บทที่ 134 วิญญาณไม่สลายหายไป…
หมอกควันในหุบเหวโหมซัดสาด เผยให้เห็นดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นี้มีหลากหลายสีสันเปลี่ยนสลับกันไปมา หยุดอยู่นานที่สุดคือสีแดงอมม่วง เวลานี้กำลังมองนิ่งมายังป๋ายเสี่ยวฉุน
เพียงแค่ดวงตาคู่เดียวก็ใหญ่พอๆ กับร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองดูอยู่ถึงกับสำลักลมหายใจ เขาไม่รู้ว่าร่างกายของมังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนี้แท้จริงแล้วจะใหญ่มากแค่ไหนกันแน่ อีกทั้งเขายังพอมองเห็นเขาสวรรค์ที่อยู่ในกลุ่มหมอกได้รำไรด้วย
เวลานี้เขาแน่ใจอย่างยิ่งแล้วว่าเมื่อครู่นี้มังกรนิลเขาสวรรค์กำลังพูดอยู่จริงๆ จึงตื่นเต้นขึ้นมาทันที คิดอยู่ชั่วครู่เขาก็กัดฟัน
“ท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าจะพยายามเต็มที่!” ป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนตัวกลับ นัยน์ตาฉายแววตั้งมั่น นี่คือความหวังครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว หากสามารถทำให้มังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนี้อุทิศตนได้หนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าสัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดของตัวเองก็จะออกมาสมบูรณ์แบบแล้ว
“จุดกำเนิดชีวิตเหี่ยวเฉา ต้องการให้มันคึกคักขึ้นมา ก็จำเป็นต้องใช้การกระตุ้นที่รุนแรง การกระตุ้นประเภทนี้…ไม่มีอะไรได้ผลไปมากกว่ายากระสันซ่านแล้ว!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดวงตาแดงก่ำ บินดิ่งออกมาจากหอร้อยสัตว์ ตรงไปทางเขาจ้งเต้า อาศัยสถานะของตัวเองและคะแนนคุณความดีปริมาณแลกเอาพืชหญ้าจำนวนมหาศาลมาจากเขาจ้งเต้า
พืชหญ้าพวกนี้ต้องจ่ายคะแนนคุณความดีหมดไปเกินครึ่ง ถึงขนาดที่ถุงเก็บของยังใส่ไม่หมด ต้องใช้มากถึงเจ็ดถุงจึงจะบรรจุทั้งหมดลงไปได้ ทำเอาลูกศิษย์ที่รับผิดชอบเรื่องการแลกพืชหญ้าตาค้างอ้าปากกว้าง เขารับผิดชอบการแลกพืชหญ้าอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นว่ามีคนกระทำการใหญ่โตสั่นคลอนฟ้าดินได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าเขาจำป๋ายเสี่ยวฉุนได้ หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนจากไป ลูกศิษย์ผู้นี้ก็สูดลมหายใจเฮือก มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนเป็นเทพเจ้าในร่างคนไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนป๋ายเสี่ยวฉุนหลังจากที่แลกเอาพืชหญ้าปริมาณมากมาได้ก็กลับเข้าไปในหุบเหวสัตว์โบราณ เริ่มหลอมยาอย่างเต็มกำลัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่งไปเสียแล้ว
“ข้าต้องหลอม…สุดยอดยากระสันซ่าน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเน้นกัดฟัน เขาต้องเพิ่มประสิทธิผลของยา เปลี่ยนแปลงตำรับยา เพื่อให้ประสิทธิภาพของยานี้เพิ่มขึ้นสูงร้อยเท่าพันเท่า
เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วเจ็ดวัน เจ็ดวันมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้พักผ่อน ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงไปหมด จมจ่อมอยู่ท่ามกลางการหลอมยาอย่างเต็มตัว บางครั้งสุนัขสีดำตัวใหญ่นั้นก็จะลากสัตว์รบมาให้ ทุกครั้งป๋ายเสี่ยวฉุนก็จะโยนแผ่นหยกที่สามารถเปิดค่ายกลได้เพียงครั้งเดียวไปให้หนึ่งแผ่นเพื่อตัดรำคาญ
เจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ฉลาดมาก คาบเอาแผ่นหยกไปได้ก็ลากสัตว์รบกลับเข้าไปในหอเรือน คล้ายกังวลใจว่าหากตนเองไม่สามารถทำภารกิจที่ป๋ายเสี่ยวฉุนมอบหมายให้สำเร็จ ต่อไปก็จะไม่มีโอกาสมาที่นี่อีก ดังนั้นไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่อุทิศตัว ยังลากสัตว์รบเข้าไปอุทิศตัวด้วย ไม่จำเป็นต้องให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมาสนใจเลยสักนิด เพียงแต่ว่าเนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้อยู่ที่นี่ ดังนั้นการอุทิศตัวหลายครั้งของเจ้าสุนัขจึงไม่มีการควบคุมจำนวนครั้ง…
เวลาเดียวกันนั้น ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือก็เริ่มคลั่งกันมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาพบว่าสัตว์รบของตัวเองจะหายตัวไปอย่างกะทันหัน พอหาเจอก็จะมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป บางตัวลำพองใจคล้ายตัวเองคือราชันแห่งโลกใบนี้ บางตัวก็พลุ่งพล่านไอสังหารตลบอบอวล บางตัวเคลิบเคลิ้ม หวนระลึกถึงบางเรื่องอย่างไม่รู้จักจบสิ้น สีหน้าท่าทางแต่ละอย่างเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้านายจะสื่อสารด้วยอย่างไรก็ล้วนไม่ได้รับคำตอบ
สัตว์รบที่เป็นเช่นนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังมีสัตว์รบบางส่วนที่คล้ายว่าเคยโดยเจ้านายกดขี่มากเกินไป เวลาปกติไม่กล้าขัดใจ แต่เมื่ออยู่ในโลกมายา เห็นได้ชัดว่าตกอยู่ในโลกที่ตัวเองพลิกกลับมาเป็นเจ้านายแทน ดังนั้นตอนที่กลับมาจึงมีบางส่วนที่ควบคุมไม่อยู่ วางท่าแสดงอำนาจบาตรใหญ่อีกครั้ง…ตลอดทั้งชายฝั่งทิศเหนือจึงอลหม่านกันไปหมด
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!!”
“ต้องมีปัญหาแน่นอน ตรวจสอบ ต้องตรวจสอบให้เจอให้ได้!!”
ขณะที่แม้แต่ผู้อาวุโสของชายฝั่งทิศเหนือก็ยังสัมผัสได้ว่าสัตว์รบของตัวเองมีอาการเดียวกัน ลูกศิษย์ของชายฝั่งทิศเหนือก็ได้เคลื่อนกำลังพลค้นหาสาเหตุกันแล้ว
เวลาผ่านไปอีกสามวัน ป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับปีศาจบ้าคลั่ง เขาในเวลานี้ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ทั้งยังถึงขนาดวิ่งไปข้างเหวเพื่อขอเลือดหนึ่งหยดมาจากมังกรนิลเขาสวรรค์ด้วย
หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่มีทางทำเรื่องอันตรายเช่นนี้แน่นอน แต่ตอนนี้เขาตกอยู่ในสภาวะบ้าคลั่งจึงไม่ได้พิจารณาว่าจะมีผลร้ายอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น
พอในเหวเกิดความเงียบไปชั่วขณะ ป๋ายเสี่ยวฉุนยังถึงขั้นเร่งเร้าอย่างอดรนทนไม่ไหวด้วยซ้ำ ไม่นานก็มีเลือดสีดำหยดหนึ่งลอยขึ้นมาจริงๆ เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนบรรจุใส่ขวดเรียบร้อยก็รีบกลับเข้าไปในถ้ำ เทใส่ยาวิเศษและทำการหลอมต่อไป
