บทที่ 89 เจ้ายอมแพ้เถอะ
แทบจะวินาทีที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นมานั้นเอง เป่ยหันเลี่ยหนึ่งในศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าของชายฝั่งทิศเหนือพลันยิ้มออกมาน้อยๆ เดิมทีเขาก็รูปงามอยู่แล้ว ตอนนี้พอยิ้มเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้สายตาของลูกศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อยของชายฝั่งทิศใต้แพรวพราวเปล่งประกาย
ใบหน้าเขาอมยิ้ม ตบลงไปบนตัวสัตว์รัตติกาลท่าทางดุร้ายที่นอนหมอบอยู่ข้างกายแล้วเดินหน้าออกไป หัวของสัตว์รัตติกาลตัวนั้นส่ายไหวหนึ่งที แววตาอึมครึม หยัดกายขึ้นยืน
ชั่วขณะที่สุนัขใหญ่ตัวนี้ลุกขึ้น ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้จำนวนไม่น้อยส่งเสียงตื่นตะลึงออกมาโดยพลัน
ร่างของสัตว์รัตติกาลเมื่อยืนขึ้นสูงพอหนึ่งจั้งกว่า ร่างหนาแกร่งกร้าวไปทั้งตัวคล้ายแฝงฝังพลังอันไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ หัวกะโหลกใหญ่มหึมา เมื่อแยกเขี้ยวออกมายังมีน้ำลายไหลลงมาตามมุมปาก ขนสีดำฟูฟ่อง ทำให้สุนัขใหญ่ตัวนี้ยิ่งดูดุร้ายมากขึ้น
โดยเฉพาะขาทั้งสี่ของมันที่หนายิ่งกว่าท่อนขาของคนทั่วไปเสียอีก แถมยังมีกระดูกปูดโปนออกมา กระโดดหนึ่งทีก็ขึ้นมายืนอยู่บนเวทีประลอง เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามนี้กลายเป็นคลื่นเสียงโหมซัดไปแปดทิศ ทำให้สัตว์ร้ายข้างกายลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนไม่น้อยพากันตัวสั่น ไม่กล้าเงยหน้าราวกับเจอราชาแห่งสัตว์
เป่ยหันเลี่ยเดินขึ้นเวทีประลองไปพร้อมรอยยิ้มในหน้า สายตากวาดผ่านกลุ่มคนของชายฝั่งทิศใต้
“ชายฝั่งทิศเหนือ เป่ยหันเลี่ย ไม่ทราบว่าผู้ที่ต้องประลองกับข้าคือสหายท่านใด?”
จากคำพูดของเขาที่ดังออกมา สุนัขใหญ่ข้างกายเขาตัวนั้นน้ำลายหยดติ๋งๆ ต่อเนื่อง นัยน์ตาเผยประกายเย็นชาโหดเหี้ยม ฟันก็เหมือนยาวขึ้นมาอีกเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นใครก็ตาม เมื่อได้เห็นสัตว์ที่ดุร้ายเช่นนี้ย่อมสูญเสียความกล้าในการรบไป โดยเฉพาะเมื่อมันแลบลิ้นออกมา กลิ่นอายอำมหิตแผ่ซ่านยิ่งเด่นชัดเป็นพิเศษ
ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้เงียบงัน มองไปยังกลุ่มคนด้านหน้าซึ่งรวมป๋ายเสี่ยวฉุนที่ไม่ใครออกไปประลอง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเป่ยหันเลี่ย และก็มองสุนัขใหญ่ตัวนั้นอีกที ดวงตาหมุนกลอก เผยสีหน้าแปลกประหลาด ไอแห้งๆ หนึ่งทีแล้วค่อยเดินออกไปอย่างองอาจ
เมื่อเขาเดินออกไป ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้ที่อยู่เบื้องหลังล้วนมองนิ่งเป็นตาเดียวกัน เผยแววคาดหวัง สัตว์รัตติกาลขนาดยักษ์นั่น เวลานี้ดวงตาประกายเขียวเป็นมันขลับก็จ้องมองมายังป๋ายเสี่ยวฉุนมั่น
ป๋ายเสี่ยวฉุนวางมาดของยอดฝีมือ เชิดหน้าขึ้น เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง นกฟ่งเหนี่ยวตัวนั้นของผู้เฒ่าโจวที่อยู่บนฟ้าห่างออกไปก็เหมือนจะสังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเช่นกัน
