บทที่ 912 เห็นถึงแก่นแท้
ตวนมู่ชิงที่กำลังปิดด่านฝึกตนลืมตาทั้งสองข้างโดยพลัน เมื่อครู่เขาโดนคลื่นพลังลึกลับลอยทะลุผ่านอีกแล้ว ความรู้สึกในครั้งนี้รุนแรงมากขึ้น ราวกับว่าสภาพทุกอย่างภายในร่างกายโดนพลังลึกลับกลุ่มนั้นเข้าควบคุม ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของเขากวาดไปยังที่ที่จ้าวเฟิงปิดด่านอยู่
เส้นผมสีทองอ่อนของจ้าวเฟิง แสงสว่างค่อยๆ เลือนหายไป
พลังลึกลับนั่นก็วูบไหวหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
“จ้าวเฟิงน่าจะใกล้ตื่นขึ้นมาแล้ว เฮ้อ!”
ตวนมู่ชิงรู้สึกยินดี แต่เมื่อคิดถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ตนต้องมาที่นี่ เขาก็ถอนหายยาว สีหน้าสับสนว้าวุ่น
มิติดวงตาซ้าย
ในยามนี้หลงเหลือเพียงแต่ลูกทรงกลมลึกลับสีทองที่ส่องประกายระลอกคลื่นสีทองอ่อนๆ ระลอกคลื่นสีทองไม่ได้ทำให้มิติที่มืดมิดสว่างมากนัก แต่กลับทะลุผ่านความมืดมิด สาดส่องไปอย่างไม่รู้ทิศทาง คลื่นสีทองที่แผ่ออกมาจากลูกทรงกลมสงบลงทีละน้อย
มิติอันมืดมิดกลับสู่ความเงียบสงบ จ้าวเฟิงค่อยๆ รับรู้ได้ถึงสภาพของโลกเบื้องนอก ร่างกายก็สามารถขยับได้แล้ว จ้าวเฟิงลุกขึ้นช้าๆ กลับค้นพบว่าดวงตาซ้ายลืมไม่ขึ้น
“หนักจริง!” จ้าวเฟิงพยายามลืมตาซ้ายอย่างสุดกำลัง
วิ้ง! ภายในมิติดวงตาซ้าย ลูกทรงกลมสีทองที่ลอยอยู่แผ่คลื่นสีทองอ่อน
“ลืมขึ้นมา!”
ทันทีที่ดวงตาซ้ายเปิดขึ้น ระลอกคลื่นไร้รูปร่างกระจายแผ่เป็นชั้น ตลบอบอวลไปทุกที่ที่สายตามองเห็น
จ้าวเฟิงร่างกายแข็งค้าง ยืนมึนงงอยู่กับที่ในชั่วขณะ
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
นี่ยังเป็นโลกที่เขาอาศัยอยู่รึไม่?
ทุกจุดที่สายตามองเห็น ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเปลี่ยนจากวัตถุธรรมดาไปเป็นจุด เส้น และแผ่นสีทองกึ่งโปร่งใส
จ้าวเฟิงเพ่งมองไปยังจุดหนึ่งบนกำแพงด้านหน้า ตำแหน่งนั้นขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนเป็นจุดเล็กๆ ที่ไม่รู้จำนวนแน่ชัด ยิบย่อยแน่นขนัด จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบยิ่ง
สายตาของจ้าวเฟิงมองไปยังจุดเล็กจุดหนึ่งในนั้น จุดเล็กนี้ก็ขยายใหญ่ขึ้นอีก เปลี่ยนเป็นจุดอีกนับร้อยล้าน
“นี่มัน…”
จ้าวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้ง จุดมากมายนับไม่ถ้วนเหล่านั้นเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน ร้อยต่อเชื่อมโยงซับซ้อน สุดท้ายจึงรวมกันเป็นกำแพง!