ห้าวันต่อมา ท่ามกลางการหลอมยาอย่างไม่ยอมหลับยอมนอนติดต่อกันครึ่งเดือนของป๋ายเสี่ยวฉุน ในที่สุดช่วงสายัณห์ของวันนี้ สุดยอดแห่งยาเม็ดหนึ่งก็หลอมออกมาได้สำเร็จ
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังก้อง ป๋ายเสี่ยวฉุนมองยาด้านหน้าที่ขนาดประมาณกะโหลกศีรษะคน พลันเงยหน้าหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยาเม็ดนี้ไม่ได้มีแค่ขนาดใหญ่เท่านั้น อีกทั้งปริมาณยังมากเพียงพอด้วย
โดยเฉพาะพริบตาที่หลอมออกมาได้นั้น กลิ่นหอมแพร่กระจายออกไปรอบถ้ำหิน สุนัขสีดำตัวใหญ่ตัวนั้นกำลังลากสัตว์รบตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาหา พอได้กลิ่นหอมนี้ร่างก็สั่นเยือก เห่าหอนขึ้นมาหนึ่งที ดวงตาแดงก่ำ หมุนตัวบินทะยานออกไปจากบริเวณของหอร้อยสัตว์ ไม่รู้ว่าไปที่ไหน…
ส่วนผืนป่าของหอร้อยสัตว์ เนื่องจากกลิ่นนี้กระจายออกไป ยามนี้จึงมีเสียงคำรามแหบแห้งพลุ่งพล่านของสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนดังออกมาให้ได้ยิน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นว่าแค่กลิ่นก็ได้ผลมากถึงเพียงนี้จึงยิ่งหัวเราะเสียงดังก้องกังวานไปใหญ่ เขาฮึกเหิมเกินจะเปรียบ แต่รู้สึกว่านี่ยังไม่พอ เพื่อความมั่นใจ เขามองไปรอบกายแล้วถือยาบินจากไป
เมื่อหาสถานที่ที่ไม่มีใครสนใจเจอจึงหยิบเอาหม้อใบใหญ่สีดำออกมาเริ่มหลอมพลังจิต จนกระทั่งหลอมไปได้สามครั้ง ทำให้สุดยอดยาขนาดมโหฬารซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในโลกแห่งการบำเพ็ญตบะใบนี้ กลายมาเป็นสิ่งของระดับดีทันที!
“ยาเม็ดนี้ต้องสำเร็จอย่างแน่นอน หากยังไม่สำเร็จ นับแต่นี้ไปข้าป๋ายเสี่ยวฉุนจะไม่หลอมยาอีกเลย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนห้าวหาญเป็นกำลัง มั่นใจอย่างยิ่งยวด เอายากลับไปหยุดอยู่ข้างร่องน้ำของหุบเหวสัตว์โบราณ แล้วจึงโยนลงไปด้านล่าง
พอยาตกลงไปในหมอกสีดำก็หายไปมองไม่เห็นอีก ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ริมเหว รอคอยอย่างช้าๆ เวลาผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมั่นใจแค่ไหนก็ยังเริ่มเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่จริงหรอกมั้ง นั่นเป็นยาที่มีประสิทธิพลยิ่งกว่าเดิมนับพันเท่าเชียวนะ!” ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม หน้าผากของป๋ายเสี่ยวฉุนมีเหงื่อผุดซึม ขณะที่กำลังร้อนใจ ทันใดนั้นไอหมอกที่อยู่ล่างเหวพลันโหมซัดไล่กันอย่างรุนแรง เสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินดังลอยออกมาจากไอหมอกนั่นเป็นระยะ ทั้งยังมีลมคลั่งกวาดผ่านไปทั่วทิศ ร่างป๋ายเสี่ยวฉุนถอยกรูดติดๆ กัน ตอนที่มองไปยังที่แห่งนั้น เสียงดังกัมปนาทก็พุ่งออกจากไอหมอกของหุบเหวทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไอหมอกนี้กลายร่างเป็นเสาขนาดยักษ์ รอบด้านมีเส้นสีดำมากมายสุดคณาลอยวนโอบล้อม ทำให้กลางอากาศเกิดการบิดเบือน เวลาเดียวกันนั้น เสียงตกตะลึงระคนดีใจพลันดังสะท้อนไปทั่วทิศ
