Skip to content

A Will Eternal 153

บทที่ 153 น้ำขึ้นน้ำลง เริ่ม!

ทะเลสาบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ เวลานี้กำลังเดือดพล่านถาโถมกลายมาเป็นน้ำวนขนาดยักษ์ น้ำวนนี้หมุนวนอย่างต่อเนื่อง ดึงล่อปราณจากท้องฟ้า ปราณจากแผ่นดินใหญ่ บัดนี้ปราณชีพจรดินไร้ที่สิ้นสุดเข้ามารวมตัวกัน ทำให้น้ำวนนี้ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น จนถึงท้ายที่สุดก็กลายมาเป็นพายุหมุนโหมกระหน่ำเชื่อมต่อเข้ากับนภากาศ!

เมื่อมองไกลๆ พลังอำนาจของพายุหมุนนี้น่าครั่นคร้ามมากพอที่จะทำให้นักพรตทุกคนที่ได้เห็นสำลักลมหายใจ สะท้านสะเทือนไปตามๆ กัน

จุดที่เชื่อมต่อเข้ากับท้องฟ้านั้น เวลานี้ปรากฏเป็นน้ำวนแห่งหนึ่ง น้ำวนนี้หมุนติ้ว ซึ่งนั่นคือลักษณะสัญลักษณ์ของปรากฎการณ์น้ำขึ้นน้ำลง!

“เป็นป๋ายเสี่ยวฉุน!” กลางอากาศที่ห่างจากสถานที่สร้างฐานรากของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ไกลนัก สวีเสี่ยวซานชะงักฝีเท้า มองปราณชีพจรดินบนท้องฟ้าจำนวนมากมายมหาศาลที่กลิ้งซัดตลบไล่หลังกัน ซึ่งมีเพียงปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเท่านั้นถึงจะกระตุ้นให้ฟ้าดินเป็นเช่นนี้ได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาคมกร้าว

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ได้ครอบครองตัวล่อปราณชีพจรดินเป็นคนแรกจริงเสียด้วย”

“ใครกัน!” ในโลกกระบี่อุกกาบาต ซ่างกวานเทียนโย่วสีหน้าทะมึน กระบี่บินเก้าเล่มรอบกายก่อเกิดเป็นค่ายกลกระบี่ เวลานี้มือขวาทำมุทราชี้ไป กระบี่บินทั้งเก้าเล่มทะลุทะลวงสิ้นสุดการสังหาร เมื่อสัตว์ร้ายระดับสูงตัวหนึ่งดับชีพไปแล้ว เขาไม่ได้สนใจปราณชีพจรดินหนาประมาณหนึ่งนิ้วมือที่ไหลลงขวดนักพรต แต่เงยหน้ามองไปไกลๆ

ทิศทางที่สายตาของเขามองไป เวลานี้ท้องฟ้ากำลังม้วนตลบอย่างดุเดือด ปราณชีพจรดินเหลือคณานับปรากฏขึ้นชัดเจน ห้อดิ่งตรงไปยังทิศทางนั้น

“บัดซบ หากไม่เพราะข้าต่อสู้กับฟางหลินจนบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย ย่อมต้องเร็วกว่านี้แน่นอน!” ดวงตาซ่างกวานเทียนโย่วแดงก่ำ เขามองขวดนักพรต เวลานี้ข้างในนั้นมีอยู่แปดส่วนกว่าแล้ว เขากัดฟันหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ตามหาสัตว์ร้ายอีกต่อไป แต่ตามหาลูกศิษย์ของอีกสามสำนักที่เหลือแทน

มีคนสร้างฐานรากได้เร็วขนาดนี้ ภายใต้การกระตุ้นเช่นนี้ ซ่างกวานเทียนโย่วจะฆ่าคนแล้ว!