“ชายฝั่งทิศใต้ ป๋ายเสี่ยวฉุน!” ขึ้นมาอยู่บนเวทีประลอง ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งจะพูดจบ อยู่ๆ สัตว์รัตติกาลตัวนั้นก็คำรามเสียงต่ำขึ้นมาหนึ่งที ความโหดเหี้ยมในแววตากลายเป็นไอสังหาร คล้ายกับต้องการเขมือบกลืนป๋ายเสี่ยวฉุน
“ป๋ายเสี่ยวฉุน? ได้ยินว่าศึกคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติของชายฝั่งทิศใต้คราวนี้เจ้าได้ที่หนึ่ง?” เป่ยหันเลี่ยมองการแต่งตัวของป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเหยียดหยันอย่างเปิดเผย
“เจ้าชื่อเป่ยหันเลี่ยใช่ไหม ข้าให้โอกาสเจ้ายอมแพ้ครั้งหนึ่ง!” ไอสังหารจากสุนัขใหญ่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ใจเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แต่สีหน้าของเขากลับยังคงรักษามาดของยอดฝีมือผู้โอหัง ดั่งเมฆขาวบนท้องนภาเอาไว้ได้
“ยอมแพ้?” เป่ยหันเลี่ยได้ยินเข้าก็อึ้งไป จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง ราวกับได้ยินเรื่องชวนหัวที่ตลกอย่างถึงที่สุด นัยน์ตาค่อยๆ เผยให้เห็นไอสังหาร
“น่าสนใจ หลายปีมานี้เจ้าเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนแรกที่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้” เป่ยหันเลี่ยยกมือขวาขึ้นทำมุทรา กำลังจะควบคุมสัตว์รัตติกาล
“เป่ยหันเลี่ย นี่เป็นโอกาสสุดท้ายในการยอมแพ้ของเจ้าแล้ว เมื่อข้าป๋ายเสี่ยวฉุนลงมือ แม้แต่ตัวข้าก็ยังกลัวตัวเอง ข้าแนะนำว่าเจ้า…อย่าให้ข้าลงมือจะดีกว่า” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจเสียงเบาราวกับเป็นยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทาน เบื่อหน่ายใต้หล้า สายตาตอนมองไปยังเป่ยหันเลี่ยยังเผยแววเห็นอกเห็นใจ
ในเวลานี้ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้ล้วนเซ่อกันไปหมด พวกเขามองป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วก็มองเป่ยหันเลี่ย โดยเฉพาะสุนัขใหญ่ดุร้ายตัวนั้น ไม่ว่าจะเปรียบเทียบคนทั้งสองยังไง ก็ดูเหมือนเป่ยหันเลี่ยน่าเกรงขามกว่ามาก
แต่คำพูดของป๋ายเสี่ยวฉุนกลับทำให้ในใจของทุกคนจากชายฝั่งทิศใต้เกิดความหวังขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แต่พอนึกถึงประวัติชั่วร้ายฉาวโฉ่ของป๋ายเสี่ยวฉุนที่ผ่านๆ มา ฝูงชนของชายฝั่งทิศใต้ก็เริ่มคำนวณผลได้ผลเสีย
ส่วนชายฝั่งทิศเหนือเวลานี้ก็พากันหัวเราะเสียงดัง เสียงเย้ยหยันดังมาให้ได้ยินไม่หยุด
“ไอ้หมอนี่มันโง่หรือไง ศิษย์พี่เป่ยคือหนึ่งในห้าศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ แม้จะเทียบกุ่ยหยาไม่ได้ แต่ต่อให้เป็นศิษย์พี่กุ่ยหยาเองก็ยังยอมรับในความสามารถของศิษย์พี่เป่ย เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่มันเป็นใครถึงได้อวดดีขนาดนี้”
“ศิษย์พี่เป่ยไม่เพียงแต่มีความสามารถแข็งแกร่ง สัตว์รัตติกาลตัวนั้นของเขาแม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก ถือเป็นราชาแห่งสัตว์ กล้ามเนื้อแข็งแกร่ง พละกำลังมหาศาล ปกติคำรามเสียงต่ำหนึ่งทีก็พาเอาขวัญผวากันแล้ว เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนนี่…ตัวก็ผอมแห้ง คาดว่าถูกกัดคำเดียวขาคงขาดเสียแล้วกระมัง!”
“ศิษย์พี่เป่ยต้องชนะ!”