“เฮือก!” สีหน้าของจ้าวเฟิงตกตะลึงสุดขีด ในหัวสมองมีเสียงดังก้อง คิดได้ถึงความน่าจะเป็นอย่างหนึ่ง เขารีบขับเคลื่อนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ยกมือขวาขึ้นมาเพ่งพินิจอย่างละเอียด
ฟู่! มือขวาในครรลองสายตาแปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือสีทองอ่อนที่โปร่งใส ปราณจิตวิญญาณซึ่งล้อมวนด้านบนมีลายสายฟ้าปรากฏอยู่เต็มไปหมด
จ้าวเฟิงเพ่งมองจุดหนึ่งของลายเส้นสายฟ้า
การมองเห็นขยายใหญ่ขึ้นภายในพริบตา
เขามองเห็นสายฟ้าเส้นเล็กๆ นับไม่ถ้วน ใช้โครงสร้างที่แปลกประหลาดเชื่อมประสานกันกับจุดเล็กของปราณแท้จริงบนผิวหนัง
ตาซ้ายจ้องสายฟ้าเส้นเล็กๆ ในนั้นอีกครั้ง
ขยายใหญ่!
จ้าวเฟิงมองเห็นในสิ่งที่ไม่คาดคิด จุดเล็กๆ ละเอียดยิบย่อยดูดซับซึ่งกันและกัน และก่อตัวขึ้นเป็นโครงสร้างหลากรูปแบบ
โครงสร้างจากกลุ่มของจุดเล็กเหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็รวมกันเป็นสายฟ้าเส้นเล็ก
ข้อมูลมากมายมหาศาลถาโถมเข้ามาในทันที และถูกเก็บเอาไว้ในลูกทรงกลมสีทองในมิติดวงตาซ้าย
จ้าวเฟิงรู้สึกเจ็บตาซ้ายอยู่ในชั่วขณะหนึ่ง จึงหลับตาพักผ่อนจิตใจ
“พลังนี่ราวกับจะทำให้ข้ามองเห็นโครงสร้างพื้นฐานของทุกสรรพสิ่ง”
หลังจากนั้นอีกนาน จ้าวเฟิงก็สรุปออกมาได้ ในใจตื่นตะลึง
ดวงตาซ้ายของเขา แม้กระทั่งโครงสร้างจุดเล็กๆ ของอัสนีก็ยังสามารถวิเคราะห์ มองเห็นได้แจ่มแจ้ง
ความสามารถแบบนี้รวมเอาพลังในการมองเห็นและการมองทะลุปรุโปร่งไว้ด้วยกัน ขยายใหญ่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ชัดเจนจนถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการได้
มองเห็นแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง! หรือจะพูดได้ว่า
น้ำค้างธรรมดาหยดหนึ่ง สำหรับจ้าวเฟิงแล้วซับซ้อนอย่างยิ่ง เป็นสถาปัตยกรรมของจุดมากมายนับไม่ถ้วน
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก ค่อยๆ สงบจิตใจลง
บางทีประโยชน์ของความสามารถชนิดนี้ อาจไม่ได้มีเพียงเท่านี้!
“จ้าวเฟิง!”
ตวนมู่ชิงมาถึงยังด้านนอกตำหนักลับ
“ท่านอาจารย์!”
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของตวนมู่ชิงนานแล้ว เพียงแต่ว่าการเปลี่ยนแปลงของดวงตาซ้ายดึงดูดความสนใจของเขาไปทั้งหมด
“ขอแสดงความยินดีกับท่านอาจารย์ที่บรรลุขั้นเซียนได้สำเร็จ!”
จ้าวเฟิงเดินออกมาจากตำหนักลับ ประสานมือแสดงความยินดี
เมื่อบรรลุถึงขั้นเซียน อายุขัยจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ตวนมู่ชิงดูไปแล้วยิ่งดูหนุ่มแน่นมีชีวิตชีวา
“นี่ก็ต้องขอบใจเจ้าที่เสี่ยงชีวิตในคฤหาสน์ลับเทพบรรพกาล นำวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนออกมาได้!”
จ้าวหยูเฟยเล่าเรื่องในมิติเทพลวงตาทั้งหมดให้ตวนมู่ชิงฟังแล้ว
รวมถึงเรื่องที่จ้าวเฟิงละสังขารเกิดใหม่ด้วย
ในใจของตวนมู่ชิง มากน้อยก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง หากเป็นจ้าวเฟิงในตอนนั้น ไม่รู้ว่าจะพัฒนาได้ถึงเพียงไหน
“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะสังหารจักรพรรดิแห่งความตายเสียได้!”
