Skip to content

King of Gods 1005

King Of Gods

บทที่ 1005 ช่วยเหลือ

จ้าวเฟิงอยู่ในหอคอยดาราม่วงไม่ได้ฝึกฝนแต่ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ และ ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ ยังฝึกฝนศาสตร์ลวงตาและวิชาลวงตาในเวลาเดียวกันด้วย

ถึงแม้ว่าวิญญาณของเขาจะบาดเจ็บสาหัส พลังวิญญาณยังไม่ฟื้นฟู แต่ก็ยังคงมากพอจะจัดการสองคนนี้ได้

จ้าวเฟิงโคจรพลังเจตจำนงที่เพิ่งจะฟื้นฟูกลับมาส่วนหนึ่ง ปลดปล่อย ‘เขตแดนคุกมายา’ ฉบับง่าย ทำให้คนทั้งสองตกอยู่ท่ามกลางโลกมายา

“จ้าวเฟิง เจ้า? ” จีหลานก้าวขึ้นหน้าทันที สีหน้าตื่นตะลึง ไม่รู้จะพูดอะไร

ในสมองของนางขาวโพลน ใครๆ ก็ต่างสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าของจ้าวเฟิง แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับจัดการจีเซิ่งหมิงได้ด้วยสายตาปราดเดียวเท่านั้น!

ถึงแม้มีเพียงนางที่รู้ว่าคนขึ้นไปบนชั้นเก้าคือจ้าวเฟิง

“วันนี้ข้าคงไม่ไปหาผู้อาวุโสซิงหมัวแล้ว!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ จากนั้นจึงบินตรงไปทางเรือนพัก

จีหลานชะงัก ก่อนจะกระทืบเท้า

ถึงแม้มีแต่ตอนที่จ้าวเฟิงไปหาเซียนซิงหมัวเท่านั้น นางถึงจะมีโอกาสเข้าไปยืมอ่านตำรา แต่นางอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้อยากจะไปที่เก็บของสะสมของเซียนซิงหมัวกับจ้าวเฟิง

“จีเหลียน จีเซิ่งหมิง พวกเจ้าเป็นอะไรไป? ”

หลังจากที่จ้าวเฟิงจากไปแล้ว ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ล้อมวงดูคนตระกูลจีสองคนที่ท้าทายจ้าวเฟิง

“ตกอยู่ในวิชาลวงตาศาสตร์วิญญาณ แต่วิธีแก้ศาสตร์ลวงตาทั่วไปใช้ไม่ได้ผลเลย!”

จักรพรรดิผู้หนึ่งของตระกูลจีลองวิธีการมากมาย แต่ก็ไม่ช่วยอะไรคนทั้งสอง

ผ่านไปไม่นาน สีหน้าของจีเซิ่งหมิงเริ่มฉายแววดื้นรน จากนั้นจึงได้สติอย่างรวดเร็ว แต่จีเหลียนยังคงยืนทึ่มอยู่เช่นเดิม

“จีเหลียน!”

จีเซิ่งหมิงรีบส่งพลังวิญญาณเข้าไปในวิญญาณของจีเหลียน ไม่นานก็เรียกอีกฝ่ายให้ได้สติ

“จ้าวเฟิงผู้นี้…” หลังจากจีเหลียนได้สติ ร่างกายก็สั่นสะท้าน

แม้ว่าจีเหลียนจะเผชิญหน้ากับวิชาลวงตาของจ้าวเฟิงเป็นครั้งที่สอง แต่เจตจำนงดวงตาที่จ้าวเฟิงระเบิดออกมาในครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป กำราบเขาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง

แต่ในใจของจีเซิ่งหมิงหวาดกลัว ในขณะที่จ้าวเฟิงอ่อนแอถึงเพียงนี้ยังจัดการพวกเขาได้สบายๆ ยากจะจินตนาการได้ว่า จ้าวเฟิงในสภาวะสมบูรณ์จะแข็งแกร่งมากเพียงใด

“ ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ ขั้นที่หกสมบูรณ์แล้ว ผลของมันไม่เลวเลย!”

