บทที่ 1149 เคารพนับถือ
“ผู้อาวุโส!”
สมาชิกในเผ่าทั้งหมดที่อยู่ในสนามประลองก้มศีรษะลงอย่างเคารพนบนอบเหมือนกำลังกราบไหว้อีกฝ่าย
ใครก็คาดคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องเล็กๆ ระหว่างลูกศิษย์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสองคน จะใหญ่โตจนทำให้ผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองสนใจ
“เชิญท่านตามข้ามา!”
ซือซูหานเอ่ยขึ้นทันทีขณะมองจ้าวเฟิงด้วยสายตาเย็นชา
วูบ! ร่างทั้งสองคนหายไปจากจุดเดิม
ณ ตำหนักสีทองสูงเสียดฟ้าในพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
ที่นี่คือพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง แต่รอบด้านกลับไม่มีองครักษ์แม้แต่คนเดียว และไม่มีค่ายกลป้องกันด้วย
เพราะผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองที่อยู่ภายในมีพลานุภาพแข็งแกร่งที่สุดแล้ว
ขั้วอำนาจหรือเผ่าพันธุ์สี่ดาวใดๆ ในดินแดนเทพรกร้างล้วนต้องมีเทพแท้จริงอย่างน้อยหนึ่งคนอยู่ดูแล
ในสายตาของขั้วอำนาจหรือเผ่าพันธุ์สองและสามดาว
ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริงจะควบคุมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกอย่าง เพียงประโยคเดียวก็สามารถกุมชะตาชีวิตของพวกเขาได้
ภายในตำหนักสีทองที่โล่งกว้างเงียบสงัด
“ผู้อาวุโส พาคนเข้ามาพบท่านแล้ว!”
ผู้อาวุโสที่สองยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีนบนอบ
ด้านหน้าตำหนักมีผู้เฒ่าผมขาวท่าทางอ้างว้างคนหนึ่งนั่งอยู่ คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแห่งเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง…เทพแท้จริงเทียนหั่ว (เพลิงนภา)
ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปิดออก เปล่งแสงสีทองสองสาย จ้องจ้าวเฟิงเขม็ง มาพร้อมความน่าเกรงขามและความน่าพรั่นพรึงอันไร้จุดสิ้นสุด
“มนุษย์ เจ้าทำร้ายคนในเผ่าข้า สร้างเรื่องโกลาหล มีจุดมุ่งหมายอย่างไรกันแน่?”
เสียงของเทพแท้จริงเทียนหั่วสะท้อนทั่วตำหนัก
ทั้งตำหนักเหมือนหยุดชะงัก ต้องแบกรับแรงกดดันและพลานุภาพมหาศาลจากทุกอริยาบถ
ผู้อาวุโสที่สองสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างยากลำบาก แต่จ้าวเฟิงกลับมีท่าทีสบายๆ ลมหายใจสงบนิ่ง
“ข้าน้อยแซ่จ้าวเพียงอยากจะอาศัยความสามารถของตนเองแลกเปลี่ยนเอาผลประโยชน์ส่วนหนึ่งในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง!”
จ้าวเฟิงมองเทพแท้จริงเทียนหั่ว เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เขามาถึงดินแดนเทพรกร้างได้ช่วงหนึ่ง จ้าวเฟิงเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้บ้างแล้ว
นอกจากนั้น จากการคาดเดาของเขา เทพแท้จริงเทียนหั่วน่าจะเทียบเท่าได้กับเทพแท้จริงเก่าแก่ผู้หนึ่ง
ถ้าหากเทพแท้จริงเทียนหั่วผู้นี้ยังมีอาวุธเทพอีก เช่นนั้นแล้วความสามารถของเขาน่าจะแข็งแกร่งน่ากลัวเสียยิ่งกว่าเทพแท้จริงเทียนฝาที่มาเยือนดินแดนทวีปด้วยซ้ำ
คนในขั้นเทพแท้จริงผู้หนึ่ง แข็งแกร่งมากพอจะอยู่เหนือดินแดนทวีปทั้งหมด
ทว่าจ้าวเฟิงตอนนี้ก็ไม่ใช่จ้าวเฟิงคนก่อนในตอนนั้นอีกแล้ว หากเขาคิดจะหนี เทพแท้จริงเทียนฝาก็ทำอะไรเขาไม่ได้
“เจ้าต้องการอะไร?”
