Skip to content

King of Gods 1299

King Of Gods

บทที่ 1299 เทพอสูรเนตรเทพเจ้า

หลังจากที่นั่นมา จ้าวเฟิงเดินเตร็ดเตร่ไปมาในงานชุมนุมเนตรเทพเจ้า

เมื่อซื้อทรัพยากรฝึกตนที่จำเป็นส่วนหนึ่งแล้ว จ้าวเฟิงมาพบเซี่ยโหวอู่ และยังบอกเขาอีกด้วยว่าตนเองจะออกเดินทางไปก่อน

เซี่ยโหวอู่แปลกใจอย่างมาก แต่เมื่อเห็นจ้าวเฟิงไม่อธิบายอย่างละเอียดจึงไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก จากนั้นจ้าวเฟิงกลับมายังที่พักอาศัย เข้าไปฝึกตนในมิติชุดคลุมช่วงหนึ่ง

จนถึงวันหนึ่งเขาได้รับคำสั่งจากเทพโบราณเฮยจี๋ ถึงลุกขึ้นและจากไป

งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าเป็นมิติที่แยกเดี่ยว หากต้องการจะเดินทางออกไปต้องใช้ค่ายกลส่งข้าม แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ผู้คนจะเดินทางจากไปมากจนเกินไปเมื่องานชุมนุมเนตรเทพเจ้าจบลง ค่ายกลส่งข้ามจึงมีหลายแห่ง หนำซ้ำสามารถใช้ได้ทุกเวลา และจุดที่ส่งไปนั้นจะอยู่ในอาณาเขตที่กำหนดไว้ของสองเขตพื้นที่

ในตอนที่จ้าวเฟิงยังไม่มาถึงตำหนักค่ายกล ก็เห็นเทพโบราณเฮยจี๋และคนอื่นที่อยู่ในตำหนักหลังนั้นแล้ว

“ไปได้!” ครั้นจ้าวเฟิงมาถึงแล้ว เทพโบราณเฮยจี๋ตะโกนเสียงเบา ทุกคนพลันหายตัวไปในแสงของค่ายกลส่งข้าม ในวินาทีต่อมา จ้าวเฟิงและพวกก็ปรากฏกายขึ้น ณ กลางอากาศเหนือหนองน้ำในเขตเทพสวรรค์

“ซากปรกหักพังแห่งนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก!”

เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยทันที จากนั้นจึงนำทางไป

ถัดจากนั้นทุกคนจึงเดินทางติดต่อกันสิบกว่าวันด้วยความเร็วสูง จนมาหยุดที่ป่ารกร้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง

“ก็คือที่นี่แหละ!” เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ย

จ้าวเฟิง หลินเฉิงอู่ กับสตรีโฉมสะคราญต่างใจสั่น จะเข้าไปในซากปรักหักพังเนตรเทพเจ้าแล้ว!

ทันทีที่เจอโอกาสภายในสถานที่ดังกล่าว สายเลือดดวงตาของพวกเขาจะแกร่งขึ้นมากราวติดปีกบิน

สวบ! เทพโบราณเฮยจี๋เข้าดำลงดิน พวกจ้าวเฟิงเองก็ไม่ยอมรั้งท้าย รีบตามไปติดๆ

เมื่อบินไปได้ระยะหนึ่งแล้วนั้น เทพโบราณเฮยจี๋ก็หยิบเอาจานหินสีดำชิ้นหนึ่งออกมา ด้านบนสลักอักขระประหลาดเอาไว้ ด้วยความรู้ของทุกคนจึงสามารถจำแนกได้ว่านั่นเป็นอักษรของเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์

เทพโบราณเฮยจี๋ประสานสัญลักษณ์มือใช้วิชา โคจรพลังเทพฟาดลงที่ด้านหน้า เหนือจานหินจึงเปล่งแสงสว่างสีดำ

โครม ครืน ครืน!

ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ใต้ดินก็สั่นสะเทือน ด้านหน้าไม่ไกลนักทะลักเสวียนอ้าวมิติมหาศาลออกมา

“ค่ายกลพรางตา!”ดวงตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย

เทพโบราณเฮยจี๋เพิ่มพลังในการขนส่ง อักษรยึกยือตัวเล็กพวยพุ่งออกจากจานหิน

ฟิ้ว เปรี๊ยะ! ตำแหน่งระลอกเสวียนอ้าวมิติด้านหน้าปรากฏรอยปริร้าวของมิติขึ้นช้าๆ

“ฉีกทึ้งมิติหรือ?” สตรีโฉมงามมีทีท่าตื่นตะลึง

“ข้าเคยบอกแล้วว่ามิติที่นี่บอบบางอย่างยิ่ง พลังฝึกตนสูงส่งเกินไปอาจจะเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ พึ่งพาอุปกรณ์พิเศษมาสร้างรอยร้าวก็ไม่ยากเย็นนัก…”

เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยขึ้นมาในทันที

วิ้ง! อักษรสีขาวพุ่งออกจากจานหินสีดำไม่หยุด

“เปิด!” เทพโบราณเฮยจี๋โคจรพลังอีกครั้ง ก่อนจะดำดิ่งเข้าไปในจานหินสีดำ

รอยร้าวมิติเส้นเล็กปริแยกออกเพิ่มขึ้นหลายส่วน จากนั้นสักพัก รอยโหว่ขนาดที่คนสามารถลอดเข้าออกได้ก็ปรากฏขึ้น

สวบ! สวบ! สวบ! หลังจากที่จ้าวเฟิงและพวกเข้าไปภายในนั้นแล้ว เทพโบราณเฮยจี๋ก็รีบตามเข้าไป

เมื่อทุกคนเข้าไปในมิติแปลกตาก็พลันสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายกดดันที่ยุ่งเหยิงลอยลงมา ทำให้พวกเขายากจะหายใจ

หมอกหนามืดครึ้มกระจายตัวที่ด้านหน้า ฟ้าดินจึงสลัวไร้พรมแดน รอบบริเวณเป็นกองหินเล็กละเอียดจำนวนใหญ่น้อย ประสาทสัมผัสเทพถูกกีดขวางจากหมอกควันมืดจนถึงขั้นที่มองเห็นได้ไม่ไกลเท่าสายตา

“ในตอนนี้พวกเราอยู่ในบริเวณรอบนอกของซากปรักหักพัง ที่นี่ไม่มีสมบัติอะไรทั้งนั้น!”

เมื่อเทพโบราณเฮยจี๋พูดจบก็เดินนำลิ่วไป

สวบ… ทุกคนชันกายขึ้นโบยบิน ในใจรู้สึกอดรนทนไม่ไหว

“รีบลงมาเร็ว!” ในเวลานี้เอง เทพโบราณเฮยจี๋ตะโกนเสียงดังก้อง

“ทำไมกัน?” สตรีนางนั้นขมวดคิ้วมุ่น

ในหมู่คนที่นี่ นางไม่วางใจเทพโบราณเฮยจี๋ที่สุด หวาดระแวงคนผู้นี้อย่างยิ่ง

“ต่อให้เป็นพื้นที่รอบนอกก็ยังมีเทพอสูรอยู่จำนวนมาก พลังของพวกมันถึงแม้จะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่เมื่อโดนรุมจำนวนมากๆ ก็เลวร้ายอยู่ดี…”

เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ย

แต่ในตอนนี้เอง เพราะทุกคนบินขึ้นสูงมากเมื่อครู่ ที่ไม่ไกลนักก็ปรากฏระลอกกลิ่นอายที่แข็งแกรงจำนวนมาก

“มีสิ่งมีชีวิตจากด้านนอก สังหารพวกมัน!”

“ไม่ได้กินเนื้อมานานแล้ว!”

ทุกคนได้ยินเสียงร้องตื่นเต้นและบ้าระห่ำจากไกลๆ

จากนั้นเหล่าเทพอสูรรูปร่างเป็นดวงตายักษ์สีสันต่างๆ มุดขึ้นมาจากใต้ดิน ก่อนบินตรงดิ่งไปหาทุกคนอย่างรวดเร็วพร้อมความโหดเหี้ยมกระหายเลือด

“กลัวอะไรกัน แค่อสูรระดับต่ำทั้งนั้น!” สตรีรูปงามลอยลงมาพลางเอ่ยเสียงต่ำ

อีกอย่างการสังหารเทพอสูรยังทำให้ได้รับผลึกเสวียนอ้าวในร่างพวกมันด้วย

“ผลึกเสวียนอ้าวระดับต่ำพวกนั้นจะเทียบสมบัติที่ใจกลางซากปรักหักพังได้อย่างไร? ถ้าอยากสังหารก็ไปสังหารเทพอสูรขั้นเจ็ดพวกนั้นนู่น!”

