำนักจันทร์สลายด้วยกันสักพัก

“คารวะท่านเจ้าสำนัก” ระหว่างทางสมาชิกหรือศิษย์ในสำนักล้วนแต่แสดงความเคารพ

มีศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่บางคนไม่รู้จักจ้าวเฟิง จึงพากันมองสำรวจอย่างประหลาดใจ

ส่วน ‘เหล่าคนเก่าคนแก่’ ที่รู้จักจ้าวเฟิง ในแววตาเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง ความเทิดทูนมากเสียยิ่งกว่าที่มีต่อเจ้าสำนักด้วยซ้ำไป

ระหว่างทาง จ้าวเฟิงและท่านผู้เฒ่าจาง ผู้เฒ่ากวน รองเจ้าหอทั้งสองที่เป็นทั้งอาจารย์และเพื่อนในสมัยก่อนก็เล่นหมากรุก คุยเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาด้วยกัน

ในบทสนทนา ผู้เฒ่าทั้งสองก็ยังคงมีท่าทีเสียดายที่จ้าวเฟิงไม่เลือกเข้าร่วมกองทัพหรือศาสตร์หลอมโอสถอยู่

ตอนพลบค่ำ จ้าวเฟิงและหยางกานก็เดินมาถึงจวนของยอดผู้อาวุโส

ยอดผู้อาวุโสที่เดิมทีแขนขาดไปข้างหนึ่งทดแทนด้วยแขนโลหะสีเขียวเงินเอาไว้

นั่นเป็นตอนที่จ้าวเฟิงกลับมาคราวก่อนเพื่อช่วยอาจารย์ควบคุม ‘วงแหวนทมิฬ’ พอดี

ในวันนี้ พลังฝึกตนของยอดผู้อาวุโสห่างจากขั้นนายเหนือแท้เพียงครึ่งก้าว ด้วยครอบครอง ‘วงแหวนทมิฬ’ ที่ทำเป็นพิเศษ จึงทำให้สามารถประมือกับคนในขั้นนายเหนือแท้ได้

จ้าวเฟิงกลับมาครานี้ ไม่ได้มีความคิดจะช่วยหาวิธีการต่างๆ มาเพิ่มพลังฝึกตนของเพื่อนเก่า

ทางแห่งการฝึกบำเพ็ญตนลำบากยากเข็ญ ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถออกไปนอกดินแดนได้

บางครั้งการเป็นกบในกะลาไม่ได้แปลว่าจะแย่เสมอไป

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงกลับมาครั้งนี้ได้นำของขวัญหนึ่งชิ้นที่เหมือนกันมามอบให้กับอาจารย์ทั้งสองและบิดามารดา นั่นก็คือ…‘น้ำอมฤต’

น้ำอมฤตสามารถเพิ่มอายุได้นับพันปี ทำให้ชีวิตร่างกายเปลี่ยนแปลงเหมือนเกิดใหม่

เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากน้ำอมฤต สภาวะวิญญาณของยอดผู้อาวุโสและคนอื่นๆ ท้ายที่สุดจะเทียบเท่าหรือเหนือกว่าขอบเขตก่อกำเนิด

“เฟิงเอ๋อร์ ตอนนี้ลัทธิมารจันทราชาดสร้างความปั่นป่วนทั่วแผ่นดิน ผลกระทบต่อแคว้นเมฆาคล้อยของพวกเราไม่มากมายนัก แต่ว่าที่ดินแดนกลับเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ถ้าหากเป็นไปได้อยากจะขอแรงเจ้าสักหน่อย” ยอดผู้อาวุโสเปิดปากเอ่ย

การกลับมาครั้งนี้ ระดับขั้นของจ้าวเฟิงเหนือกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก ดูจากที่มอบน้ำอมฤตให้เป็นของขวัญก็สามารถมองอย่างอื่นออกได้

“ท่านอาจารย์อย่ากังวล ข้าให้ข้ารับใช้ของข้าไปจัดการลัทธิมารจันทราชาดแล้ว”

จ้าวเฟิงจิบสุราวิญญาณชั้นยอดที่เขาเอามาจากต่างแดน

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่ข้างกายเขาเองก็กอดกาสุราเอาไว้ ดวงตาของมันเลื่อนลอย

ยอดผู้อาวุโสและหยางกานสบตากัน นอกเหนือจากความตกใจยังรู้สึกแปลกประหลาดใจด้วย

หรือว่าจ้าวเฟิงหยิ่งผยองจนคิดว่าอาศัยแรงของข้ารับใช้เพียงคนเดียวก็จะกำราบลัทธิมารจันทราชาดได้?