เทพแท้จริงเทียนหั่วขมวดคิ้วน้อยๆ
ขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์ใดย่อมไม่มีทางปฏิเสธยอดฝีมือที่แกร่งกล้า
ขอแค่ไม่ใช่ขั้วอำนาจศัตรูและมีความสามารถเก่งกาจ จะสามารถกลายเป็นพันธมิตรได้ทั้งสิ้น
ส่วนความสามารถที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาเมื่อครู่อยู่เหนือครึ่งเทพทั่วไปมาก พลังที่แท้จริงบางทีอาจไม่ต่างกับผู้อาวุโสสูงสุดในเผ่าพันธุ์เลยแม้แต่น้อย
“อย่างแรก ทรัพยากรฝึกตน อย่างที่สอง แผนที่ล้ำค่าในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง!”
จ้าวเฟิงบอกความต้องการของตนเองทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา
“ผู้อาวุโส ประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ไม่ชัดเจน มีความเป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นสายลับที่เผ่าพันธุ์อื่นส่งมา ขอท่านตรวจสอบให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ!”
ซือซูหานที่อยู่ไม่ไกลนักเอ่ยขึ้นทันที
เห็นได้ชัดเลยว่าท่าทีของจ้าวเฟิงเมื่อครู่ทำให้ซือซูหานไม่พอใจอย่างยิ่ง
หนำซ้ำจ้าวเฟิงยังสังหารทายาทของเขาต่อหน้าคนจำนวนมาก ทำให้เขาเสียหน้าในเผ่า
ถึงแม้เขาไม่มีหวังจะเอาชนะจ้าวเฟิง แต่ในเวลานี้ผู้อาวุโสกำลังบีบบังคับ เขาย่อมหาวิธีเขย่าขวัญจ้าวเฟิงสักหน่อย
“ข้าน้อยมาจากสถานที่ห่างไกลมาก จึงยังไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ที่นี่เท่าไหร่นัก ด้วยเหตุนี้ถึงต้องการแผนที่ของเผ่าท่าน”
สีหน้าจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง เอ่ยเรียบๆ
“เจ้าหนุ่ม ในดินแดนเทพรกร้างแห่งนี้ แผนที่เป็นสมบัติสำคัญอย่างมากต่อขั้วอำนาจหนึ่ง และยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจไม่ใช่สิ่งที่จะให้กันได้ง่ายๆ!”
เทพแท้จริงเทียนหั่วเอ่ยอย่างสนอกสนใจ
อันตรายในดินแดนเทพรกร้างมีมากมาย หนำซ้ำธรรมชาติเปลี่ยนแปลงได้หลากหลาย แผนที่อย่างละเอียดแผ่นหนึ่งจึงเป็นประโยชน์อย่างมาก
หนำซ้ำในทุกเวลา และทุกอาณาเขตในดินแดนเทพรกร้าง แทบจะมีการแย่งชิงของขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้แผนที่ยิ่งใหม่ก็ยิ่งล้ำค่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าน้อยแซ่จ้าวคงต้องไปดูเผ่าพันธุ์อื่นในละแวกใกล้เคียงแล้ว!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้ม เตรียมจะถอยกลับไป
“ลองหยั่งเชิงดูขีดจำกัดของเขาสักหน่อย!”
เทพแท้จริงเทียนหั่วส่งกระแสจิตบอกซือซูหาน
“ที่นี่เป็นที่ที่เจ้าคิดจะไปมาได้ตามอำเภอใจงั้นรึ?”
ซือซูหานสีหน้าเย็นชา ปรากฏหอกยาวที่มีเพลิงลุกโหมเล่มหนึ่งในมือ
“ระลอกทองคำราม!”