เป่ยหันเลี่ยขบขันป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งนัก นัยน์ตาเปล่งประกายเย็นยะเยียบ ตัดสินใจแน่แล้วว่าต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้หนังถลอกปอกเปิกกันบ้าง แม้ไม่ตายแต่ก็ต้องมีหนังหลุด จึงทำมุทรากำลังจะลงมือ
“เมื่อใดที่ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเองจริงๆ นะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจหนึ่งครั้ง ขณะที่พูด มือขวาของเขาก็ตบลงไปบนถุงเก็บของ ยาสองเม็ดปรากฏออกมาทันที
เวลาเดียวกันนี้เป่ยหันเลี่ยแสยะยิ้ม ทำมุทราชี้ไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสัตว์รัตติกาลขี้รำคาญที่รออยู่ด้านข้างก็คำรามดังหนึ่งเสียง ตรงดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ส่วนทางฝ่ายเป่ยหันเลี่ยเองก็สะบัดร่างหนึ่งครั้ง พุ่งออกมาด้วยความรวดเร็ว ปานรูปพระอาทิตย์บนหน้าผากเปล่งแสง ถลาเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
แต่พริบตาที่หนึ่งคนหนึ่งสัตว์พุ่งเข้ามานั้นเอง ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดความเร็วกระโดดขึ้นพรวด ดีดยาเม็ดหนึ่งใส่สัตว์รัตติกาล
ดวงตาสัตว์รัตติกาลเปล่งประกายอำมหิตขณะที่คำรามเสียงต่ำ เดิมทีสามารถหลบเลี่ยงได้สบายๆ แต่ร่างกลับหยุดชะงัก สีหน้าเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ก่อนจะอ้าปากกลืนยาเม็ดนั้นลงไปตรงๆ โดยไม่ยอมหลบหลีก
หลังจากกินยาเม็ดนี้เข้าไปแล้ว ร่างของสุนัขใหญ่ตัวนี้สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยในพริบตา ตลอดทั้งร่างมีเสียงตูมตามดังสนั่น ร่างกายที่เดิมทีก็ใหญ่โตล่ำสันอยู่แล้ว เวลานี้กลับพองขยายใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว
ปุ่มกระดูกยิ่งมีมาก ฟันก็ยิ่งยาว!
น้ำลายของมันไหลย้อยลงมา โดยเฉพาะระหว่างขาทั้งสองที่เวลานี้มีแท่งหนึ่ง…ตั้งชันขึ้น!
ตลอดทั้งร่างดุร้ายเกินจะเปรียบ ยากจะบรรยายขึ้นมาโดยพลัน
ดวงตาของมันแดงก่ำอมม่วง หอบหายใจหนัก สติคล้ายเลอะเลือน กรงเล็บทั้งคู่กวาดเกาพื้น เงยหน้าขึ้นฟ้าเปล่งเสียงคำรามแปลกประหลาดสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ยามเสียงโฮกๆ ดังไปทั่วบริเวณ ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่นอกเวทีล้วนหายใจเฮือกขึ้นมา
“นี่มัน…นี่มันคือยาอะไร!!”
“ทะแม่งๆ แหะ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าท่าทางของสุนัขใหญ่ตัวนี้คุ้นตานัก…” ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศใต้เปล่งเสียงตกตะลึง
ส่วนทางฝ่ายของชายฝั่งทิศเหนือทุกคนกลับเบิกตากว้าง มองการเปลี่ยนแปลงของสัตว์รัตติกาลหลังจากที่กลืนยาเม็ดนั้นลงไป พวกเขาสัมผัสได้ถึงพละกำลังของสุนัขใหญ่ตัวนี้ที่เพิ่มพรวดขึ้นสู่ระดับน่ากลัวอย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่กล้ามเนื้อเท่านั้นที่ยิ่งแข็งแกร่ง แม้แต่ความบ้าคลั่งก็ทำให้ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือจำนวนไม่น้อยตะลึงระคนดีใจ
“ยานี่มีผลถึงขนาดนี้เชียวรึ!”
“ทำให้สัตว์ร้ายบ้าคลั่งได้!!”
