Skip to content

King of Gods 811

King Of Gods

บทที่ 811 ความสงสัยของจ้าวหยูเฟย

รอบนอกของซากปรักหักพังเมืองโบราณ

อัจฉริยะที่รุ่นใหม่และยอดฝีมืออาวุโสของกองกำลังต่างๆ ส่วนหนึ่งต่างจ้องมองไปที่แสงสีเงินดังกล่าวที่จากไปอย่างอุกอาจ

ขั้วอำนาจที่เข้าร่วมการไล่ล่าสังหารนั้น มีพวกแปดตระกูลชนชั้นสูงอย่างตระกูลเจีย ตระกูลต่ง ตระกูลสือ รวมไปถึงตระกูลเฉาและตระกูลจีที่ไม่ได้ลงมือ

นอกเหนือจากตระกูลชนชั้นสูงมากมายข้างต้นแล้ว ยังมี ‘จวนหยวนกง’ และสมาชิกของ ‘วังเก้านิรย’ ที่เป็นสำนักใหญ่สามดาวระดับสุดยอดด้วย

ถึงขั้นที่ว่าองค์ชายสิบสามแห่งราชวงศ์ต้าเฉียนยังเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

พวกคนที่ไล่ล่าสังหารเหล่านั้น ล้วนโดนกลุ่มของ ‘ชายชุดดำและชายผมม่วง’ ปล้นชิงหรือไม่ก็สร้างความปั่นป่วนมาก่อน

ในเวลานี้เอง

สีหน้าของพวกคนที่ไล่ล่าสังหารในเหตุการณ์ดังกล่าวต่างดูไม่ได้ เพราะพลาดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น จึงทำให้หัวขโมยสองคนนั้นหนีรอดไป

“กลุ่มของ ‘ชายผมม่วงและชายชุดดำ’ มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงล่วงเกินขั้วอำนาจมากมายเช่นนี้ในคราวเดียว?”

คนที่รุมดูส่วนหนึ่งยังหวาดกลัว

อย่างไรอัจฉริยะยอดฝีมือพวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นคนของขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ในราชวงศ์ต้าเฉียน

“จีหลาน เฉาอวิ๋น เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้าปล่อยหัวขโมยสองคนนั้นไป?”

‘เจียงเฉิน’ แห่งตระกูลเจียงเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

เมื่อครู่ หลังจากที่จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งฝ่าทะลวงการขัดขวางจากตระกูลเจียงไปได้แล้ว ยังผ่านไปทางจุดซ่อนตัวของจีหลานและเฉาอวิ๋นผู้เป็นยอดฝีมือของสองตระกูลด้วย

ถ้าหากว่าราชันทั้งสองอย่างจีหลานและเฉาอวิ๋นร่วมมือกันยื้อเอาไว้อีกสักหนึ่งสองช่วงลมหายใจ บางทีอาจจะสำเร็จก็เป็นได้

ในตอนนั้น

แววตาของคนทั้งหมดจับจ้องมาที่จีหลานและเฉาอวิ๋น

ทั้งสองหวาดกลัวอย่างยิ่ง บนหน้าผากผุดเหงื่อเย็นๆ ขึ้น จึงทำท่าทีรีบร้อนเดินมา

“นี่โทษพวกเราไม่ได้”

จีหลานยิ้มอย่างขมขื่น นึกถึงสายตาจากสายเลือดดวงตาซ้ายที่จับจ้องนางก่อนผละไปของเด็กหนุ่มผมม่วง

“เมื่อครู่พวกเราโดนเคล็ดพลังจิตของ ‘เด็กหนุ่มผมม่วง งั้นหรือ’ ?”

เฉาอวิ๋นใจกายสั่นระรัว

จีหลานเงียบขรึมไม่พูดอะไรเหมือนยอมรับกลายๆ

ในช่วงวินาทีสุดท้าย คนทั้งสองกำลังลังเลอยู่ว่าควรจะลงมือต่อจ้าวเฟิงหรือไม่

เพราะว่าพวกเขาและจ้าวเฟิงไม่ได้มีบุญคุณความแค้นที่ใหญ่หลวงต่อกัน ก็เพียงแค่เหยื่อที่กำลังไล่ล่าอยู่ถูกฝ่ายตรงข้ามล่าสังหารก่อนเท่านั้น

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!”