“ในที่สุดข้า…ก็สัมผัสได้ถึงความพลุ่งพล่านของเลือดที่เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตอีกครั้งแล้ว!!” เมื่อเสียงนี้ปรากฏขึ้น เสาไอหมอกนั้นก็พังทลายกระจายไปทั่วด้านทันที จากนั้นกรงเล็บขนาดมหึมาข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในหุบเหว เมื่อคว้าจับลงไปบนหน้าผานอกเหวได้ก็ตามมาด้วยเสียงตึงดังหนึ่งครั้ง แม้แต่ผืนดินยังสั่นสะเทือนไปด้วย
กรงเล็บนี้ดำสนิท เกล็ดแต่ละแผ่นบนกรงเล็บล้วนใหญ่พอตัวคนหนึ่งคน ปลายเล็บแหลมคม สาดประกายแสงทะมึนทึบ และยิ่งมีพลังอำนาจที่ทำให้คนตัวสั่นกระจายออกมาจากกรงเล็บนี้
เวลาเดียวกันนั้น หัวที่ใหญ่โตมโหฬารราวกับภูเขาหนึ่งลูกก็ค่อยๆ ยื่นออกมาจากในหุบเหว นั่นคือมังกรยักษ์สีดำตัวหนึ่ง ศีรษะของมันมีเขางอกขึ้นมาหนึ่งแท่ง เมื่อเขานี้โผล่ออกมาก็คล้ายจะทำให้ฟ้าดินพร่าเลือนขึ้นมาเล็กน้อย
โดยเฉพาะดวงตาของมังกรยักษ์ตัวนี้ที่ไม่ได้ใหญ่แค่หนึ่งจั้งกว่า เพราะเมื่อลืมตาขึ้นอย่างเต็มที่มันก็ยิ่งใหญ่โตมากกว่าเดิม บนร่างของมันเผยให้เห็นการผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความโชกโชนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบศีรษะที่สามารถมองเห็นบาดแผลมากมายเกินจะนับซึ่งหายดีแล้ว สามารถจินตนาการได้ว่ามังกรยักษ์ตัวนี้ต้องเคยผ่านการเข่นฆ่ามามากมายหลายปีอย่างแน่นอน
เวลานี้แม้ว่ามันจะแก่ชรา ทว่าพลังอำนาจบนร่างกายกลับยังคงไม่ลดลงไป กลับกันคือยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น บัดนี้เงยหน้าคำรามเสียงยาว สัตว์ร้ายทุกตัวที่อยู่ในผืนป่าล้วนตัวสั่นสะท้าน รีบหมอบลงไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิด
ป๋ายเสี่ยวฉุนพยายามกลืนน้ำลายลงคอ มองมังกรยักษ์เบื้องหน้าที่ใหญ่โตเกินจะเปรียบ ยากจะอธิบายได้ โดยเฉพาะร่างของอีกฝ่ายโผล่มาแค่ไม่ถึงครึ่งตัว เห็นได้ชัดว่ายังมีอีกหลายส่วนที่อยู่ในเหวลึก ป๋ายเสี่ยวฉุนแข้งขาอ่อนเปลี้ย ในสมองมีเสียงดังหวึ่งๆ ไม่หยุด
เวลานี้เอง มังกรยักษ์ตัวนั้นพลันหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุน ศีรษะขนาดมโหฬารพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกกดดันมากเกินไป ศีรษะของอีกฝ่ายคล้ายจะแทนที่ผืนฟ้าทั้งหมดได้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนตื่นเต้นรีบเรียกเสียงสูง
“ท่านผู้อาวุโสเขาสวรรค์ ข้าป๋ายเสี่ยวฉุนไงขอรับ ท่านจำข้าได้ใช่ไหม ยานั่นข้าเป็นคนหลอมเอง หลอมตั้งครึ่งเดือนเชียวนะ กว่าจะหลอมสำเร็จข้าก็เกือบจะเอาชีวิตน้อยๆ นี่ไม่รอดเลยขอรับ”
มังกรนิลเขาสวรรค์แสยะปากคล้ายกำลังยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วกลับน่าขนพองสยองเกล้าเสียมากกว่า คราวนี้ไม่รอให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปาก มังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนี้ก็พลันย่อร่างลงมา ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นกับตาตัวเองว่าร่างกายมหึมานั้นเวลานี้ได้เปลี่ยนมาเป็นกิ้งก่าสีดำตัวหนึ่งที่มีขนาดแค่สามจั้ง
กิ้งก่าตัวนี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน กดกรงเล็บลงไปบนพื้นหนึ่งครั้ง รอบด้านพลันบิดเบี้ยว เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นได้ชัดเจนอีกครั้งก็ค้นพบอย่างตะลึงว่าตัวเองได้กลับมาอยู่ด้านข้างหอเรือนแล้ว
