บทที่ 563 ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หนุนหลังนาง 5
หลังจากเธอปรากฏตัวขึ้นมา พูดจาสองสามคำ ก็ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มอับจนวาจาได้แล้ว
ถึงแม้ว่าเหล่าเด็กหนุ่มจะไม่พอใจยิ่งนัก แต่ก็สรรหาถ้อยคำมาตอกหน้านางกลับไม่ได้ชั่วขณะจริงๆ
กู้ซีจิ่วกวาดสายตามองพวกเขาอีกครา “ความจริงแล้ว ข้าประหลาดใจนัก สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มิใช่ว่าตัดขาดจากโลก
ภายนอกหรอกหรือ? แล้วพวกเจ้าไปได้เรื่องซุบซิบนินทาเหล่านี้มาจากไหนกัน?”
“เหอะ ถ้าไม่อยากให้ผู้อื่นทราบ ก็มิควรกระทำ เรื่องราวเหล่านั้นของเจ้าแพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินนานแล้ว!” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเบะปาก
“เช่นนั้นพวกเจ้าได้ยินเรื่องเหล่านี้มากจากผู้ใด?”
พวกเด็กหนุ่มพากันขมวดคิ้ว “พวกเราจะมาฟังมาจากผู้ใด แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า เอาเป็นว่าพวกเรารู้ก็พอ รู้เอาไว้ซะว่าถ้าไม่มีไฟก็คงไม่มีควัน”
“ใช่แล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเราจะฟังมาจากผู้ใด”
เกิดเสียงจ้อกแจ้กจอแจ คนเหล่าเริ่มเอ่ยแบบเจ้าทีข้าทีขึ้นมาอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วอดทนฟังพวกเขาพูดจนจบ กล่าวโพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ข่าวลือพวกนี้พวกเจ้าล้วนได้ยินมาทั้งสิ้น มีผู้ใดเคยเห็นเรื่องจริงกับตาบ้างหรือ ไม่?”
“แล้วที่ได้ยินมามิใช่ความจริงหรอกหรือ?”
“ใช่แล้ว…”
เหล่าเด็กหนุ่มเริ่มโต้แย้งอีกครั้ง แต่ละคนต่างรู้สึกว่าตนเป็นดั่งจอมยุทธ์ผู้สูงส่ง เปี่ยมด้วยคุณธรรม
กู้ซีจิ่วยิ้มเยาะ ดูเหมือนไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน ก็ไม่เคยขาดสิ่งมีชีวิตจำพวกนักเลงคียบอรด์เลย มีนิสัยปากดีแค่บน
อินเตอร์เน็ตอย่างเดียว เห็นอย่างไรก็ร่ำลืออย่างนั้น
บางคนกระตือรือร้น ที่จะแพร่ข่าวลือ ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ก็จะมีคนที่ชอบมองแค่มุมเดียวเสมอ
เห็นทีว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเธอจะแพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาแห่งนี้แล้ว ที่นี่ตัดขาดจากโลกภายนอก บรรดาศิษย์ไม่ได้
ออกไปไหนง่ายๆ ว่ากันตามเหตุผลแล้วคนพวกนี้ไม่น่าจะรู้เรื่องของเธอมากขนาดนี้ นอกเสียจากจะมีคนจงใจใส่สีตีไข่ลับหลัง
ต้องการเธอโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิง…
ข่าวลือคือสิ่งที่ไม่อาจทำลายให้สิ้นซากได้ แถมยังอธิบายให้กระจ่างไม่ได้ ยิ่งอธิบายยิ่งบานปลาย ยิ่งอธิบายยิ่งวุ่นวาย
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่คิดจะอธิบายแก่พวกเขา ทว่ามีบางคนถามขึ้นอีก “กู้ซีจิ่ว เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าข่าวลือพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริง? เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ามิได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เหล่าพี่น้องสิ้นชีพ? เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้ามิใช่สาเหตุที่ทำให้ตระกูลกู้ของพวกเจ้าตกต่ำ?”
กู้ซีจิ่วแย้มยิ้ม เธอถามกลับไป “บุรุษที่หนึ่งสังหารบุรุษที่สอง พวกเจ้าเห็นเพียงว่าบุรุษที่สองถูกสังหาร เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงถูกสังหาร? บางทีเขาอาจต่อยตีกับผู้อื่นจนตาย หรือบางทีเขาอาจจี้ปล้นบุรุษที่หนึ่งจนถูกสังหารตาย หรือบางทีบุรุษที่สองอาจเป็นคนชั่วช้า ที่ฆ่าคนวางเพลิงก่อกรรมทำเข็ญ บุรุษที่หนึ่งจึงสังหารเขาลงทัณฑ์แทนสวรรค์เบื้องบน พวกเจ้าเห็นแค่ผลลัพธ์ก็จะไม่ถามแล้วหรือว่าเรื่องจริงเป็นมาอย่างไร? เรื่องราวเรื่องหนึ่งต่อให้เคยมีประสบการณ์มากับตัวแต่ถ้าไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดขาดหายไปเพียงเล็กน้อยก็มีความเป็นไปได้ที่จะผิดพลาดไปไกลโข นับประสาอะไรกับเพียงได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมาเล่า? ยิ่งมิอาจทราบได้ว่าห่างไกลจากความเป็นจริงมากน้อยเพียงใด!”
เหล่าเด็กหนุ่มเงียบงัน…
กู้ซีจิ่วเป่านิ้วมือเล็กน้อย กล่าวอย่างเฉื่อยชา “พวกเจ้า รู้สึกว่าตนมีคุณธรรม แต่อาจกลายเป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดในคำวิจารณ์ที่ใครบางคนตั้งใจกุขึ้น…”
เด็กหนุ่มเหล่านั้นยังคงเงียบงัน
กู้ซีจิ่วพลิกเล็บมือไปมาอีกครา จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนถูกอาจารย์ฝ่ายปกครองเข้าสิง จึงสั่งสอนบทเรียนชีวิตให้เจ้าเด็กแสบพวกนี้
เด็กแสบนั้นสั่งสอนได้ยาก โดยเฉพาะเด็กแสบที่เป็นอัจฉริยะเช่นนี้ ยิ่งสั่งสอนยากกว่าเดิม
ตอนนี้ เหล่าเด็กแสบถูกเธอตอกกลับจนพูดไม่ออก และไม่รู้ว่าฟังเข้าหัวบ้างหรือ กู้ซีจิ่วก็คร้านจะสนใจอีก เธอเดินเข้าไปใกล้ เจ้าหอยยักษ์ แล้วมองเชียนหลิงอวี่ที่มองตนด้วยสายตาแวววาว ถามอย่างตรงไปตรงมายิ่งนัก “เอาล่ะ บอกข้าสิ สรุปแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เชียนหลิงอวี่ยังไม่ค่อยอยากพูด ทว่าเจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ด้านนั้นกลับทำราวกับพบเจอญาติฝ่ายมารดา บอกกล่าวอย่างชัดเจนมิมีปิดบังทันที
ที่แท้ เรื่องราวง่ายดายยิ่งนัก เจ้าหอยยักษ์กำลังล่าสัตว์ เชียนหลิงอวี่ก็กำลังล่าสัตว์