“เหลวไหล! เจ้าหัวขโมยผมม่วงนั่นมีพลังฝึกตนแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ วิชาสายเลือดดวงตา ของเขาจะส่งผลต่อราชันปราณเทวะได้อย่างไรกัน”

ยอดฝีมือของขั้วอำนาจต่างๆ ต่างแสดงออกว่าไม่เชื่อ

อย่างน้อยๆ ‘ข้ออ้าง’ นี้ไม่มีแรงจูงใจให้เชื่อแต่อย่างใด

“นี่คือเรื่องจริง!”

สีหน้าของจีหลานเย็นชา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ ‘เนตรดาราม่วง’ ของข้าเคยถูกสายเลือดดวงตาซ้ายของเขาตอบโต้กลับจนบาดเจ็บ ข้าถึงขั้นสังเกตได้ว่า ในกลุ่มสองคนนั้น เด็กหนุ่มผมม่วงต่างหากคือผู้นำและคนวางแผนการ”

ทันทีที่เอ่ยออกมาเช่นนี้ คลื่นความตกใจก็ปรากฏขึ้น จนทำให้เกิดความสงสัยที่เกินจะเชื่อถือได้มากมาย

“เด็กหนุ่มผมม่วงผู้นั้นมีพลังฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ จะเป็นผู้วางแผนการและผู้นำได้เชียวหรือ?”

“ข้าไม่เชื่อว่าราชันอย่างพวกเจ้าสองคนจะได้รับผลกระทบจากวิชาสายเลือดดวงตาของหัวขโมยขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำคนเดียว”

องค์ชายสิบสามแค่นเสียงเย็น

มีคนมากกว่าครึ่งที่ไม่เชื่อในคำพูดของจีหลาน และมีคนส่วนน้อยที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“เฮอะ! รอให้พวกเจ้าโดนจัดการก่อน อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”

จีหลานไม่แยแสจะอธิบายอะไรมากนัก

แต่เฉาอวิ๋นกลับเชื่อในคำพูดของนางโดยไร้ข้อสงสัยใด

“เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมถึงไม่กล้าลงมือต่อสู้กับพวกเขา…”

เฉาอวิ๋นสูดลมหายใจลึก

เขารู้ว่าตนเองได้รับผลกระทบจากสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง แต่ไม่ชัดเจนในรายละเอียดมากนัก ยังคงสับสนอยู่บ้างส่วนหนึ่ง

“ง่ายมาก”

จีหลานพ่นลมหายใจยาว แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “จ้าวเฟิงคนนั้นประสบความสำเร็จในการใช้ช่องโหว่ในจิตใจของเราสองคน ควบคุมและส่งผลกระทบต่อความคิดจิตใจของเรา”

อะไรนะ! เฉาอวิ๋นใจเต้นแรง เมื่อย้อนคิดอย่างละเอียจึงพบว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ

พวกเขาสองคนหวาดกลัวหวั่นเกรงในจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งอย่างมาก เรื่องจะลงมือหรือไม่นั้นก็สับสนอยู่จริงๆ หนำซ้ำจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งเพิ่งจะลงมือ ก็ทำร้ายเจียงเฉินจนเจ็บหนักด้วยกระบวนท่าเดียวคนทั้งสองจึงตื่นตกใจอย่างยิ่ง แล้วในก่อนหน้านี้ สายเลือดดวงตาของบจ้าวเฟิงยังโต้กลับทำร้ายจีหลานจนเจ็บหนัก

คนทั้งสองขาดความเชื่อมั่นและความกล้าไปโดยไม่รู้ตัว หรือถึงขั้นหวาดกลัวอยู่น้อยๆ

จ้าวเฟิงจับช่องโหว่ในใจของพวกเขาได้ และใช้สายเลือดดวงตาซ้าย ส่งผลกระทบควบคุมจิตใจในขณะที่ส่งรอยยิ้มชั่วร้ายดูพิกลนั้นออกมา

ขณะที่เกิดเรื่องทั้งหมด

ในใจของคนทั้งสองตกอยู่ในความหวาดกลัว สับสน และกริ่งเกรง จึงขาดความกล้าจะลงมือ ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คนทั้งสองยืนนิ่งมองดูจ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งหนีไปเต็มสองตา แต่กลับไม่ลงมือทำอะไร

“พวกเราพลาดไปเป็นเวลานานจริงๆ ถ้าหากว่าเมื่อครู่นี้จิตใจแน่วแน่กว่านี้ ตัดสินใจว่าจะลงมือ บางทีอาจพอยื้อคนทั้งสองเอาไว้ได้”

เฉาอวิ๋นอดเอ่ยอย่างเสียดายไม่ได้

แน่นอนว่ายิ่งคนทั้งสองหวาดกลัวจ้าวเฟิงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของคนผู้นี้

พรึ่บ——

พลังมหาศาลสายมารที่แกร่งกล้าหอบแรงกดดันน่าสะพรึงมาถึงพื้นที่บริเวณนี้

“นี่มันเรื่องอะไรกัน ปล่อยให้หัวขโมยสองคนนั้นหนีไปแล้วเรอะ?”

