Skip to content

ลำนำบุปผาพิษ 1130

บทที่ 1130 แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้

ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “พวกเรามาเจรจากัน!”

โม่เจ้ายิ้มนิดๆ เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาตกเป็นรองแล้ว ทว่ามิได้ลนลานเลย “เจรจาอะไร?”

ตี้ฝูอีถอนหายใจ “เจ้าก็ดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้เล่า? แน่นอนว่าเป็นการเจรจาเรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกัน

ตอนนี้คนของเจ้าอยู่ในมือข้าสามคน สามคนนี้สำคัญกับเจ้าแค่ไหนคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากกระมัง? ข้าจะใช้สามคนนี้แลกตัวกู้ซีจิ่ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”

โม่เจ้าหลุบตาลง ความสำคัญของหลงฟั่นไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ การฟื้นคืนชีพของเขายังขึ้นอยู่กับหลงฟั่น ถ้าไม่มีหลงฟั่นเขาจะไม่มีร่างกายที่เป็นของตนอย่างแท้จริงไปตลอดกาล และอีกสองคนที่เหลือ ล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของฝ่ายเขา พลังยุทธ์เกือบบรรลุขั้นเก้าแล้ว ต่างคนต่างมีความสามารถเฉพาะตัว เป็นกำลังสำคัญในการกรีธาทัพยึดครองใต้หล้าให้เขา

เพื่อมิให้ดึงดูดความสนใจของคนฝ่ายธรรมะ กองกำลังกว่าร้อยสิบคนที่โม่เจ้าพาไปจึงต้องแยกย้ายกันกลับมา เนื่องจากรถม้าสามคันนี้ต้องบรรทุกตัวเชลย ดังนั้นภายในรถม้าทุกคันจึงจัดวางลูกน้องไว้สองคน คนหนึ่งบังคับรถ อีกคนจับตามองเชลยในห้องโดยสาร ในรถม้าของเขาคันนี้จัดวางสารถีไว้เพียงหนึ่งคน รถม้าคันนั้นของหลงฟั่นก็มีลูกน้องคนเดียวที่คอยบังคับรถม้า เมื่อนับรวมหลงฟั่นที่อยู่ด้านในด้วยมีลูกน้องติดตามกลับมาทั้งหมดห้าคน แต่ยามนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของตี้ฝูอีสามคน ไม่จำเป็นต้องถามเลยอีกสองคนที่เหลือถูกลูกน้องทั้งสองคนของตี้ฝูอีสังหารและเข้า

แทนที่ไปแล้ว กู่ฉานโม่ที่โผล่มาอย่างกะทันหันก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด

เขาเชิดหน้าขึ้น “ครั้งนี้ผู้ที่ปะปนมาในรถของข้าคงจะยังมีอีกคนกระมัง? ออกมาเถิด! ให้ข้าได้ยลว่าเป็นคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกัน!”

บนรถม้าคันนั้นของหลงฟั่น ม่านรถพลันเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเยือกเย็น สวมอาภรณ์สีดำราวกับนํ้าหมึก สวมหน้ากากเงินทรงผีเสื้อบดบังครึ่งหน้าส่วนบนเหนือริมฝีปากขึ้นไปเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงริมฝีปากซีดจาง เรือนกายสูงโปร่งดั่งต้นอวี้

หลังจากเขาออกมา ก็มองโม่เจ้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย

โม่เจ้าตะลึง เขาร้องเหอะคราหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นการหัวเราะหรือว่าเยาะหยัน “ที่แท้ทูตสวรรค์ซ้ายขวาก็มีช่วงเวลาที่ร่วมมือกันด้วยสินะ!”

ทูตสวรรค์ซ้ายขวาขึ้นชื่อว่าไม่ถูกกัน ก่อนหน้านี้ยังเคยต่อสู้กันด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยแทบจะเอ่ยถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้เลย หากกล่าวถึงเขาจะจากไปอย่างไม่ไว้หน้าเลย ตอนที่โม่เจ้าเป็นหรงเช่อก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าสองคนนี้เข้ากันไม่ได้ยิ่งกว่านํ้าแข็งกับไฟเสียอีก เมื่อก่อนเขายังคิดกระทั่งว่าจะดึงตัวทูตสวรรค์ฝ่ายขวามาเข้าพวกกับตน เคยตีสนิทกับเขาอย่างเจตนาและไม่เจตนา ที่แท้แล้วเรื่องที่บอกว่าพวกเขาไม่ถูกกันกลับเป็นเรื่องเท็จ ดูเหมือนจะเป็นการแสดงละครเช่นกัน!

เทียนจี้เยวี่ยเอ่ยอย่างเฉยเมย “ความขัดแย้งระหว่างข้ากับเขาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การปราบมารพิทักษ์คุณธรรมกลับเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน ของข้ากับเขา ร่วมมือกันแล้วมีอันใดน่าประหลาดเล่า?”

โม่เจ้ายกมุมปากขึ้น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาผู้สูงส่งทะนงตนมาโดยตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะยอมลดตัวลงมาปลอมเป็นสารถี ลำบากท่านแล้ว”

นํ้าเสียงเทียนจี้เยวี่ยรายเรียบไร้ระลอกอารมณ์ “แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้ ข้าปลอมเป็นสารถีแล้วมีอันใดน่าประหลาดกัน?”

โม่เจ้าพูดไม่ออกแล้ว

เขามองเทียนจี้เยวี่ยกับกู่ฉานโม่ เดาได้แล้วว่าพวกเขาเข้าแทนที่ผู้ใด สองคนนี้เคยปลอมตัวเป็นลูกน้องของเขาสกัดกั้นมู่อวิ๋นและมู่เหล่ยไว้ในภัตตาคาร แทงมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยจนบาดเจ็บแล้วจับตัวไว้…

เนื่องจากลูกน้องสองคนนี้ที่พวกเขาปลอมตัวเป็นยามปกติล้วนเป็นผู้ที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทุกครั้งที่ลงมือ หากคนไม่พิการจะไม่เลิกรา ดังนั้นเมื่อสองคนนี้เป็นกำลังหลักที่จับกุมมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ย โม่เจ้าจึงวางใจยิ่งนัก ไม่ได้ไปดูอาการของมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยเลย ทราบเพียงว่ายามนั้นพวกเขาโลหิตไหลท่วมร่าง บาดเจ็บสาหัสพร้อมสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!