ตวนมู่ชิงทอดถอนใจ จักรพรรดิแห่งความตายที่อาวุโสยิ่งกว่าเขา ถึงแม้จะเป็นเขาที่สำเร็จขอบเขตเทวาเร้นลับแล้ว ก็ไม่กล้าไปตอแยด้วย แต่จ้าวเฟิงกลับไล่ล่าสังหารฝ่ายนั้นจนถึงแก่ความตาย สร้างตำนานให้กับชางไห่
“หึ ข้าโดนมันไล่สังหารอยู่ถึงเจ็ดปี เมื่อมีโอกาส จะให้ข้าปล่อยมันไปได้อย่างไร!”
พูดถึงจักรพรรดิแห่งความตาย จ้าวเฟิงก็นึกถึงตัวเองในอดีต ภายใต้เงาแห่งความตาย เขาหนีหัวซุกหัวซุนและหลบซ่อนไม่หยุดนานถึงเจ็ดปี
ความอัปยศเช่นนี้ ทั้งชีวิตไม่เคยประสบพบเจอ แล้วจะปล่อยไปเช่นนั้นได้อย่างไร
ตวนมู่ชิงพยักหน้าอย่างชื่นชม ลูกศิษย์ของเขาแซงหน้าตนไปนานแล้ว
สายตาที่แฝงด้วยความชมเชยของตวนมู่ชิงสังเกตจ้าวเฟิงในตอนนี้อย่างละเอียด
ผมยาวสีทองอ่อนราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ปลิวสยาย ดวงตาสีทองลึกซึ้งดุจครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง ดวงหน้าหล่อเหลา ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดพ้นแล้วซึ่งทุกสิ่ง
ยามเมื่อมองไปยังดวงตาสีทองราวอำพันกระจ่าง ใจของตวนมู่ชิงสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนกับว่าความลับทุกอย่างถูกเปิดเผยออกหมด
“จ้าวเฟิง ยามนี้ดวงตาของเจ้าแปรเปลี่ยนไป พลังที่แท้จริงเกรงว่าจะถึงขั้นจักรพรรดิไร้เทียมทานแล้วกระมัง!”
ตวนมู่ชิงหยั่งเชิงถามอย่างสงสัย
สำหรับลูกศิษย์ผู้นี้ เขาไม่เคยมองได้เข้าใจปรุโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นจ้าวเฟิงในอดีตหรือปัจจุบัน
ระดับพลังของจ้าวเฟิงในตอนนี้เข้าสู่ขอบเขตปราณเทวะช่วงปลาย หากประเมินพลังของเขาเป็นจักรพรรดิไร้เทียมทาน ก็พัฒนาขึ้นไปอีกสามขั้นแล้ว การประเมินค่าเช่นนี้ มีเพียงอัจฉริยะชั้นยอดห้าอันดับแรกของรายชื่อจักรพรรดิเท่านั้น
อันดับรายชื่อจักรพรรดิในตอนนี้ จ้าวเฟิงอยู่ในอันดับที่แปด แต่ตวนมู่ชิงเชื่อว่าอันดับของจ้าวเฟิงน่าจะขยับขึ้นอีก
“การเปลี่ยนแปลงของดวงตาซ้ายครั้งนี้ เพียงแค่มอบพลังเสริมให้ข้าเท่านั้น”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางๆ บอกความจริงแก่ตวนมู่ชิง
ถึงแม้จะเป็นพลังเสริม แต่กลับเหนือคาดมาก ยามนี้จ้าวเฟิงก็ไม่สามารถเข้าใจได้ชัดเช่นเดียวกัน
ดวงตาซ้ายยังมีความสามารถใหม่อะไรอีกหรือไม่
จ้าวเฟิงยังไม่ได้ศึกษา
“ท่านอาจารย์มาหาข้าไกลถึงเพียงนี้ มีเรื่องอะไรอย่างอื่นใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟิงดูจากสีหน้าของตวนมู่ชิงก็สังเกตอะไรได้บ้าง
“ใช่แล้ว มีเรื่องบางอย่าง!”