ในขณะจ้าวเฟิงโบยบินไปยังเรือนพักก็สังเกตพบ อาการบาดเจ็บในวิญญาณเขาฟื้นฟูขึ้นมาแล้วประมาณสองส่วน

“แต่พวกปี้ชิงเยวี่ยและเฒ่าประหลาดสวีจากไปอย่างกะทันหัน หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น? ”

จ้าวเฟิงครุ่นคิดพลางพึมพำ

ยามฝึกฝนที่หอคอยดาราม่วง ปี้ชิงเยวี่ยก็แจ้งผ่านตราผนึกดวงใจทมิฬว่าพวกเขาต้องรีบกลับไป

อาจเป็นเพราะปี้ชิงเยวี่ยไม่อยากให้จ้าวเฟิงเสียสมาธิในการฝึกตน ถึงไม่ได้บอกเหตุผลที่ชัดเจน อีกทั้งในตอนนั้นจ้าวเฟิงกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของการฝึก จึงไม่มีเวลาไปถามไถ่

ในตอนนี้ ปี้ชิงเยวี่ยและพวกอยู่ไกลเกินกว่าจะใช้ตราผนึกดวงใจทมิฬติดต่อกัน

เมื่อกลับมาถึงเรือนพัก จ้าวเฟิงก็เริ่มปิดด่านฝึกตนชั่วคราวเพียงลำพัง

ภายในมนตราอากาศ ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนกระพือปีกเล็กๆ ที่โปร่งแสงมาข้างกายจ้าวเฟิง

“สามารถทะลวงขั้นเซียนได้แล้วหรือ? ”

จ้าวเฟิงใจเต้นน้อยๆ

ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนเคยต่อสู้ครั้งหนึ่งจึงบาดเจ็บหนัก ด้วยการรักษาของจ้าวเฟิง มันกลับคืนสู่สภาวะสุดยอดนานแล้ว บวกกับทรัพยากรจำนวนมากที่จ้าวเฟิงฟูมฟักมัน จึงทำให้พลังของไหมเมฆาผีเสื้อเซียนไปถึงขั้นสูงสุด

เดิมทีไหมเมฆาผีเสื้อเซียนก็พอมีความน่าจะเป็นในการทะลวงขั้นเซียนอยู่ แต่ไม่มากนัก

เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยน้อยมายังข้างกายจ้าวเฟิง

“วารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนหนึ่งส่วน มอบไหมเมฆาผีเสื้อเซียนให้เจ้าแล้วกัน!”

จ้าวเฟิงมอบธุระเรื่องนี้ให้เจ้าแมวขโมยไปจัดการ

ไหมเมฆาผีเสื้อเซียนส่งผลช่วยเหลือจ้าวเฟิงอย่างมาก หากทะลวงผ่านขั้นเซียนได้ มูลค่าของมันจะเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

เมี้ยว เมี้ยว! แมวขโมยน้อยโบกกรงเล็บด้านหน้าจ้าวเฟิงไม่หยุด

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ เจ้าแมวน้อยกำลังพูดว่า วัตถุดิบยาล้ำค่าและฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิง มันดูแลเอาใจใส่อย่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง มีผลลัพธ์ดีเลิศ ต้องการให้จ้าวเฟิงมอบรางวัลกับมัน

จากนั้น จ้าวเฟิงจึงเดินเล่นในมนตราอากาศตามเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

ในด้านการจัดการดูแลสัตว์อสูร เจ้าแมวขโมยตัวน้อยจัดการได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง

มันสามารถสื่อสารกับบรรดาสัตว์อสูร จึงเข้าใจสัตว์อสูรแต่ละตัวอย่างมาก และยังใช้ทรัพยากรในปริมาณน้อยที่สุดให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

พลังของฝูงสัตว์อสูรทุกกลุ่มต่างเพิ่มขึ้นไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงจึงอนุญาตเมื่อเจ้าแมวขโมยตัวน้อยขอทรัพยากรบางส่วนเพิ่ม

หลังจากจัดการเรื่องของเจ้าแมวขโมยน้อยแล้ว จ้าวเฟิงจดจ่อกับการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บในวิญญาณของตนเอง

สองวันต่อมา

อาการบาดเจ็บของจ้าวเฟิงหายดีเป็นปลิดทิ้ง วิญญาณจึงยิ่งบริสุทธิ์สมบูรณ์มากขึ้น พลังวิญญาณก็มีพัฒนาการ ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ เองก็ผ่านไปยังขั้นที่เจ็ดได้อย่างราบรื่น

‘รอให้ฝึก ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’ ไปจนถึงขั้นที่แปด ก็ลองฝึก ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ได้แล้ว!’