แต่พวกเขาเองก็รู้ว่าจ้าวเฟิงไม่ใช่คนที่อวดดีหยิ่งผยองอะไรแน่

บางทีลัทธิมารจันทราชาดอาจไม่มีคุณสมบัติให้จ้าวเฟิงต้องลงมือด้วยตนเองแล้วจริงๆ

วันต่อมา จ้าวเฟิงเดินทางออกจากสำนักจันทร์สลาย จากนั้นสังสรรค์กันเล็กน้อยกับผู้เฒ่าซู่แห่งพันธมิตรสังหารมังกร

ถึงแม้แคว้นเมฆาจะเป็นพื้นที่ห่างไกล แต่อำนาจอิทธิพลกลับไม่อาจมองข้ามไปได้

พันธมิตรสังหารมังกรซึ่งควบคุมอาณาเขตของแคว้นที่ยิ่งใหญ่สองแห่งในยามก่อน ฐานหลักของมันกลับตั้งอยู่ที่แคว้นเมฆาคล้อย

จ้าวเฟิงพอจะเข้าใจถึงผลกระทบจากลัทธิมารจันทราชาดที่ส่งผลต่อแคว้นเมฆาจากผู้เฒ่าซู่

พูดโดยรวมได้ว่า แคว้นเมฆาขาดแคลนทรัพยากร อีกทั้งห่างไกลอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่จุดหลักที่ลัทธิมารจันทราชาดให้ความสำคัญอีกแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหอโครงกระดูกในตอนนั้น หลังจากถูกจ้าวเฟิงถอนรากถอนโคนอำนาจที่มีในแคว้นเมฆาไปจนหมดสิ้นแล้ว แคว้นเมฆาจึงถือว่าผาสุขเรื่อยมา

อาจจะมีบ้างที่พวกคนชั่วที่เหลือจากจันทราชาดจะหนีหัวซุกหัวซุนมายังแคว้นเมฆาก็จะถูกพันธมิตรสังหารมังกรกำจัดทิ้งไป

หลายวันต่อมา จ้าวเฟิงไปอยู่เป็นเพื่อนบิดามารดาและท่านอาจารย์เจ้าเมืองก่วงจวิน

คนที่รู้จักจ้าวเฟิงทั้งหมดต่างรู้สึกประหลาดใจ ผู้ที่บ้าคลั่งการฝึกตนในอดีตคนนั้นเหตุใดถึงเปลี่ยนมาเอื่อยเฉื่อยเช่นนี้?

“ในช่วงเวลาสุดท้ายที่เหลืออยู่ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านอาจารย์ พ่อแม่ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง และสหาย…”

ในกลางคืนที่เงียบสงัด จ้าวเฟิงเหม่อมองไปบนฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

รอให้เรื่องของทางทวีปบุปผาเสร็จสิ้นหมดแล้ว จ้าวเฟิงก็จะมุ่งหน้าไปยังดินแดนทวีปที่ไกลแสนไกล

แล้วต่อจากนั้นเรื่องราวทั้งหมดที่ทวีปบุปผาครามจะยิ่งไกลตัวจ้าวเฟิงไปทุกที

ก่อนหน้าเวลานั้น จ้าวเฟิงดื่มด่ำกับความสงบสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน อยู่กับทุกๆ คนในชีวิตทั้งมิตรสหายและอาจารย์

เพียงพริบตาเดียว จ้าวเฟิงก็อยู่แคว้นเมฆามาได้เดือนสองเดือนแล้ว

ในเดือนสองเดือนนี้

รอยเท้าของจ้าวเฟิงย่ำไปทุกแห่งหนในแคว้นเมฆา แต่ที่สำคัญก็คือ สถานที่เหล่านี้ล้วนแต่เป็นที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำอย่างลึกซึ้งในอดีตที่ผ่านมา

ในระหว่างนั้น จ้าวเฟิงพักอยู่ตำบลใบไม้เขียวที่เมืองประกายอรุณสักหลายวัน

จ้าวเฟิงถึงขนาดยังใช้วิธีพิเศษเข้าไปเที่ยวเล่นภายในตำหนักยอดนภา

มรดกในระดับขั้นตำหนักยอดนภาไม่อยู่ในสายตาจ้าวเฟิงอีกต่อไปแล้ว

ด้วยความต้องการของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย จ้าวเฟิงจึงไปยังห้องเก็บสมบัติที่เขาได้รับผ้าคลุมเงาหยินและไข่ของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยมาอีกครั้ง