“เมล็ดพันธุ์กำเนิดสัตว์จริงเสียด้วย ยามที่เมล็ดนี้ถูกปลูกลงที่นี่ ข้าก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมันแล้ว…ใช้มายาเข้าสู่สติ ใช้สติปลุกต้นกำเนิดชีวิตให้ฟื้นตื่น ใช้ต้นกำเนิดชีวิตรวบรวมออกมาเป็นเลือดกลับคืนสู่รากเหง้า บางทีสายเลือดของข้าอาจจะสืบทอดต่อไปโดยผ่านเมล็ดพันธุ์นี้ก็เป็นได้” มังกรนิลเขาสวรรค์คล้ายกำลังปลงอนิจจังกับตัวเอง ไม่ได้สนใจป๋ายเสี่ยวฉุน สะบัดร่างหนึ่งที ตอนที่เข้าไปใกล้ดอกกำเนิดสัตว์ ดอกไม้นี้พลันสั่นระริก อ้าปากกว้าง เขมือบกลืนมังกรนิลเขาสวรรค์ลงไป
มังกรนิลเขาสวรรค์ไม่ได้ต่อต้าน ปล่อยให้ถูกกลืนเข้าไปพร้อมความคาดหวัง
ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยความตื่นเต้น มองไปยังดอกกำเนิดสัตว์ มังกรนิลเขาสวรรค์ที่อยู่ด้านในไม่รู้ว่าเจอกับโลกมายาแบบใดถึงได้ไม่อยู่นิ่งเฉยแบบสัตว์ตัวอื่น แต่เป็นส่งเสียงคำรามฮึ่มฮั่มออกมา ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ เขารู้สึกว่าคราวนี้ตัวเองก่อเรื่องใหญ่เข้าให้แล้ว เขาเป็นกังวลมากว่าดอกกำเนิดสัตว์ที่ตัวเองปลูกจะไม่สามารถแบกรับมังกรนิลเขาสวรรค์ที่น่าหวาดกลัวได้ไหว
ท่ามกลางการขอพรของป๋ายเสี่ยวฉุน เวลาผ่านไปสองชั่วยาม มังกรนิลเขาสวรรค์ถึงได้บินออกมา สีหน้าเคร่งขรึม ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็พุ่งเข้าไปด้านในอีกครั้ง
เวลาหมุนเปลี่ยน เก้าวันผ่านไป ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปยังมังกรนิลเขาสวรรค์ตัวนั้นที่อุทิศตัวติดต่อกันห้าสิบกว่าครั้งเกินเจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่นั่นไปแล้ว ซึ่งเวลานี้เพิ่งจะบินออกมาด้วยความปลดปลง
“แม้ว่าโลกมายาจะดี แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น…เจ้าตัวน้อย เจ้านี่เก่งไม่เบา ต่อไปมีเรื่องอะไรก็มาหาข้า ขอแค่ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่เกินไปนัก ข้าล้วนช่วยเจ้าได้” สัตว์เทพพิทักษ์สำนักธาราเทพเสียงดังราวกับระฆังกังวาน กล่าวชมเชยป๋ายเสี่ยวฉุน ขณะกำลังจะจากไป ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกว่าครั้งนี้ตัวเองได้ช่วยสำนักไว้จริงๆ อีกทั้งยังเป็นเรื่องดีเรื่องใหญ่มากด้วย
ดังนั้นจึงรีบเอ่ยปาก
“ท่านผู้อาวุโสเขาสวรรค์ ท่านช่วยเรียกสัตว์พิทักษ์ภูเขาทั้งสี่ของชายฝั่งทิศเหนือมาหน่อยได้หรือไม่ขอรับ ให้พวกมันอุทิศตัวสักหน่อย แล้วก็ยังมีสัตว์ของท่านผู้นำพวกนั้นด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองมังกรนิลเขาสวรรค์ด้วยสายตารอคอย
“เจ้าพวกนั้นน่ะหรือเจ้าตัวน้อย เรื่องเล็ก!” มังกรนิลเขาสวรรค์แสยะปากยิ้ม พลันเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจหนึ่งครั้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกแค่เพียงว่าฟ้าดินบิดเบือนไปเล็กน้อย พริบตาเดียว เบื้องหน้ามังกรนิลเขาสวรรค์ นกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสี อีกาสามตา ภูตภูเขา และยังมีกิ้งก่าของยอดเขาฉงติ่งพลันปรากฏตัวขึ้นมา ด้านหลังของพวกมันยังมีสัตว์รบของพวกผู้นำเขาตามมาด้วย