จ้าวเฟิงกดความรู้สึกตื่นเต้นในใจเอาไว้ไม่ไหว

จากการวิเคราะห์ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ มันเทียบเท่ากับวิชาแบ่งร่างแขนงหนึ่ง

เคล็ดวิชาแบ่งร่าง เป็นวิธีที่เซียนใช้โดยเฉพาะ ตามหลักการแล้วจะใช้กายศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างร่างแบ่ง แต่ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ เป็นการแบ่งวิญญาณออก เท่ากับเป็นร่างแยกร่างหนึ่ง อีกทั้งตัวของ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ยังส่งผลฝึกฝนวิญญาณด้วย

จ้าวเฟิงจึงยิ่งหลงใหลใน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ มากขึ้นทุกที ถึงขั้นเพียรพยายามปรับแก้ตำราเล่มนี้ให้สมบูรณ์ขึ้น

หากเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจำเป็นต้องอ่านความรู้และทฤษฎีมากมายในศาสตร์วิญญาณเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับตนเอง

วันนี้จ้าวเฟิงออกจากที่พัก ตรงไปยังตำหนักสิ่งสะสมส่วนตัวของเซียนซิงหมัว

ตำราบนชั้นวางหนังสือทางขวาในนั้น จ้าวเฟิงยังอ่านไม่จบ และชั้นวางทางขวาก็ยังยืมอ่านได้เป็นเวลาสองวัน

“ในที่สุดสหายน้อยจ้าวก็มา…”

เมื่ออยู่ห่างจากตำหนักของเซียนซิงหมัวหลายสิบจั้ง พลันได้ยินเสียงของเซียนซิงหมัวดังมาจากไกลๆ

“ขอบพระคุณคำสั่งอนุญาตผ่านเข้าออกหอดาราม่วงของผู้อาวุโส ทำให้ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตามาก!”

จ้าวเฟิงประสานมือแสดงความขอบคุณ

การฝึกฝนด้วยเวลาจำกัดสี่วันในหอคอยดาราม่วง ผลประโยชน์ของจ้าวเฟิงมากมายนัก

จ้าวเฟิงเองก็รู้ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในหอคอยดาราม่วงของเขา เซียนซิงหมัวคงสัมผัสได้ทั้งหมด

นี่ก็เป็นเรื่องที่ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งเขาแสดงฝีมือยอดเยี่ยมเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์จาก

เซียนซิงหมัวมากขึ้นเท่านั้น

“ฮ่าๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากวันหน้าสหายน้อยจ้าวอยากจะเข้าไปในหอคอยดาราม่วงก็เข้าไปได้เลย!”

เซียนซิงหมัวหัวเราะร่วน

จ้าวเฟิงชะงักเล็กน้อย ถึงเขาจะแสดงศักยภาพออกมาในระดับหนึ่ง แต่เซียนซิงหมัวก็ไม่น่าจะดีกับเขาขนาดนี้กระมัง

สามารถเข้าออกหอคอยดาราม่วงได้ตามใจชอบ ไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งกับลูกศิษย์ตระกูลจีคนอื่นๆ ที่ต้องจ่ายบรรณาการถึงจะเข้าไปได้ อาจทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงขึ้น

ทว่าท่าทางดีใจขนาดนั้นของเซียนซิงหมัว อาจเป็นเพราะมีเรื่องดีๆ เรื่องอื่นเกิดขึ้น จ้าวเฟิงจึงไม่ได้ปฏิเสธ

“อีกอย่าง หากสหายน้อยจ้าวอยากจะฝึกฝน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ หลายวันมานี้ข้าผู้เฒ่ากำลังศึกษาเรื่องนี้ และได้ทำสรุปออกมาเสียมาก ไม่รู้ว่าสหายน้อยจ้าวสนใจหรือไม่? ”

เซียนซิงหมัวเอ่ยต่อ

จ้าวเฟิงชะงักไปอีกครั้งหนึ่ง มักรู้สึกว่าเซียนซิงหมัวในวันนี้ต่างจากปกติไปมาก และก็ดีกับเขามากเกินไป หรือว่าในนี้จะมีหลุมพรางอะไร?