สีหน้าเทพโบราณเฮยจี๋เคร่งขรึม ตะโกนเสียงเย็น

เวลานี้เอง มีเทพอสูรแปดตัวเข้ามารอบๆ ทุกคน รักษาระยะห่างเอาไว้ประมาณหนึ่ง

เทพอสูรแปดตัวนั้นมีตัวหนึ่งที่ละม้ายว่าจะเป็นเนตรมรณะ กลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุด สูงส่งจนถึงขั้นหก ส่วนเทพอสูรดวงตาตัวอื่นๆ จึงดูอ่อนแอลงไปมาก

โครม ฟุ่บ ฟุ่บ!

เทพอสูรทั้งหมดต่างรักษาระยะห่าง ก่อนจะกระตุ้นวิชาดวงตาเพื่อโจมตีพวกเทพโบราณเฮยจี๋ทั้งสี่คน

ในทันใดนั้นเอง เส้นแสง ไอเหมันต์ และลูกเพลิงต่างๆ พร้อมกับการโจมตีทั้งชั้นกายเนื้อและวิญญาณก็ตรงดิ่งไปหาทุกคนอย่างรวดเร็ว

“ยกให้ข้าจัดการแล้วกัน!” สตรีนางนั้นแค่นเสียงหยัน พลังดวงตาทรงพลังที่ดวงตานิ่งสงบปลดปล่อยออกมามืดสลัวลง ภายในค่อยๆ ปรากฏเกลียวสีดำขึ้น

เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าก่อนนี้นางใช้เคล็ดวิชาปิดบังลักษณะสายเลือดดวงตาของตัวเอง

“เนตรสังสารวัฏ!” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย

คนอื่นที่เหลือไม่มีใครเป็นคนอ่อนแอทั้งสิ้น

สตรีวงหน้างามนางนี้มีเนตรสังสารวัฏ มีหุ่นเชิดที่สามารถสู้รบได้จำนวนมาก

ส่วนหลินเฉิงอู่จ้าวเฟิงเคยเห็นพลังที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งแล้ว

แต่ผู้ที่ทำให้จ้าวเฟิงหวาดระแวงที่สุดเห็นจะเป็นเทพโบราณเฮยจี๋ผู้ครอบครองเนตรมรณะ

ฟิ้ว! เนตรสังสารวัฏของสตรีนางนั้นค่อยๆ โคจร พลังเสวียนอ้าวสีเหลืองเข้มชั้นหนึ่งกระเพื่อมออกมา

สวบ! สวบ! สวบ! เงารูปร่างประหลาดสามสายพุ่งออกมาจากในดวงตาของนาง ทั้งหมดเป็นกายวัฏสงสารทั้งสิ้น!

ในวินาทีที่ทั้งสามร่างปรากฏตัวก็สำแดงเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่ง ขัดขวางการโจมตีรอบบริเวณเอาไว้

“พวกเรานำไปก่อน ยกที่นี่ให้พวกเขาจัดการ!”

สตรีวงหน้างามเอ่ยโดยพลัน

ทุกคนเข้าใจในความหมายที่นางต้องการจะสื่อ กายวัฏสงสารไม่ตายและไม่ดับสูญ ต่อให้เทพอสูรจำนวนมากจะล้อมสังหารก็ยังฟื้นคืนชีพจากเนตรสังสารวัฏของสตรีนางนั้นได้อยู่ดี

อีกอย่างคือกายวัฏสงสารเหล่านี้เป็นแค่ระดับเทพแท้จริงขั้นห้าและหกเท่านั้น

สวบ! เทพโบราณเฮยจี๋เดินนำทางต่อ เหล่าคนตามหลังไป

มีเทพอสูรตาแดงตัวหนึ่งเตรียมพุ่งเข้าโจมตีทุกคน

“คมดาบประกายมิติ!”