เวลาเดียวกันนั้นอีกทิศทางหนึ่ง ฟางหลินแห่งสำนักธาราโอสถปรากฏกายไร้ซุ้มเสียง แค่โบกมือ ลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหน้าเขาก็ตาเหลือกโพลง ศีรษะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ฟางหลินพลิกหาขวดนักพรตของคนผู้นี้ด้วยท่าทีเรียบเฉย เงยหน้าขึ้นมองปราณชีพจรดินที่กำลังพุ่งทะลักทลายอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาเขาเผยประกายคมกริบ

“ข้าเห็นกับตาตัวเองว่าเหลยซานถูกวิญญาณร้ายจับตัวไป จึงสังหารพวกคนที่แอบติดตามเขา แย่งเอาขวดนักพรตของเหลยซานมา ทว่าคนผู้นี้กลับยังเร็วกว่าข้า…” ฟางหลินก้มลงมองขวดนักพรตของตัวเองหนึ่งครั้ง ในขวดนักพรตของเขา เวลานี้ของเหลวสีเทาใกล้จะสะสมจนเต็มแล้ว ดวงตาเขาเปล่งประกายวาบ สะบัดร่างห้อทะยานออกไปไกล เลือกสถานที่หนึ่งในการสร้างฐานราก

เวลาเดียวกันนี้ในอีกพื้นที่หนึ่ง ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอันดับหนึ่งของสำนักธาราทมิฬ จิ๋วต่าวหายใจถี่กระชั้น มือทั้งสองเต็มไปด้วยคาวเลือด รอบกายมีศพเจ็ดแปดศพนอนกองอยู่ ด้วยพลังของเขาคนเดียวสามารถสังหารคนเจ็ดแปดคนจนดับสิ้นลงไปได้

“ขาดอีกนิดเดียวก็จะพอแล้ว”

นอกจากพวกศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ทำให้ลูกศิษย์มากมายของแต่ละสำนักรู้สึกหมดหวังเหล่านี้แล้ว ยามนี้ในโลกกระบี่อุกกาบาตยังมีคนอีกส่วนหนึ่งที่เพิ่มความเร็วให้มากขึ้นจากสถานการณ์กระตุ้นเร้านี้

และวิธีเพิ่มความเร็วนั้นมีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…ฆ่า!

เวลาชั่วอึดใจเดียว เนื่องด้วยการชักนำปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงของป๋ายเสี่ยวฉุน ตลอดทั้งโลกกระบี่อุกกาบาต พลันเกิดการเข่นฆ่าถี่ครั้งมากขึ้น ถึงกระทั่งที่ว่าแม้แต่คนสำนักเดียวกันก็ยังสังหารกันเอง

และจำนวนคนที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาตก็ลดฮวบลงอย่างกะทันหัน มีคนตายด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแทบจะตลอดเวลา

คนสี่ร้อยกว่าคน ยามนี้เหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น

ตลอดทั้งร่างของโหวอวิ๋นเฟยเต็มไปด้วยเลือดสด ผมเผ้าหยุ่งเหยิง ในโลกกระบี่อุกกาบาตใบนี้เขาไม่ใช่ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่ทำให้คนสิ้นหวัง เป็นเพียงแค่คนที่มีฝีมือธรรมดา ทว่าความโหดเหี้ยมของเขาก็ไม่น้อยกว่าใคร ตลอดหนึ่งเดือนมานี้ ลูกศิษย์ของสามสำนักอื่นที่ตายด้วยน้ำมือเขามีเกินสิบคน

และยังร่วมมือกับคนสำนักเดียวกันสังหารสัตว์ร้าย เวลานี้สะสมปราณชีพจรดินได้มากกว่าเจ็ดส่วน พอมองไกลๆ ไปเห็นปราณชีพจรดินที่ไหลเชี่ยวกรากนั้น โหวอวิ๋นเฟยก็สูดลมหายใจเข้าลึก

“เสี่ยวฉุน ใช่เจ้าหรือไม่…เจ้าต้องสร้างฐานรากให้สำเร็จนะ ข้าเองก็จะพยายามเหมือนกัน!” โหวอวิ๋นเฟยหมุนตัวโจนทะยานจากไป