จ้าวเฟิงย่อมไม่รู้ เพราะเขาอยู่ในชั้นที่เก้าของหอคอยดาราม่วงเป็นเวลาสามช่วงลมหายใจ จึงเปลี่ยนผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในตระกูลจีไป

“หากได้อ่านบันทึกของผู้อาวุโส ก็เป็นเกียรติของผู้น้อยแล้ว!”

จ้าวเฟิงไม่อาจปฏิเสธความเย้ายวนใจที่เซียนซิงหมัวเสนอให้ แต่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าตนเองไม่มีสิ่งของอย่างอื่นมาแลกเปลี่ยน

“ข้าเองก็อยากจะเห็น ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ฉบับสมบูรณ์ด้วยตาของตนเอง หากสหายน้อยจ้าวปรับแก้ให้มันสมบูรณ์ในวันหน้า จะต้องให้ข้าดูสักหน่อย!”

เซียนซิงหมัวเอ่ยสัพหยอก

หลังจากมาถึงตำหนักสิ่งสะสมส่วนตัว เซียนซิงหมัวจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมอบให้กับจ้าวเฟิง

ต่อมาจ้าวเฟิงเดินไปที่ชั้นหนังสือทางขวามือ และดำดิ่งลงไปในหนังสือกองโต

ไม่เสียทีที่เซียนซิงหมัวเป็นตำราเดินได้ของสายเลือดดวงตาแห่งตระกูลจี มีประสบการณ์มากมาย เห็นโลกมามาก ในด้านการวิเคราะห์และแนวทางฝึกฝนต่อของ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ เขาล้วนจดความเห็นส่วนของตนลงไป

จากความเข้าใจของเซียนซิงหมัว โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการฝึกฝน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ยังมีอยู่มาก ก่อนอื่นต้องฝึกฝน ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ และ ‘วิชาเทพคืนวิญญาณ’

บันทึกเล่มนี้สามารถแนะแนววิธีต่อยอด ‘วิชาแยกวิญญาณ’ แบบคร่าวๆ ให้กับจ้าวเฟิงได้พอควร

หลังจากอ่านบันทึกเล่มนี้จบแล้ว ความหวังในการฝึกที่จ้าวเฟิงมีต่อ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ก็เพิ่มขึ้นหลายส่วนอีกครั้ง

ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงจึงเริ่มอ่านตำราเล่มอื่นๆ

จ้าวเฟิงเชื่อว่าต้องมีวันใดวันหนึ่ง ประสบการณ์และความรู้ของเขาจะอยู่เหนือเซียนซิงหมัว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เวลายืมอ่านในชั้นหนังสือทางขวาของจ้าวเฟิงหมดลง

จ้าวเฟิงทำท่าทีเสียดาย แต่ในความเป็นจริง ตำราที่เขาสนใจกว่าเจ็ดส่วนในชั้นวางหนังสือทางขวา เขาท่องจำไว้จนหมดแล้ว ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปยังชั้นวางหนังสือทางซ้ายที่มีตำราค่อนข้างมาก

“ผู้อาวุโสสูงสุด จีหลานขอเข้าพบ!”

เสียงของจีหลานดังขึ้นเป็นครั้งแรกในหลายวันนี้

“พูดมา!”

“ท่านเจ้าหอปี้สั่งให้ข้านำข้อความมาบอกจ้าวเฟิง เชิญจ้าวเฟิงรีบกลับไปโดยด่วน!”