ซือซูหานแกว่งหอกเพลิงทองในมือ รอบด้านพลันทะลักไฟสีทองที่หลอมทุกสรรพสิ่งออกมา
ครืน ครืน ครืน!
คลื่นเพลิงสีทองที่มืดฟ้ามัวดินถาโถมเข้าหาจ้าวเฟิงประหนึ่งสัตว์อสูรชั่วร้ายที่มีจิตวิญญาณ
“อาวุธเทพชั้นรอง!”
ใบหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ในดินแดนทวีป เกือบหมื่นปีกว่าอาวุธเทพชั้นรองจะปรากฏออกมาชิ้นหนึ่ง และมีเพียงครึ่งเทพชั้นยอดจำนวนน้อยนิดถึงจะสามารถครอบครองอาวุธเทพชั้นรองได้
แต่ดินแดนเทพรกร้างต่างกันออกไป ครึ่งเทพมากมายต่างมีอาวุธเทพชั้นรอง หรือกระทั่งอาจจะมีมากกว่าหนึ่งชิ้น
หนำซ้ำระดับของอาวุธเทพชั้นรองในมือซือซูหานยังดีเยี่ยมมาก
ฟิ้ว!
ร่างจ้าวเฟิงวูบวาบ พุ่งทะยานเข้าไปหาซือซูหานผู้ทรงพลังในกลุ่มเพลิงสีทองปั่นป่วน
“อะไรกัน?” สีหน้าซือซูหานตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
เดิมเขาคิดว่าอย่างน้อยจ้าวเฟิงน่าจะเอาอาวุธชิ้นหนึ่งมารับมือเขา แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงกลับรับการโจมตีของเขาด้วยมือเปล่า
โครม!
ไฟสีทองปั่นป่วน สายฟ้าหมุนวน ร่างของซือซูหานกระเด็นไปปะทะกำแพงด้านข้าง
ทว่าตำหนักแห่งนี้ได้รับการปกป้องจากเทพแท้จริงเทียนหั่วก่อนแล้ว จึงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ซือซูหานมองจ้าวเฟิงอย่างตระหนก
จ้าวเฟิงในตอนนี้ระบายยิ้มมองหอกยาวในมือตน
หอกยาวเล่มนี้เป็นอาวุธเทพชั้นรองของซือซูหาน แต่ในขณะที่ประมือกันเมื่อครู่ เขาถูกเอาชนะได้ด้วยกระบวนท่าเดียว หนำซ้ำกระทั่งอาวุธเทพชั้นรองยังถูกจ้าวเฟิงช่วงชิงไปแล้ว
ในใจซือซูหานหวาดกลัวอย่างยิ่ง เหงื่อเย็นไหลเต็มแผ่นหลัง
แต่เดิมเขาคิดว่าจ้าวเฟิงสามารถเอาชนะผู้อาวุโสที่ห้าได้ ความสามารถน่าจะแข็งแกร่งกว่าตนเองเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเมื่อประมือกัน ซือซูหานไม่ต่างอะไรกับผู้อาวุโสที่ห้า พ่ายแพ้ราบคาบในกระบวนท่าเดียว
วูบ! อาวุธเทพชั้นรองชิ้นนั้นถูกจ้าวเฟิงเก็บเข้าไปในมนตราอากาศ
“ขอบคุณผู้อาวุโสซือที่มอบรางวัลให้ ข้าน้อยขอตัวก่อน!”
จ้าวเฟิงหัวเราะร่วนและถอยจากไป
ระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงไปถึงขั้นเทพแท้จริง การโจมตีจากคนต่ำกว่าเทพแท้จริงแทบไม่อาจสร้างอาการบาดเจ็บต่อเขาได้ ถึงแม้ที่นี่จะเป็นดินแดนเทพรกร้างก็ตาม
“ช้าก่อน สหายน้อย พลังของเจ้าแข็งแกร่งพอจะครอบครองแผนที่ของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง!”