เป่ยหันเลี่ยอยู่ช่วงกลางของโลกกระบี่อุกกาบาต ไอดุร้ายโหมอวลไปทั่วกายเขา หลังจากที่เขาสู้รบกับเหลยซาน ชื่อเสียงก็โด่งดังไปไกลในโลกกระบี่อุกกาบาตแห่งนี้ ศึกครั้งนั้นสะเทือนเลือนลั่นทั่วปฐพี สร้างความฮือฮาให้กับคนไม่น้อย

แม้ไม่รู้แพ้ชนะ ทว่าสำหรับเป่ยหันเลี่ยแล้ว ชื่อเสียงของเขา พลังอำนาจของเขาได้โดดเด่นขึ้นมา กลายเป็นม้ามืดของศิษย์ทั้งสี่สำนัก เมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตของอีกสามสำนักที่เด่นดังขึ้นมากะทันหันเช่นเดียวกันแล้ว เขาจึงถูกมองเป็นผู้ที่ทำให้ลูกศิษย์หลายคนสิ้นหวังได้

ไม่มีผู้ใดรู้ว่ากว่าจะได้รับเกียรติยศเช่นนี้มา ความยากลำบากและสิ่งตอบแทนที่เป่ยหันเลี่ยต้องจ่ายไปนั้นมากมายมหาศาลเพียงใด สามารถพูดได้ว่าหากไม่มีป๋ายเสี่ยวฉุน ก็ไม่มีเป่ยหันเลี่ยในวันนี้อย่างแน่นอน

“ข้าจะต้องสร้างฐานรากชีพจรดิน ชำระล้างความอัปยศให้จงได้!” เป่ยหันเลี่ยคำรามลั่นอยู่ในใจ บุกเข้าเข่นฆ่า เลือกเป้าหมายได้ก็สังหารสิ้นอีกครั้ง

และเมื่อถึงเวลานี้ ลูกศิษย์สี่สำนักที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้จึงไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ทุกคนล้วนมีวิธีการของตัวเอง การห้ำหั่นกันนั้นยิ่งยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ

ในจุดลึกของโลกกระบี่อุกกาบาต สถานที่แห่งนี้ไอหมอกอบอวล สัตว์ร้ายค่อนข้างเยอะ และนักพรตก็อยู่ที่นี่กันมากที่สุด เวลานี้มีร่างสองร่างกำลังไล่ฆ่ากันเอง

เมื่อมองอย่างละเอียด นั่นคือหญิงสาวสองคน ซึ่งก็คือกงซุนหว่านเอ๋อร์และจ้าวโหรวแห่งสำนักธาราโอสถ หญิงสาวงามล้ำทั้งสองนางนี้ ยามนี้ต่างก็อยู่ในสภาพกระเซอะกระเซิง ไอสังหารบนร่างตลบอบอวล พวกนางสองคนประมือกันมาเจ็ดครั้งแล้ว

หนึ่งเดือนมานี้ เมื่อใดก็ตามที่พวกนางพบเจอกันจะต้องลงมือทันที ราวกับว่าระหว่างคนทั้งสองมีความแค้นส่วนตัวกันมาก่อน ทว่าต่างฝ่ายต่างทำอะไรกันไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้ปราณชีพจรดินไป จึงดึงดันต่อสู้กันอยู่เช่นนี้

“กงซุนหว่านเอ๋อร์ ขวดนักพรตของเจ้าและข้าต่างก็มีของเหลวสีเทากันคนละครึ่ง ตอนนี้ระหว่างพวกเราสองคนมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ใครที่รอดก็จะสะสมได้ครบส่วน!” จิตสังหารในดวงตาจ้าวโหรวฉายวาบ พุ่งเข้าหากงซุนหว่านเอ๋อร์อีกครั้ง

กงซุนหว่านเอ๋อร์สีหน้าซีดขาว นกฟ่งเหนี่ยวที่อยู่ข้างกายนางตัวนั้นก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เวลานี้นางกัดฟันโจมตีกลับไปอีกครั้ง ศึกระหว่างคนทั้งสองมองดูแล้วเหมือนเป็นการสู้ด้วยคาถาทั่วไป ทว่าในความเป็นจริง คนทั้งคู่กำลังปะทะกันด้วยภาพมายาไร้ที่สิ้นสุดผ่านทางสายตา