จิวอู๋จี้เร่งรุดมาถึง

ในเวลานั้น การต่อสู้แย่งชิงสมบัติบริเวณโครงกระดูกทองได้จบลงแล้ว

จ้าวเฟิง หนานกงเซิ่ง รวมไปถึงสกุลตวนมู่ ต่างเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุด ส่วนพวกราชันจิวอู๋จี้และกลุ่มคนอื่นๆ กลับถูกปั่นหัว

“เรื่องเป็นแบบนี้…”

เจียงเฉินแห่งตระกูลเจียงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อได้รู้เรื่องของกลุ่ม ‘ชายผมม่วงและชายชุดดำ’ หนีจากการไล่ล่าได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน ก็ทำให้ จิวอู๋จี้โกรธหนักขึ้นไปอีก

“คนของพวกเจ้าเยอะแยะขนาดนี้ แต่กลับปล่อยให้สองคนนั้นหนีไปได้?”

ในใจของจิวอู๋จี้โกรธเกรี้ยวอย่างหนักเกินกว่าจะระเบิดออกมา

เขาต้องพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของ ‘จ้าวหยูเฟย’ แต่นั่นก็ธรรมดา เพราะสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งอย่างมาก

แต่ในตอนนี้ เด็กที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามสร้างความอลหม่านแก่กลุ่มกองกำลังที่มีวังเก้านิรยร่วมอยู่ด้วย แถมยังช่วงชิงเอาผลประโยชน์จำนวนมหาศาลไปอีก

ความอุกอาจเช่นนี้ จิวอู๋จี้ทำอย่างไรก็ไม่อาจจะอดทนได้

“เจ้าหัวขโมยสองคนนี้มีพลังที่พิเศษ ความเร็วชวนให้ตะลึง จะรับมือสองคนนั่นต้องวางแผนให้ดี คิดให้ไกล”

น้ำเสียงชราเนิบนาบดังขึ้น

เจ้าของน้ำเสียงนี้คือผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวที่อยู่ข้างกายองค์ชายสิบสามนั่นเอง

หากจะพูดเรื่องพลัง ผู้เฒ่าคนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจิวอู๋จี้เท่าไหร่นัก เพียงแต่ว่าตอนที่ไล่ตามจนทัน จ้าวเฟิงและพวกได้โบยบินจากไปแล้ว

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ในซากปรักหักพังเมืองโบราณ พวกหัวหน้าของกลุ่มคนที่โดนจ้าวเฟิงปล้นชิงก็มารวมตัวกัน

“ดีมาก ทุกคนมาครบแล้ว ตอนนี้ควรถกกันว่าจะไล่ตามและลงมือสังหารเจ้าสองคนนั่นอย่างไร”

จิวอู๋จี้และผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวแห้งสบตากัน มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ

ในความเป็นจริงแล้ว

อัจฉริยะยอดฝีมือของขั้วอำนาจเหล่านี้ดึงดันจะไล่ล่าสังหารกลุ่ม ‘ชายหนุ่มผมม่วงและชายหนุ่มชุดดำ’ ไม่เพียงแค่เพราะละโมบในรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ต่างๆ ของคนทั้งสอง

แต่ยังมีปัจจัยที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือเกียรติยศ!