ตวนมู่ชิงไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร
“เกี่ยวกับข้า?” จ้าวเฟิงสงสัย
“เกี่ยวกับหยูเฟย!” ตวนมูชิงถอนหายใจ
“หยูเฟยเป็นอะไรไป?”
ในใจจ้าวเฟิงนึกสงสัย จ้าวหยูเฟยอยู่ในแปดตระกูลใหญ่อย่างตระกูลตวนมู่ จะมีอันตรายอะไรได้
“ในช่วงที่ข้าปิดด่านเพื่อทะลวงขอบเขตเซียนเทวาเร้นลับ ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลตวนมู่และจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์องค์ปัจจุบันตกลงหมั้นหมายจ้าวหยูเฟยกับองค์ชายสิบสาม!”
สีหน้าของตวนมู่ชิงกราดเกรี้ยว พูดทุกอย่างออกมา
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้อาวุโสสูงสุดที่สนใจแต่ตระกูลมากเกินไป เห็นเพียงประโยชน์ในตอนนี้ คิดเองตัดสินใจเอง อีกทั้งในยามนี้องค์จักรพรรดิตกลงรับปากแล้ว มารดาขององค์ชายสิบสามก็คือฮองเฮาองค์ปัจจุบันเช่นเดียวกัน
เรื่องนี้เล่าลือกันในกลุ่มเชื้อพระวงศ์หมดแล้ว
“หมั้นหมาย? หยูเฟย?”
จ้าวเฟิงในยามนี้ ความคิดหยุดลง
ความรู้สึกของเขาแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก บอกไม่ถูก ราวกับจะโบยบินหรือรู้สึกโหวงในใจ
สำหรับความรักของจ้าวหยูเฟย จ้าวเฟิงเข้าใจชัดดี
เขาทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจหลบหลีกมาโดยตลอด
เขาจะต้องทำตามปณิธานของตัวเอง ตามหาหลิวฉินซิน เขาไม่อาจหันหลังให้กับคำสัญญาของตัวเองได้ จึงจำต้องหลบเลี่ยงความรักของหยูเฟย
เขาไม่ปรารถนาจะรักผู้หญิงคนอื่น เพราะนั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองหักหลังหลิวฉินซิน
แต่เขาอาจจะรักผู้หญิงอีกคนไปแล้ว เขาจึงรู้สึกว่าตัวเองทำร้ายนาง
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็วิเคราะห์เรื่องราวพวกนี้ไม่ชัดเจน
ดวงตาซ้ายของเขาค่อนข้างสับสน…
ตวนมู่ชิงส่ายหน้าพลางถอนใจ เขารู้ คนที่จ้าวหยูเฟยชอบพอคือจ้าวเฟิง และหากจ้าวเฟิงไม่มีเรื่อง ‘คู่หมั้น’ นั้น ก็อาจจะอยู่กับจ้าวหยูเฟยไปแล้ว
ตวนมู่ชิงที่เป็นคนกลางไม่รู้จะทำเช่นไร สำหรับเขาแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนมีเหตุผลของมัน ชะตาชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ยากที่จะแยกแยะได้ชัดเจน
“ท่านอาจารย์ องค์ชายสิบสามกำเริบเสิบสาน ทำอะไรตามอารมณ์ โง่เขลาเบาปัญญา คนผู้นี้ไม่เหมาะกับหยูเฟย!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเด็ดเดี่ยว
“หยูเฟยเป็นคู่หมายของข้า ข้าจะให้นางแต่งกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร”
จ้าวเฟิงพูดขึ้นอีก สีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนผิดปกติ
ทำให้รู้สึกว่าจ้าวเฟิงในยามนี้มีสติเป็นอย่างมาก เขาวิจารณ์เรื่องนี้อย่างยุติธรรม
ตวนมู่ชิงมีสีหน้าตะลึง อ้าปากค้างเล็กน้อย เขาคิดไว้ว่าคำตอบที่จ้าวเฟิงจะตอบ ต้องไม่ใช่คำตอบแบบนี้แน่นอน
ตวนมู่ชิงอดหัวเราะไม่ได้ คำตอบเช่นนี้มีเพียงจ้าวเฟิงเท่านั้นที่คิดได้
“ฮ่าๆ ตัวข้าก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน องค์ชายสิบสามจะคู่ควรกับศิษย์น้องหยูเฟยได้
อย่างไร!”