จีหลานเอ่ยรายงานอย่างตรงไปตรงมา

ปี้ชิงเยวี่ยและจีหลานเจอกันค่อนข้างบ่อยในตระกูลจี หากส่งสารมาถึงตระกูลจี ย่อมต้องมอบให้จีหลาน เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น

ภายในตำหนัก จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพอจะรู้อยู่ ปี้ชิงเยวี่ยและคนอื่นๆ รีบกลับไปต้องมีเหตุผลเป็นแน่

“ผู้อาวุโสซิงหมัว ผู้น้อยต้องขอตัวก่อน!”

จ้าวเฟิงเอ่ยลาทันที

จากคำพูดของจีหลาน จ้าวเฟิงมองออกว่าเรื่องน่าจะค่อนข้างด่วนเอาการ

“จีหลาน พาคนตระกูลจีส่วนหนึ่งไปกับจ้าวเฟิงด้วย!” เสียงของเซียนซิงหมัวดังขึ้น

“จีหลานรับคำสั่ง!” จีหลานรับคำ

ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงจึงนำคนตระกูลจีจำนวนมากรุดกลับไปยังดินแดนเกาะหมอกจันทร์ ในยามที่เดินทางจากไป จ้าวเฟิงใช้มนตราอากาศทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้ในตระกูลจี

ลูกหลานตระกูลจีที่ติดตามจีหลานมามีจำนวนทั้งสิ้นสิบห้าคน อยู่ในขั้นจักรพรรดิแทบทุกคน พวกเขาแต่ละคนพากันตื่นเต้น ภารกิจครั้งนี้ ทางตระกูลมอบผลตอบแทนให้มากพอควร

ด้านหน้าประตูหอควันสมุทร ณ ดินแดนเกาะหมอกจันทร์

เฒ่าประหลาดสวี เซียนราตรีทมิฬ และสมาชิกหอควันสมุทรสองสามคนถูกขังอยู่ในค่ายกลพลังศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง

ในกลุ่มนั้น ร่างกายเฒ่าประหลาดสวีและเซียนราตรีทมิฬเต็มไปด้วยจุดสีม่วง บาดเจ็บสาหัส สมาชิกคนที่เหลือกำลังรักษาพวกเขา

“รอให้ผู้อาวุโสสูงสุดกลับมา ทุกอย่างจะคลี่คลายเอง!”

น้ำเสียงแน่วแน่ของจานเจี๋ยเอ๋อร์ดังขึ้น

“วางใจเถอะ จ้าวเฟิงต้องมาแน่!” ตามด้วยน้ำเสียงติดจะอ่อนแอของเฒ่าประหลาดสวี

เฒ่าประหลาดสวีติดต่อกับจ้าวเฟิงผ่านทางตราผนึกดวงใจทมิฬแล้ว จ้าวเฟิงกำลังรีบมา

ภายในหอควันสมุทรเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ในตำหนักที่มืดอึมครึมแห่งหนึ่ง มีเงาสูงใหญ่สองร่างยืนอยู่

หนึ่งคนในนั้นใส่ชุดเกราะรบสีทอง ลายสลักสีเงินบนเกราะส่องประกายเรืองรอง ส่วนอีกคนคลุมชุดสีแดงเข้ม พลังศาสตร์มารชั่วร้ายจากทั่วร่างสาดซัดออกมา

“พวกเราจงใจปล่อยสตรีผู้นั้นไป นางคงไม่หนีเอาตัวรอดคนเดียวโดยไม่สนใจพวกเจ้ากระมัง ฮ่าๆ!”

เงาคนชุดแดงเข้มหัวเราะเสียงแหลมเยาะเย้ย

เขาจงใจปล่อยปี้ชิงเยวี่ยไป ย่อมเพื่อรอนางแจ้งข่าวให้จ้าวเฟิงรีบกลับมา

“ห้าวันจากนี้ หากจ้าวเฟิงไม่มา พวกเจ้าก็ไปรายงานที่นรกแล้วกัน”

ชายชุดเกราะทองตะโกนกึกก้อง

“ข้ามาแล้ว พวกเจ้าไปรายงานที่นรกแทนแล้วกัน!”

เสียงว่างเปล่าเย็นเยียบดังสะท้อนไปมาในดินแดนเกาะหมอกจันทร์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!