คนเหล่านี้ก็แค่กล้ำกลืนฝืนทนความอับอายครั้งนี้ไม่ได้ จะต้องรู้ว่า อัจฉริยะยอดฝีมือพวกนี้ล้วนเป็นคนของขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างยิ่ง โดยเฉพาะ ‘องค์ชายสิบสาม’ ที่เป็นถึงสมาชิกของราชวงศ์ต้าเฉียน

หากว่าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป กองกำลังที่มีราชวงศ์เป็นตัวตั้งตัวตีหลัก รวมไปถึงตระกูลชนชั้นสูง และสำนักสามดาวระดับสุดยอด คนเหล่านี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

แต่ทว่า

ตระกูลเฉาและตระกูลจีไม่ได้เข้าร่วมด้วย พวกเขาไม่ได้มีความแค้นอะไรลึกซึ้งกับจ้าวเฟิง

และยังมี ‘สกุลตวนมู่’ เช่นกันที่ไม่ได้เข้าร่วมกับเรื่องดังกล่าว

ตัวของสกุลตวนมู่ก็ได้ผลประโยชน์ จะไม่เข้าร่วมการไล่ล่าสังหารสองคนนั้น คนทั้งหมดย่อมไม่แปลกใจ

แต่ว่าคนที่ตั้งใจจะสังเกตเห็นได้ กลุ่มชายผมม่วงและชายชุดดำไม่ได้ลงมือทำร้ายสกุลตวนมู่เพียงตระกูลเดียว

หรือว่าจะแค่หวาดกลัวจ้าวหยูเฟย?

คนที่ตั้งใจนั้นย่อมไม่เชื่อแน่ว่า ชายผมม่วงและชายชุดดำที่ใจกล้าเทียมฟ้าขนาดนั้นจะหวาดกลัวอะไร

จีหลานเองก็เป็นคนหนึ่งในนั้น

สองวันต่อมา

ซากปรักหักพังเมืองโบราณโดนหาจนแทบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่แต่ละแห่งก็ค่อยๆ กระจายตัวออกไป

“ประหลาดจริง เหมือนว่าคนพวกนั้นจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน?”

จ้าวหยูเฟยครุ่นคิดเล็กน้อย

จิวอู๋จี้กับองค์ชายสิบสามและพวกได้จากไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไร

“หยูเฟย ไปสืบข่าวมาได้แล้ว พวกของจิวอู๋จี้ร่วมมือกันกับยอดฝีมือของขั้วอำนาจต่างๆ ไปไล่ล่าสองคนนั้นแล้ว”

ผู้เฒ่าชุดเขียวโบยบินมา

“ไล่ตามล้อมสังหาร?”

เรียวคิ้วของจ้าวหยูเฟยขมวดเล็กน้อย มีร่องรอยของความกังวลใจ

“หยูเฟย เจ้าเป็นห่วงความปลอดภัยของเพื่อนคนนั้นของเจ้าใช่หรือไม่? ข่าวคราวที่ข้าได้มาจากจีหลาน กลุ่ม ‘ชายผมม่วงและชายชุดดำ’ นั่นพลังเก่งกล้า เด็กหนุ่มผมม่วงอีกคนหนึ่งมีพลังที่พิเศษอย่างมาก มีสายเลือดดวงตาในแขนงวิญญาณที่แกร่งกล้านัก ขนาดว่าจีหลานและเฉาอวิ๋นยังเสียเปรียบ…”

ผู้เฒ่าชุดเขียวเอ่ยต่อ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของจ้าวหยูเฟยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดวงตาสุกสกาวเป็นประกาย

“ผมม่วง…แขนงวิญญาณ…สายเลือดดวงตา? ทั้งหมดนี้จะบังเอิญได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”

จ้าวหยูเฟยมีสีหน้าครุ่นคิด

ความสงสัยในใจนางยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าเด็กหนุ่มผมม่วงคนนั้น ไม่ว่าจะอายุ หน้าตา หรือว่าวิชา ล้วนแต่ด้อยกว่า ‘คนผู้นั้น’ ในความทรงจำของนางมากนัก

อีกทั้งเรือนผมสีม่วงแขนงวิญญาณ ก็มิใช่สิ่งที่ ‘คนผู้นั้น’ จะมีได้เพียงคนเดียว

ยกตัวอย่างเช่น สายเลือดดวงตาของตระกูลจี ส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นแขนงวิญญาณ เรือนผมก็เป็นสีม่วงเช่นกัน

“พี่เฟิง…หรือว่าท่านก็เข้ามาในมิติเทพลวงตาด้วย?”