และในเวลานี้เอง เทพแท้จริงเทียนหั่วที่อยู่ด้านบนในตำหนักเอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
เมื่อครู่ เขาเป็นคนจงใจให้ซือซูหานทดสอบพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงเอง
ในวินาทีที่จ้าวเฟิงและซือซูหานประมือกัน ทำให้เขาพอจะมองออกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือกายเทพ
จ้าวเฟิงมีขอบเขตพลังเพียงเทวาเร้นลับชั้นสูง แต่ระดับขั้นชีวิตกลับแตะถึงขั้นเทพแท้จริง หนำซ้ำเขายังฝึกฝนเคล็ดวิชาฝึกร่างอันสูงส่ง ร่างกายเทียบเท่าได้กับกายเทพ
และเพราะเหตุนี้ จ้าวเฟิงถึงสามารถมองข้ามการโจมตีทั้งหมดของซือซูหาน และแย่งชิงอาวุธเทพชั้นรองไปได้
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งนึกออก ข้ายังขาดอาวุธเทพอยู่อีกหลายชิ้น!”
จ้าวเฟิงชะงักฝีเท้า ก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
ซือซูหานก้มหน้าลงอย่างอับอายและแค้นเคือง อาวุธเทพชั้นรองของตนถูกจ้าวเฟิงช่วงชิงไป แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงยังพูดว่าตนเองขาดอาวุธอีก
“ในจุดนี้ สหายน้อยจ้าวอย่ากังวลใจไป!”
เทพแท้จริงเทียนหั่วลังเลครู่หนึ่ง ก็เอ่ยพลางยิ้มน้อยๆ
“ได้ เช่นนั้นข้าน้อยคงต้องขอรั้งอยู่ที่นี่ต่อ!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มเล็กน้อย หลังจากทำความเคารพแล้วจึงจากไปทันที
“ผู้อาวุโสความเป็นมาของเจ้าเด็กนี่ไม่ชัดเจน ละโมบโลภมากยิ่ง พวกเราจำเป็นต้องอาศัยพลังของเขาเช่นนั้นหรือ?”
ซือซูหานเอ่ยอย่างไม่พอใจ
เมื่อสูญเสียอาวุธเทพชั้นรองไป บางทีพลังซือซูหานอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสที่สามในเผ่าอีกต่อไปแล้ว
“ความสามารถของเขาแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าคิดไว้มาก อีกอย่างสถานการณ์ตอนนี้ของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองก็ไม่สู้ดีนัก…”
แววจนปัญญาพาดผ่านในแววตาเทพแท้จริงเทียนหั่ว เขาทอดถอนใจเบาๆ
หลังออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามของเผ่า จ้าวเฟิงถูกจัดแจงไปยังที่พักใหม่
ส่วนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวเองก็อยู่รอดปลอดภัย ได้เข้าร่วมเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง และมีความเป็นอยู่ในระดับที่สูงขึ้น
ในวันนี้ คนทั้งหมดของเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมาที่ด้านนอกตำหนักของจ้าวเฟิง
“บุญคุณของผู้อาวุโสจ้าว คนทั้งหมดในเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวไม่มีอะไรจะตอบแทน…”
เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวทั้งหมดคุกเข่าบนพื้น
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอด หากพวกเจ้าหวังจะได้รับความเคารพจากคนอื่นๆ ต้องอาศัยความสามารถของตนเองด้วย!”