หากไม่ทันระวังแม้เพียงนิดก็ตายดับได้ทันที

นภากาศโหมซัดตลบอบอวล ผืนดินสะเทือนดังกัมปนาท ขณะเดียวกันกับที่ทุกคนล้วนพลุ่งพล่านเนื่องจากการสร้างฐานรากชีพจรดินของป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงปราณชีพจรดินรอบด้านที่พุ่งครึกโครมเข้ามาหา ส่งผลกระทบไปทั่วแปดทิศ ไม่จำเป็นต้องมองก็สัมผัสได้ว่าเวลานี้บนทะเลสาบต้องเกิดน้ำวนขนาดยักษ์กำลังหมุนวนเป็นรูปกรวยน้ำอยู่อย่างแน่นอน

“นี่หากว่ามีคนมารบกวน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดมาถึงตรงนี้ก็หวาดหวั่นจนเหงื่อเย็นๆ ผุดซึม ก่อนหน้าที่เขาจะสร้างฐานรากก็ได้เตรียมการป้องกันไว้ก่อนแล้ว ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ

เวลานี้จึงกัดฟันกรอด น้ำวนในร่างกายหมุนติ้วอย่างรวดเร็ว ปราณชีพจรดินจำนวนมากพุ่งทะลักเข้ามาหา ขณะเดียวกันเขาก็ฝืนยกมือขวาขึ้นตบลงไปบนถุงเก็บของ ยันต์เกือบพันชิ้นบินออกมาลอยอยู่รอบด้านทันที

ไม่ได้เปิดใช้งาน ทว่าขอแค่ป๋ายเสี่ยวฉุนคิด ก็จะเปิดใช้งานได้ทันที

โล่กระสาเทพก็บินออกมาอยู่กลางอากาศ อยู่ในสภาวะพร้อมเคลื่อนไหวตลอดเวลา ส่วนตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน อาวุธคุ้มกันกายที่หลี่ชิงโหวให้มาก็ปกคลุมไปทั่วร่างของเขาทันใด อำพรางผิวหนังเงินคงกระพันเอาไว้ภายใน

หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ไม่มีเวลาให้กังวลอะไรมาก เขากัดฟันตะโกนอยู่ในใจ น้ำวนในร่างหมุนวนดังอึกทึก ปราณชีพจรดินรอบด้านถูกดึงกระชากออกมาอย่างแรง พุ่งทะลักเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ไม่ได้หลอมรวมเข้ากับพลังวิญญาณ แต่รัดพันเข้าด้วยกันแล้วไหลวนไปพร้อมกัน ทำให้น้ำวนนั้นยิ่งดุเดือดมากขึ้นจนกายสั่นคลอน ยิ่งร่างสั่นเทา พลังของน้ำวนในร่างกายก็ยิ่งรุนแรง

คำว่าน้ำขึ้นน้ำลงนั้น ก็คือการกลายเป็นน้ำวนและระเบิดออกอยู่ในกายระหว่างที่ชักล่อปราณชีพจรดินมาหลอมรวมเข้ากับพลังวิญญาณในร่าง ชุบหลอมเลือดเนื้อ ชุบหลอมชีพจร ชุบหลอมจิตวิญญาณ ชุบหลอมทุกสิ่งอย่าง…

พลังวิญญาณหนึ่งส่วน ปราณชีพจรดินร้อยส่วน!

ท่ามกลางการระเบิดนี้ได้เปลี่ยนปราณให้เป็นของเหลว แปลงมหาสมุทรลมปราณให้กลายเป็น…มหาสมุทรวิญญาณ!

และมหาสมุทรวิญญาณยังมีชื่อเรียกอีกหนึ่งอย่างว่า ฐานรากแห่งนักพรต!

น้ำขึ้นน้ำลงหนึ่งครั้ง ก็คือมหาสมุทรวิญญาณหนึ่งชั้น เป็นฐานรากแห่งนักพรตหนึ่งชั้น น้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้ง ก็คือมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้น เป็นฐานรากแห่งนักพรตเก้าชั้น! แต่ละชั้นล้วนหนาใหญ่มากกว่าชั้นก่อนหน้านั้นหลายต่อหลายเท่า ประหนึ่งเป็นการสร้างเจดีย์กลับด้าน!