จนถึงในเวลานี้ ภายในห้องเก็บสมบัติก็ยังคงมีของจำนวนน้อยนิด สำหรับผู้สูงศักดิ์แล้วถือได้ว่าเป็นของมีค่าที่ไม่เลวร้ายอะไร

จ้าวเฟิงวิเคราะห์แจกแจงได้ว่า ผู้สร้างตำหนักยอดนภาอย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชัน

“ดูไปแล้วไข่ของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

เจ้าของตำหนักยอดนภาคนแรกชื่นชอบการสะสมสิ่งของ ของที่ไม่สามารถชี้ชัดได้หรือมีลักษณะพิเศษจะถูกเก็บเข้าไปในห้องเก็บสมบัติ

ภายในห้องเก็บสมบัติรวมไปถึงพื้นที่อื่นๆ ของตำหนักยอดนภายังมีของล้ำค่าอยู่บ้าง

แต่ว่าจ้าวเฟิงก็ไม่ได้แตะต้องสิ่งใด ทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลัง

เขาไม่เพียงแต่ไม่ฉกฉวยเอาสิ่งของใดไป แต่ยังเพิ่มของล้ำค่าหรือมรดกส่วนหนึ่งเข้าไปในตำหนักยอดนภาด้วย

ของที่ได้มาจากการเอาชนะเหล่าผู้สูงศักดิ์และราชันบางส่วนจากต่างแดน หรือมรดกกับของล้ำค่าที่ไม่เลวบางส่วน ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรกับจ้าวเฟิงอีกแล้ว เขาจึงทิ้งไว้ที่ตำหนักยอดนภา

ในวันนี้ จ้าวเฟิงที่กำลังเอนกายอยู่บนเนินเขาของสำนักจันทร์สลายเกิดสัมผัสถึงบางอย่างได้ในฉับพลัน

“เอ๊ะ?”

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของราชันหลายกลุ่มมาถึงทวีปบุปผาคราม แล้วรีบเก็บงำไว้อย่างรวดเร็ว

“เหอะเหอะ ในที่สุดก็มาแล้วเรอะ?” จ้าวเฟิงยิ้มเล็กน้อย สีหน้าท่าทางสบายอารมณ์ ก่อนมันจะค่อยๆ เลือนหายไป

วูบ!

ร่างจ้าวเฟิงสั่นน้อยๆ แล้วจึงหายตัวไปจากสำนักจันทร์สลาย

จากนั้นเพียงชั่วครู่ จ้าวเฟิงก็มาพบกับหญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงท่าทางเย้ายวนผู้หนึ่งที่แคว้นเมฆาคล้อย นางคือจงหว่านเอ๋อร์

“จ้าวเฟิง ผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักมารจันทรามาถึงทวีปบุปผาครามแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวว่าอยากพูดคุยกับเจ้า” จงหว่านเอ๋อร์กำตราถ่ายทอดข่าวสารไว้ในมือพลางเอ่ยอย่างระมัดระวัง

“พูดคุย? ตำหนักมารจันทรามีราชันสามคนหรือ?”

จ้าวเฟิงยิ้มออกมา

จงหว่านเอ๋อร์พูดไม่ออก เพราะตำหนักมารจันทรมีราชันในขอบเขตปราณเทวะเพียงคนเดียวเท่านั้น

ถ้าหากต้องการพูดคุยอย่างบริสุทธิ์ใจ ตำหนักมารจันทราคงไม่เชิญราชันขอบเขตปราณเทวะจากสำนักอื่นมาด้วย

จงหว่านเอ๋อร์ลอบมองจ้าวเฟิง พบว่าฝ่ายหลังยังมีท่าทีผ่อนคลาย จึงพอจะใจชื้นอยู่บ้าง

“ตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์” จงหว่านเอ๋อร์เอ่ยเสริม

“ได้”

จ้าวเฟิงไม่ลังเล เอ่ยลาคนในบ้านเกิดที่แคว้นเมฆา แล้วเดินทางจากไปพร้อมกับจงหว่านเอ๋อร์

ในขณะที่ผ่านอาณาจักรนภา

จ้าวเฟิงพบว่าสถานการณ์ของทวีปบุปผาครามเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจขึ้น

เจ้าหอโครงกระดูกเอาชนะกองกำลังจำนวนมากของลัทธิมารจันทราชาด ส่วนผู้ที่ไม่ยอมแพ้ก็สังหารทิ้งทีละคน

จ้าวเฟิงเข้าใจสถานการณ์ผ่าน ‘เมล็ดดวงใจทมิฬ’ เจ้าหอโครงกระดูกกำราบขั้วอำนาจจันทราชาดทางดินแดนตะวันตกและดินแดนใต้ แล้วจึงเข้านำกำลังคนบุกดินแดนกลางไปปะทะกับสาขาหลักของลัทธิจันทราชาด