หลังจากสัตว์รบพวกนี้ปรากฏตัว ทุกตัวร่างสั่นเทิ้ม อีกาสามตาและนกฟ่งเหนี่ยวเจ็ดสีตัวสั่นระริก นัยน์ตาเผยแววหวาดกลัว ภูตภูเขาเองก็ยังตัวสั่นหมอบคลานอยู่กับพื้น
กิ้งก่าของเขาฉงติ่งก็ยิ่งขาอ่อนกว่าใคร นอนหมอบพังพาบลงไปบนพื้น ส่วนสัตว์รบของผู้นำทั้งสี่เขาก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างบ้าคลั่ง มองสัตว์รบด้านหน้าที่เคยยโสโอหัง เวลานี้กลับทำตามคำสั่งของมังกรนิลเขาสวรรค์อย่างว่าง่าย แต่ละตัวกระโดดเข้าไปในดอกกำเนิดสัตว์ จนกระทั่งเช้าตรู่วันที่สอง แต่ละตัวถึงได้จากไปด้วยสีหน้าท่าทางแปลกประหลาดต่างกัน มังกรนิลเขาสวรรค์ก็กลับไปด้วยเช่นกัน ก่อนจากไปยังหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาชื่นชมอีกหนึ่งครั้ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนเงยหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะเสียงดัง เขาตื่นเต้นฮึกเหิม พอมองดอกกำเนิดสัตว์ที่เวลานี้กำลังหุบดอกลงช้าๆ ไม่ปล่อยกลิ่นออกมาอีก แต่เริ่มตั้งท้องเพื่อคลอดสัตว์รบ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็พอใจและเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ที่มากกว่านั้นคือความภาคภูมิใจ เขาเองก็ได้ยินเรื่องที่ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือกำลังตรวจสอบหาสาเหตุที่สัตว์รบพลุ่งพล่านมาเหมือนกัน จึงยิ่งลำพองใจเข้าไปใหญ่
“สัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว หึๆ ลูกศิษย์ชายฝั่งทิศเหนือทั้งหลาย พวกเจ้าเตรียมตัวสั่นสะท้านเถอะ! สัตว์รบที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าตัวนี้ ข้าได้ตั้งชื่อไว้ให้มันเรียบร้อยแล้ว มันชื่อว่าเถี่ยตั้น”
“พวกเจ้าไม่ให้ข้ายืมสัตว์ก็ยังพอว่า ยังมาใส่ร้ายข้าป๋ายเสี่ยวฉุนอีก รอจนพวกเจ้าตรวจสอบหาสาเหตุที่สัตว์รบพลุ่งพล่านเจอ รู้ว่าสัตว์รบของพวกเจ้าล้วนเคยมาอุทิศตัวมอบรากเหง้าแห่งชีวิตให้ที่ข้านี่แล้ว ถึงเวลานั้นข้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็กลับไปชายฝั่งทิศใต้เรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดหน้าขึ้น สะบัดปลายแขนเสื้อหนึ่งที วางท่าของยอดฝีมือ แต่บนใบหน้ากลับปกปิดความภาคภูมิใจเอาไว้ไม่มิด
แต่ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังลำพองใจเบิกบานเกินจะเปรียบนั้นเอง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีสายตาหนึ่งจับจ้องมาที่ตัวเองจึงผินหน้าไปมองด้วยความแปลกใจ และก็ได้เห็นทันทีว่าห่างไปไม่ไกล ตรงริมหอเรือน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มี…กระต่ายหูตั้งท่าทางลับๆ ล่อๆ ตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา!
“เจ้า เจ้า…เจ้ากระต่ายพูดได้สมควรตาย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนอึ้งงัน เปล่งเสียงร้องโหยหวน
“เจ้า เจ้า…เจ้ากระต่ายพูดได้สมควรตาย เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!!” กระต่ายตัวนั้นก็อึ้งงันไปเช่นกัน เปล่งเสียงร้องโหยหวน หนีหายไปอย่างว่องไว ความรวดเร็วนั้นแม้แต่สุนัขสีดำตัวใหญ่ก็ยังเทียบไม่ได้ แผล็บเดียวก็หายไปไม่เห็นแม้เงา
———-