หลินเฉิงอู่ปรายตามองเล็กน้อย คมดาบผลึกสีขาวกึ่งโปร่งแสงสายหนึ่งทะลักออกมาสังหารเทพอสูรตัวนั้น จากนั้นพวกเขาก็เก็บซ่อนระลอกพลังและกลิ่นอาย พุ่งทะยานไปบนพื้นดินด้วยความรวดเร็ว

เทพโบราณเฮยจี๋เคยสำรวจสถานที่แห่งนี้มาก่อน จึงคุ้นเคยเส้นทางเป็นอย่างดี สามารถหลบจุดที่มีเทพอสูรจำนวนมากได้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยากที่ทุกคนจะหลีกเลี่ยงไม่ให้เทพอสูรบางส่วนตื่นตระหนก แต่เมื่อเทพอสูรพวกนั้นปรากฏตัวขึ้น ก็แทบจะถูกเนตรมิติของหลินเฉิงอู่สังหารในทันที

ทันใดนั้น ซากปรักหักพังรกร้างด้านหลังระเบิดออก ดวงตายักษ์สีม่วงเข้มก็ทะยานออกมา

สีหน้าทุกคนชาวาบ กลิ่นอายของเทพอสูรตัวนี้น่าจะแตะขั้นหกสุดยอดแล้ว

“ผู้บุกรุกต้องตาย!”

เทพอสูรสีม่วงตัวนั้นเข้าโจมตีจ้าวเฟิงที่ตามอยู่หลังสุดของกลุ่ม อีกสองคนในกลุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็จับตามองจ้าวเฟิง

วู้ม! หมอกแสงมายาในดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงหมุนวน พลังศาสตร์ลวงตาและวิญญาณกระจายตัวออกมา

วินาทีต่อมา เทพอสูรที่ดุร้ายตัวนั้นก็หยุดนิ่งอยู่กับที่

“วิชาดวงตามายา!”

ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างชะงักไป แต่คนที่ตกใจที่สุดเห็นจะเป็นเทพโบราณเฮยจี๋

จากรายงานข่าวที่เขาได้มา ดวงตาของจ้าวเฟิงชำนาญวิชาดวงตามิติและประสาทสัมผัสอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ยังสำแดงวิชาศาสตร์ลวงตาที่แข็งแกร่งมากอีก ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก ทิศทางในการพัฒนาของสายเลือดดวงตามีเพียงแค่หนทางเดียวเท่านั้น แต่ดวงตาของจ้าวเฟิงเหมือนจะชำนาญทุกอย่าง

หลายวันต่อมา ฝีเท้าเทพโบราณเฮยจี๋ค่อยๆ ผ่อนลง

“พวกเราเข้าใกล้ใจกลางซากปรักหักพังแล้ว!”

เทพโบราณเฮยจี๋หยุดฝีเท้า

ตอนนี้รอบบริเวณล้วนแต่เป็นสถานที่รกร้าง มีสิ่งปลูกสร้างหลังใหญ่ที่พังทลาย

‘อาคารบ้านเรือนของเผ่าความลับสวรรค์ เกี่ยวข้องกับแปดเนตรเทพเจ้าอีกแล้ว!’

สีหน้าจ้าวเฟิงหนักอึ้งเล็กน้อย เขาเคยเข้าไปในเมืองของเผ่าความลับสวรรค์ จึงเข้าใจในสถานที่เหล่านั้นมาก

จากที่เขาดูสิ่งปลูกสร้างที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ที่เผ่าความลับสวรรค์สร้างขึ้นด้วยมือของตนเอง แต่เทพอสูรรอบบริเวณกลับเกี่ยวข้องกับแปดเนตรเทพเจ้า ทำให้ในหัวของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยคำถาม

“ตอนที่ข้าสำรวจที่นี่ก่อนหน้านี้ก็พบคลังสมบัติสามแห่ง แต่เพราะความสามารถไม่มากพอจึงไม่อาจเข้าไปค้นดูภายใน…”

เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยเสียงต่ำ

ต่อมาเขาจึงใช้วิธีฉายภาพ แสดงให้เห็นลักษณะของคลังสมบัติทั้งสาม

ที่แรกก็คือสระน้ำดำที่เทพโบราณเฮยจี๋เคยแสดงให้จ้าวเฟิงเห็นในปราการแลกเปลี่ยนลับ ภายในนั้นมีผลึกทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีดำจำนวนมากลอยอยู่

จุดที่สองคือสิ่งปลูกสร้างผุพังที่ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมประหลาด เทพโบราณเฮยจี๋ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็เจอเทพอสูรขั้นเจ็ด ภายในนั้นน่าจะมีตัวที่แข็งแกร่งกว่า

จุดที่สามก็คือสิ่งปลูกสร้างจากเหล็กขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ระลอกกลิ่นอายพิเศษที่กระจายอยู่ภายในไม่ธรรมดาเลย แต่รอบบริเวณนั้นมีเทพอสูรคอยวนเวียนอยู่มากมายนัก

สุดท้ายเมื่อทุกคนปรึกษากันแล้วจึงตัดสินใจไปคลังสมบัติแห่งแรก เพราะที่นั่นดูไปแล้วน่าจะอันตรายน้อยที่สุด

“ตกลง!” เทพโบราณเฮยจี๋ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเริ่มนำทาง

จ้าวเฟิงรีบสำรวจรอบบริเวณ รวมไปถึงคนอื่นๆ ในกลุ่มด้วย แน่นอนว่าแววตาจ้าวเฟิงจ้องไปที่ไกลๆ

“หืม!” จ้าวเฟิงมีท่าทีประหลาดใจ ร่างกายสั่นน้อยๆ

“เป็นอะไรไป?” สตรีด้านหน้าเขาเอ่ยถามขึ้นมา

“ทางนั้นมีคน!” สีหน้าจ้าวเฟิงเคร่งขรึมลงไป ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ

ทันทีที่พูดออกมา ทั้งสามคนที่เหลือสั่นเทิ้ม

นอกจากพวกเขาสี่คน ที่นี่ยังมีคนอื่นอีกหรือ?

หลังจากตื่นตะลึง แววตาของสตรีงามนางนั้นและหลินเฉิงอู่มองไปที่เทพโบราณเฮยจี๋ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง

“มองข้าทำไมกัน? ถึงแม้ว่าข้าจะนำทางพวกเจ้า แต่ข้าก็เอาเรื่องของซากปรักหักพังแห่งนี้ไปบอกให้คนอื่นมาสำรวจที่นี่ด้วยงั้นสิ?”

เทพโบราณเฮยจี๋ทำหน้าอย่างผู้บริสุทธิ์

“จ้าวเฟิง เจ้าคงจะมองผิดไปกระมัง ที่นี่ค่อนข้างมืด ประสาทสัมผัสเทพก็ถูกขัดขวางเอาไว้!”

เทพโบราณเฮยจี๋มองจ้าวเฟิง ก้นบึ้งดวงตาฉายแววเย็นชา

สีหน้าสตรีโฉมงามและหลินเฉิงอู่ค่อยๆ ดีขึ้น ในเวลาเดียวกันก็สำรวจทิศทางที่จ้าวเฟิงบอกด้วย

ฟ้าดินที่นี่เต็มไปด้วยพลังบ้าคลั่งรุนแรงที่ลอยล่องอยู่ รบกวนประสาทสัมผัสเทพเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมองไม่เห็นได้ไกลเท่าใช้สายตามอง ยิ่งไปกว่านั้นทุกคนต่างเป็นทายาทเนตรเทพเจ้า ทัศนวิสัยย่อมดีกว่าคนทั่วไปมาก แต่พวกเขาไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

สตรีวงหน้างามและหลินเฉิงอู่มองจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าระแวดระวัง

“อาจจะเป็นแบบนี้กระมัง!”

จ้าวเฟิงรู้สึกเหมือนถูกใส่ร้าย จึงได้แต่พูดเช่นนี้

ดวงตาซ้ายของเขามีความสามารถในการมองไกลและมองทะลุผ่านแข็งแกร่งมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเงินมายาแล้ว ความสามารถพวกนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก ทัศนวิสัยในการมองเห็นก็เพิ่มขึ้นถึงสามสี่แสนลี้

ทุกคนเดินหน้าต่อไป แต่ในใจกลับไม่สงบนิ่ง แต่ละคนมีเรื่องครุ่นคิดในหัว

‘ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!’

สีหน้าจ้าวเฟิงเคร่งขรึมลงไป ในใจอดเฝ้าระวังยิ่งกว่าเดิมไม่ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!