อุปสรรคทั้งหมดที่ขวางกั้นด้านหน้าร้อยศพต้องสาปล้วนแต่ไร้ประโยชน์

เจ้าหอโครงกระดูกใช้หุ่นเชิดต้องสาปเพียงสิบกว่าร่าง ก็สามารถโจมตีกองทัพให้แตกกระจาย สะเทือนทวีปบุปผาคราม

ในเวลาเดียวกัน ภายใต้การโจมตีของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิมารจันทราชาดพ่ายแพ้ย่อยยับติดๆ กัน จนไม่อาจจะก่อปัญหาใดได้อีกแล้ว

นอกจากข่าวคราวที่อยู่ของเจ้าลัทธิจันทราชาดที่ยังไม่รู้แน่ชัด ลัทธิจันทราชาดก็วินาศไปสิ้น ไร้ซึ่งอำนาจใดแล้ว

วันนี้จ้าวเฟิงเดินทางไปยังดินแดนกลาง มาที่สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์

จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แกร่งกล้ากลุ่มหนึ่งจากที่ไกลๆ

หนึ่งในกลิ่นอายที่ทรงพลังที่สุดเป็นของราชันทั้งสาม นอกจากนี้แล้วก็มีสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงยอดฝีมือในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของสิบยอดสำนักด้วย

ภายในโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์

“เรียนผู้อาวุโสสูงสุด จ้าวเฟิงและจงหว่านเอ๋อร์มาถึงแล้ว”

ผู้อาวุโสจันทราเลือดของตำหนักมารจันทราผู้นั้นกำตราคำสั่งถ่ายทอดข่าวสารเอาไว้ แล้วค้อมกายเอ่ย

ตรงกลางของโถงใหญ่ไม่ใช่สมาชิกคนสำคัญหรือว่าเจ้าตำหนักของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นแสงสามกลุ่ม

สามกลุ่มแสงที่มีพลังพลังมหาศาลนี้ ทางซ้ายเป็นโครงกระดูกสีทองที่มีไอความตายลอยกรุ่น ทางขวาเป็นราชันลัทธิมารที่มีไอดำหมุนวนรอบกาย

ผู้ที่อยู่ตรงกลางเป็นสตรีในชุดสีเหลืองนวลสูงส่ง ราวกับเป็นดั่งเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ บรรยากาศที่รายล้อมมีกลิ่นอายอยู่เหนือราชันอีกสองคนโดยสิ้นเชิง

การดำรงอยู่ของ ‘พลังมหาศาล’ ทั้งสามทำให้ทั่วทั้งสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัดเป็นที่สุด

ไอสวรรค์ในฟ้าดินทั่วพื้นที่แห่งนี้เหมือนว่าแข็งทื่อไปแล้วอย่างนั้น

ด้านล่างเป็นคนในระดับสูงส่วนหนึ่งของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงรองเจ้าตำหนักผู้เป็นชายร่างกำยำผิวสำริด  ผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉิน และนักพรตป๋ายหยุน เป็นต้น

แต่ว่าผู้สูงศักดิ์ของดินแดนเหล่านี้ต่างหวาดกลัวจับใจ กลับไม่กล้าจะส่งเสียงใดในเวลานี้

ราชันปราณเทวะทั้งสามคนนี้เดิมเป็นสามราชันของดินแดนเกาะเทียนหลูที่อยู่ใกล้เคียง แต่กลับมาถึงสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์โดยทันทีทันใด

“จ้าวเฟิงนั่นทำอะไรผิดไปกันแน่ ถึงได้ชักนำยอดราชันทั้งสามมาเยือนถึงที่”

คนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์กระวนกระวายไม่สบายใจ

ในกลุ่มนั้นมีบุรุษหนุ่มเรือนผมสีดำยืนอยู่เบื้องหลังผู้สูงศักดิ์หยูซิงเฉิน สายตานิ่งลึกดังดวงดารา

ด้วยแรงกดดันจากพลังมหาศาลของราชัน ทำให้ใบหน้าของหยูเทียนฮ่าวเผยอาการไม่สบอารมรณ์ แต่กลับโดนหยูซิงเฉินผู้เป็นบิดายับยั้งเอาไว้

“ฮ่าวเอ๋อร์ อย่าผลีผลาม! หากทำอะไรผิดต่อราชันทั้งสามคนนี้เพียงนิดเดียวก็จะส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของทวีปบุปผาครามได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!