ภาพนี้ทำให้คนไม่น้อยตกตะลึง แม้แต่เป่ยหันเลี่ยเองก็ยังอึ้งไป เริ่มไม่เข้าใจสถานการณ์เล็กน้อย แม้จะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าสัตว์รัตติกาลตัวนี้แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับรู้สึกว่าไม่น่าจะใช่เรื่องดี
“แนะนำเจ้าอีกครั้งนะ ยอมแพ้เถอะ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้า เอ่ยปากเนิบนาบ
“เดิมคิดว่าครั้งนี้หักแขนเจ้าสักข้างก็พอ ในเมื่อเจ้าแสร้งใช้ลูกไม้ตบตาคนเช่นนี้ คราวนี้ข้าจะต้องหักแขนขาเจ้าให้หมด!” ไอสังหารในดวงตาของเป่ยหันเลี่ยอบอวล แม้ว่าศึกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจจะห้ามเอาชีวิตกัน แต่การที่กระดูกหักเอ็นฉีกนั้นเป็นเรื่องเลี่ยงได้ยาก ขณะที่พูดร่างของเขาก็พุ่งถลาเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ มือขวายกขึ้นเหวี่ยงออกไปหนึ่งครั้ง ยาหอมนารีที่เขาหลอมออกมาลอยดิ่งเข้าหาเป่ยหันเลี่ย
พอโยนยาเม็ดนี้ออกไปแล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ถอยหลังไปอยู่ริมขอบเวทีอย่างว่องไว ยืนอยู่ตรงนั้น สังเกตหันเป่ยเลี่ยอย่างตื่นเต้น
ดวงตาทั้งคู่ของหันเป่ยเลี่ยหดตัว ขณะกำลังคิดจะหลบเลี่ยง ยาเม็ดนี้กลับแตกกระจายออกมาเอง กลายเป็นฝุ่นผงปกคลุมไปรอบด้าน ไม่ว่าเป่ยหันเลี่ยจะหลบหลีกอย่างไรก็ยังเกาะติดอยู่บนตัวเขาไม่น้อย
เขาหน้าเปลี่ยนสีด้วยนึกว่าเป็นยาพิษ ถอยหลังกรูด ขณะที่ตรวจสอบอย่างเร่งด่วนอยู่นั้นกลับพบว่าไม่มีอาการผิดปกติใดๆ กลับกันคือมีกลิ่นหอมประหลาดระลอกหนึ่ง เป็นกลิ่นที่หอมมาก
เขาขมวดคิ้วประหลาดใจมากกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะรีบรบรีบจบนั้นเอง พลันได้ยินเสียงคำรามต่ำดังลอยมาจากข้างกาย ครั้นกวาดสายตาไปก็หน้าเผือดสี
เห็นแค่เพียงว่าสัตว์รัตติกาลที่กำลังร้องเสียงดังโฮกๆ ตัวนั้น เวลานี้หันขวับมาหา ลมหายใจหอบหนัก ดวงตาเปล่งแสงสีแดงดุเดือด จ้องเขม็งมายังเป่ยหันเลี่ย
เป่ยหันเลี่ยถูกจ้องเสียจนอกสั่นขวัญหาย ขณะกำลังจะเข้าควบคุม เสียงคำรามลั่นสนั่นฟ้าดังหนึ่งครั้ง สัตว์รัตติกาลตัวนั้นกระโจนเข้าหาเป่ยหันเลี่ยอย่างรวดเร็ว เป่ยหันเลี่ยหลบไม่ทันจึงถูกสัตว์รัตติกาลกระโจนใส่จนล้มคว่ำไปกองกับพื้น
“สมควรตายเอ้ย เจ้าบ้าไปแล้วรึ!! เจ้าจะทำอะไร!” เป่ยหันเลี่ยสีหน้าดำคล้ำ เพิ่งจะตะโกนอย่างโกรธแค้นก็ถูกสุนัขใหญ่ตัวนั้นกดแผ่นหลังเอาไว้อย่างแน่นหนาทันที สัตว์รัตติกาลตัวนี้พละกำลังมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้กำลังบ้าคลั่ง ถึงขนาดทำให้เป่ยหันเลี่ยไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ลางสังหรณ์เลวร้ายระลอกหนึ่งทำให้เป่ยหันเลี่ยสีหน้าซีดขาวทันควัน
เวลานี้ลูกศิษย์ฝ่ายนอกทุกคนที่อยู่รอบด้านล้วนเขยิบเข้ามาใกล้ด้านหน้าอย่างอดไม่อยู่ เบิกตากว้างอ้าปากค้างมองภาพนี้ แม้แต่ผู้นำและผู้อาวุโสที่อยู่บนแท่นยกเหล่านั้นก็ยังพากันมองไป หรือกระทั่งพลังจิตของผู้อาวุโสไท่ซ่างบนยอดเขาก็ยังสังเกตการณ์อยู่เช่นกัน
ภาพที่ตามมาติดๆ ทำให้ทุกคนสำลักลมหายใจ ถึงขั้นตะลึงพรึงเพริด…จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงโหยหวนเศร้าสลดของเป่ยหันเลี่ย
“ไม่…ไม่…เจ้า!! อ๊าก!!!” เสียงโหยหวนของเป่ยหันเลี่ยสะท้านสะเทือนฟ้าดิน สีหน้าของเขาเจ็บปวด นัยน์ตายิ่งงงงวยเคว้งคว้าง ราวกับไม่อยากเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน เสียงโหยไห้แหลมและเศร้ากำสรดอย่างถึงขีดสุด
“สวรรค์!! นี่มันยาอะไรกัน ไม่ใช่กระตุ้นให้บ้า แต่กระตุ้น…กำหนัด!”