ตวนมู่ชิงหัวเราะขึ้นทันใด ก่อนตบบ่าของจ้าวเฟิง เขารู้ดี ลูกศิษย์ของเขาคนนี้มีความฉลาดทางอารมณ์ต่ำมาก
“ในเมื่อเจ้าห่วงใยหยูเฟยถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ไปตระกูลตวนมู่กับข้าสักรอบเถอะ!” ตวนมู่ชิงพูดอย่างจริงจัง
เรื่องนี้เกี่ยวโยงกับตระกูลตวนมู่และหน้าตาของราชวงศ์ ไม่ใช่ว่าใครจะพูดก็ได้
“ข้าจะไปเตรียมตัวก่อน!” จ้าวเฟิงจากไปอย่างรวดเร็ว
ห้องลับของจ้าวเฟิงมีพื้นที่กว้างใหญ่ นอกจากตวนมู่ชิงก็ไม่มีใครไปมา นี่คือพื้นที่หวงห้าม แต่เมื่อออกจากบริเวณนี้ จ้าวเฟิงค้นพบว่าทั่วทุกทิศทางล้วนเป็นกลุ่มคนหลั่งไหลไม่ขาดสาย สภาพของหอควันสมุทรเปลี่ยนไปมาก ยอดฝีมือเพิ่มขึ้นไม่น้อย
ในขณะที่จ้าวเฟิงสังเกตการณ์หอควันสมุทร สมาชิกเหล่านี้ก็สำรวจจ้าวเฟิงอย่างแปลกใจ
“หอควันสมุทรมีลูกศิษย์ผมสีทองด้วยรึ? ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ตาของเขาเป็นสีทอง เป็นพวกต่างเผ่าพันธุ์กระมัง!”
“แต่ว่านะ เขาหล่อมากเลย!” ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งมีแววตาใหลหลง
ในเวลานี้ ปี้ชิงเยวี่ยที่มีแสงจันทราสลัวปกคลุมบินตามมาอย่างรวดเร็ว ด้วยตราผนึกดวงใจทมิฬ ปี้ชิงเยวี่ยสัมผัสได้ว่าจ้าวเฟิงออกจากปิดด่านแล้ว
“เป็นท่านเจ้าหอ!”
“คารวะท่านเจ้าหอ”
สมาชิกทั้งหมดรอบๆ ก้มตัวแสดงความเคารพ
ปี้ชิงเยวี่ยไม่สนใจการคารวะของสมาชิก หยุดที่เบื้องหน้าของจ้าวเฟิง ตกใจเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงของจ้าวเฟิงก่อนกับหลังปิดด่านต่างกันมากจนเกินไป หากพูดว่าจ้าวเฟิงในยามผมม่วงให้ความรู้สึกงดงามอย่างประหลาด จ้าวเฟิงในตอนนี้ก็ทำให้นางรู้สึกว่าอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่ มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด” ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยอย่างนอบน้อม
สมาชิกโดยรอบล้วนตกตะลึง พวกเขาส่วนมากไม่เคยพบผู้อาวุโสสูงสุดมาก่อน มีลูกศิษย์จำนวนน้อยที่จำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น ทว่าไม่มีใครไม่รู้เรื่องผู้อาวุโสสูงสุด
ผู้ที่ช่วยให้หอควันสมุทรรอดจากกรงเล็บมารของวังเก้านิรย ให้ข้อมูลมากมายมหาศาล และร่วมมือกับหอควันสมุทร ทำให้หอควันสมุทรยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน
อาจารย์ของผู้อาวุโสสูงสุดยิ่งเป็นเซียนจากแปดตระกูลใหญ่ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดในตำนานคนนี้เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบกว่าเท่านั้น หากแต่เมื่อสักครู่พวกเขาก็เห็นด้วยตาตัวเอง เจ้าหอควันสมุทรเรียกเด็กหนุ่มผมทองที่พวกเขาห้อมล้อมเอาไว้ว่า ผู้อาวุโสสูงสุด!
เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของหอควันสมุทร!
สวรรค์!
“ไปหอประชุม!” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ เดินไปข้างหน้า ปี้ชิงเยวี่ยเดินตามหลัง