ในดวงตาใสกระจ่างของจ้าวหยูเฟยเผยแววตาคาดหวังรอคอย

ในเมื่อหนานกงเซิ่งยังเข้ามาภายในมิติเทพลวงตาได้ เช่นนั้นเหตุใด ‘คนผู้นั้น’ จะเข้ามาไม่ได้

“ออกเดินทาง” ใบหน้านวลของจ้าวหยูเฟยเปล่งประกาย ตัดสินใจได้แล้ว

“หยูเฟย นี่เจ้าคิดจะ…”

ผู้เฒ่าชุดเขียวเอ่ยถาม

“พยายามตามหาหนานกงเซิ่งอย่างสุดความสามารถก่อน…ข้ามีเรื่องจะถามเขา!”

จ้าวหยูเฟยสีหน้าเด็ดเดี่ยว

ไม่นานนัก ในซากปรักหักพังเมืองโบราณก็ไม่เหลือร่องรอยของผู้ใดอีก

มิติเทพลวงตา ณ เทือกเขาทอดยาวแห่งหนึ่ง

สวบ พรึ่บ! แสงสีเงินสายหนึ่งลอยละลิ่วลงในป่าโบราณระหว่างเทือกเขา

พู่ว! บุรุษหนุ่มชุดดำถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ในความอ่อนล้ามีร่องรอยของความตื่นเต้น

“หนีมานานขนาดนี้ นับว่าเจ้ารอบคอบจริงๆ! แต่การเก็บเกี่ยวในครั้งนี้นับว่ามากมายอย่างยิ่ง…”

บนใบหน้าของหนานกงเซิ่งและจ้าวเฟิงแฝงไปด้วยรอยยิ้ม

ในครั้งนี้ คนทั้งสองบ้าคลั่งอย่างยิ่ง ในความสับสนวุ่นวาย ได้ปล้นชิงกองกำลังมากมาย จนกลายเป็นเป้าหมายที่ทุกคนต่างต้องการโจมตี

ต่อจากนั้น

คนทั้งสองอยู่ในส่วนลึกของป่า กวาดสายตาหาจนเจอสถานที่เงียบสงบ และเริ่มจัดการผลประโยชน์ที่เก็บเกี่ยวมาได้

ของที่หนานกงเซิ่งเก็บมาได้มีผลึกเซียนระดับล่างเป็นหลัก

เพียงแค่เขาคนเดียวก็ได้ผลึกเซียนระดับล่างหลายสิบชิ้น

ผลึกเซียนระดับล่างพวกนี้ล้วนแต่หลอมรวมอยู่ในเขตแดนมิติ ใช้ไปเพื่อหล่อเลี้ยง ‘ผลึกปีศาจ’ ที่อยู่ตรงกลาง

จ้าวเฟิงจับสังเกตได้ว่า ในระยะหลายวันมานี้ เขตแดนมิติของหนานกงเซิ่งแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ปราณที่แท้จริงและคุณสมบัติภายในร่างของเขาล้วนเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น

ดูจากภาพรวม พลังของหนานกงเซิ่งพัฒนาขึ้นไม่หยุด บนร่างค่อยๆ ปรากฎกลิ่นอายชั่วร้ายออกมา ยังดีที่ได้ ‘มุกสะกดเทวะ’ หนานกงเซิ่งจึงได้รับผลกระทบเพียงแต่ด้านของพลัง ผลกระทบทางจิตใจในตอนนี้ยังไม่เห็นเด่นชัดนัก

ในป่าโบราณ

จ้าวเฟิงเองก็กำลังจัดการของที่ได้มา ผลึกเซียนที่เขาได้มีจำนวนไม่มากนัก แต่ ‘โครงกระดูกทอง’ ไม่ธรรมดา มันแฝงไปด้วยส่วนสำคัญของพลังและเสวียนอ้าวธาตุทองที่แกร่งกล้า

รอตอนที่จ้าวเฟิงฝึก ‘วายุอัสนีธาตุทอง’ โครงกระดูกทองนี้จะต้องมีประโยชน์อย่างมาก

“เอ๋?” จ้าวเฟิงพบเศษชิ้นส่วนของจำนวนหลายชิ้นบนโครงกระดูกทองร่างนี้

บริเวณเอวของโครงกระดูกทองมีเข็มขัดสีทองขมุกขมัวที่ไม่สะดุดตาชิ้นหนึ่ง

บริเวณส่วนศีรษะของโครงกระดูกมีห่วงประดับจมูกสีทองแดง สุดท้าย บนเท้ายังสวมรองเท้าหนังโบราณสีเขียวคู่หนึ่ง ด้านบนปรากฏลวดลายเล็กละเอียดเก่าแก่อยู่เลือนราง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!