“นี่…นี่…”
“นี่ศิษย์พี่เป่ยถูกสัตว์รบของตัวเอง…จัดการแล้วรึ?!” ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศเหนือพากันส่งเสียงดังลั่น แต่ละคนไม่อยากเชื่อ ถึงขั้นที่ว่าลูกศิษย์เกินครึ่งล้วนหายใจถี่กระชั้น นัยน์ตาเผยความหวาดผวาและสะท้านสะเทือนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ส่วนการดิ้นรนขัดขืนของเป่ยหันเลี่ยในยามนี้ก็ถึงขั้นบ้าคลั่ง เสียงโหยหวนของเขาดังต่อเนื่องไม่หยุด แหลมเศร้าเกินจะเปรียบ ภาพเขย่าขวัญนี้ได้สร้างประวัติการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสำนักธาราเทพ
แม้แต่กุ่ยหยาเองเวลานี้ก็ยังตะลึงงัน ขณะที่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมอง ร่างของเขาสั่นเทา เบิกตาถลน ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
ลูกศิษย์ทุกคนของชายฝั่งทิศใต้เวลานี้รู้สึกแค่เพียงเสียงตูมตามในสมอง ความคิดหายเกลี้ยง ซ่างกวานเทียนโย่วตะลึงลาน รู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบเลวร้ายไปหมด ส่วนโจวซินฉีหน้าแดงแปร๊ดทันที
ป๋ายเสี่ยวฉุนที่ยืนอยู่บนเวทีก็อกสั่นขวัญผวาเช่นเดียวกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลองเอายากระสันซ่านมาเป็นอาวุธในการต่อสู้ ไม่คิดว่าจะน่าตะลึงถึงเพียงนี้…เวลานี้มองไปยังเป่ยหันเลี่ยที่เกาะพื้นร้องโหยหวนน่าเวทนา เขาเองก็อดสงสารไม่ได้ ถอนหายใจออกมาอีกที
“ข้าก็บอกแล้วไง เมื่อใดที่ข้าลงมือ แม้แต่ข้าก็ยังกลัวตัวเอง ยังเกลี้ยกล่อมเจ้าอยู่ตั้งหลายครั้ง แต่เจ้า…กลับหลงงมงายในทางที่ผิดนี่นา” ป๋ายเสี่ยวฉุนอดไม่ไหว รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างมาก
“ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” และในเวลานี้เอง เสียงคำรามเคืองแค้นเสียงหนึ่งดังลอยมาจากกลางอากาศ เป็นอาจารย์ของเป่ยหันเลี่ย ไอเหี้ยมโหดไหลเวียนตลอดร่าง คำรามเข้ามาใกล้ สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที สัตว์รัตติกาลตัวโตที่ทับอยู่บนร่างเป่ยหันเลี่ยตัวนั้นก็ถูกม้วนร่าง โดนโยนกระเด็นออกไปไกล เขาโอบอุ้มเอาเป่ยหันเลี่ยที่ไม่มีหน้าจะมองใครขึ้นมา มีความรู้สึกเหลวไหลบางอย่างเกิดขึ้น แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกไม่อยากอยู่ที่นี่นาน เมื่อขึงตาใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างโกรธแค้นครั้งหนึ่งก็รีบจากไป
ส่วนเป่ยหันเลี่ย บาดแผลทางกายและความเจ็บปวดทางใจทับถมรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขาต้องหลับตาลง สิ้นสติไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาไม่รู้แล้วว่าต่อไปจะมีหน้าไปพบใครได้อย่างไร ความรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ราวกับฝันร้าย
———