จ้าวเฟิงเอ่ยทอดถอนใจ
“เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวเข้าใจดี…”
คนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมีสายตาแน่วแน่
จ้าวเฟิงสร้างความโกลาหลในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง ทำร้ายผู้อาวุโสระดับสูงจนเจ็บหนัก สังหารซือจินหวาทายาทของผู้อาวุโส ไม่เพียงแต่ไม่โดนลงโทษจากเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง แถมยังได้รับความสำคัญและความเคารพนับถือจากทั้งเผ่า
ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อาศัยพลังช่วงชิงมา
ส่วนเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับยังกุลีกุจอเอ่ยปากขอโทษก่อน จึงถูกเหยียดหยามจากเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง
ในวันนี้ เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวก็แค่อาศัยบารมีของจ้าวเฟิงเท่านั้น
ทันทีที่จ้าวเฟิงจากไป เกรงว่าสถานะของพวกเขาจะตกต่ำลง และจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกเหยียดหยามอีกครั้ง
เมื่อคนของเผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวจากไปแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านฝึกตน
ในมนตราอากาศ จ้าวเฟิงแบ่งห้วงความคิดออกเป็นจำนวนมาก
ห้วงความคิดกลุ่มแรกแบ่งออกไปฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ เพื่อสร้างความเสถียรต่อขอบเขตพลังของตนเอง
ไม่นานเท่าไหร่นัก ขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงก็ไปถึงเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์อย่างราบรื่น
ห้วงความคิดที่สองถูกใช้ไปเพื่อดูดซึมตราอัสนีเทวะ และใช้พลังอัสนีเทวะเสริมสร้างกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกัน
ตราอัสนีเทวะเป็นอาวุธสังหารของจ้าวเฟิงมาโดยตลอด ตั้งแต่ครอบครองผลึกเทพอัสนี จ้าวเฟิงก็ดูดซึมและผสานพลังอัสนีเทวะเข้าไปอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ทั้งสามารถเพิ่มพลังของตนเองขึ้น และเพิ่มสัดส่วนในการเสริมสร้างกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไปพร้อมกัน
ห้วงความคิดที่สาม จ้าวเฟิงใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตพลังสำนึกรู้
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
ปรากฏผลไม้เถาวัลย์สามลูกขึ้นด้านหน้าจ้าวเฟิง
ตอนนี้ ด้านบนผลไม้เหล่านี้ถูกขุดจนเป็นรูจำนวนไม่น้อย พลังสำนึกรู้ยิ่งหลั่งไหลออกมาราวสายน้ำปกคลุมทั่วร่างจ้าวเฟิง
จ้าวหวางและจ้าววั่นฝึกกันในที่ไม่ไกลจากจ้าวเฟิงมากนัก พลังสำนึกรู้กลุ่มนี้เอื้อประโยชน์ต่อพวกเขาสามคนอย่างมหาศาล
“พลังถึงจะเป็นทุกสิ่ง!”
แววตาของจ้าวเฟิงแน่วแน่
ถึงแม้ยามนี้เขาจะแฝงตัวปะปนในเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองได้เป็นอย่างดี
แต่ขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์สี่ดาวยังนับได้ว่าเป็นแค่ระดับกลางและล่างในดินแดนเทพรกร้าง ไม่มีอะไรควรค่าให้ยินดีแม้แต่น้อย
หนำซ้ำเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองก็เป็นขั้วอำนาจสี่ดาวที่อยู่ในระดับต่ำที่สุดและธรรมดาที่สุด มีเทพแท้จริงผู้มีอายุยืนยาวเพียงคนเดียวเท่านั้น
และเพราะเหตุนี้ พวกเขาเลยต้องการยอดฝีมือจากภายนอกโดยด่วน ถึงได้เกรงอกเกรงใจจ้าวเฟิงเช่นนี้
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์สี่ดาวครึ่งแห่งหนึ่ง พวกเขาจะไม่แยแสพลังเล็กน้อยของจ้าวเฟิง
“เผ่าพันธุ์วิญญาณ อย่างน้อยก็เป็นเผ่าพันธุ์ห้าดาว!”
ใจจ้าวเฟิงสั่นไหวน้อยๆ
หากใช้ความสามารถของเขาในตอนนี้เดินทางไปที่เผ่าพันธุ์วิญญาณ
คาดว่าน่าจะเหมือนตอนที่เผ่าพันธุ์แพะหยกเขียวมาถึงเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทอง มีเพียงถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเท่านั้น
สิบวันต่อมา ซือซูหานเดินทางมายังที่พักของจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง นี่คือแผนที่ล้ำค่าของเผ่าพันธุ์แพะเพลิงทองที่เจ้าต้องการ!”
ซือซูหานหยิบป้ายหยกที่มีอาคมพิเศษชิ้นหนึ่งออกมา