เวลาผันผ่าน หนึ่งชั่วยามผ่านไป บนทะเลสาบที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่น้ำวนยิ่งขยายใหญ่ สะเทือนเลือนลั่นไปทั้งฟ้าดิน ป๋ายเสี่ยวฉุนตวาดกร้าวหนึ่งเสียง เสียงคำรามนี้คล้ายจะแผ่ขยายไปตามขนาดน้ำวน ดังราวเสียงอัสนีบาต ในที่สุดน้ำวนในร่างกายของเขาก็สมบูรณ์แบบ หลังจากสะสมมาตลอดทั้งหนึ่งชั่วยามจึงก่อร่างขึ้นมาเป็นน้ำขึ้นน้ำลงรอบแรก!

วินาทีที่น้ำขึ้นน้ำลงรอบแรกเสร็จสมบูรณ์นั้นเอง น้ำวนในร่างกายของเขาก็หดตัวกะทันหัน

ภายใต้การหดตัวนี้ ชีพจรทุกเส้น ปราณชีพจรดินและพลังวิญญาณทั้งหมดที่รวมตัวกันเป็นน้ำวนก็ลดขนาดลงอย่างต่อเนื่อง มีเสียงดังคึ่กๆ ออกมาจากร่างป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่นานน้ำวนก็ถูกกดอัดจนกลายเป็นจุดสีดำหนึ่งจุด วินาทีที่จุดสีดำนี้เกิดขึ้นมา เสียงระเบิดก็ดังสะเทือนเลือนลั่นแผ่ขยายไปทั่วชีพจร ทั่วเลือดเนื้อ ทั่วจิตวิญญาณตลอดทั้งร่างทันที

“น้ำขึ้นน้ำลง เริ่ม!”

ตูมๆๆ!

เสียงฟ้าผ่าในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนดังต่อเนื่อง เมื่อปราณเหลวที่หลอมรวมมาจากปราณชีพจรดินและพลังวิญญาณแผ่ขยายออกไป เขาก็เปล่งเสียงคำราม ชีพจรในร่างกายขยายใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งเท่าตัว เลือดเนื้อก็ดี กระดูกก็ช่าง และยังมีจิตวิญญาณ ในเวลานี้ล้วนถูกบังคับให้ขยายกว้าง

และเมื่อยืมแรงส่งของการระเบิดของน้ำขึ้นน้ำลง ท้ายที่สุดปราณชีพจรดินและพลังวิญญาณในร่างกายก็หลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายมาเป็นวิญญาณเหลว วิญญาณเหลวนี้ไหลเวียนไปทั่วร่าง บุกเข้าไปในมหาสมุทรลมปราณตรงจุดตันเถียน ประหนึ่งหยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนน้ำมัน จากนั้นก็ระเบิดออกคล้ายต้องการบุกเบิกฟ้าดิน!

ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นสะท้าน ยามนี้จุดตันเถียนพังทลายเป็นเสี่ยงๆ เป็นเศษส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน แล้วลอยเข้ามาประกอบหากันใหม่อีกครั้ง กลายมาเป็นมหาสมุทรหนึ่งผืน!

ฐานรากแห่งนักพรตถูกก่อตั้งขึ้น มหาสมุทรวิญญาณก่อกำเนิด!

เมื่อมันปรากฏขึ้นก็ได้เปลี่ยนแปลงชีพจรทั้งหมด และยิ่งสั่นคลอนจิตวิญญาณ ประหนึ่งได้ตัดขาดความเป็นมนุษย์ปุถุชน!

เพียงแต่ว่ามหาสมุทรผืนนี้เล็กมาก มองดูแล้วน่าจะมีรัศมีแค่หนึ่งร้อยจั้ง ด้านในนั้นมีกระถางสีม่วงหนึ่งใบ กระถางใบนี้เกิดจากการรวมตัวกันของอักขระนับไม่ถ้วน และกำลังขยายขนาดขึ้นในมหาสมุทรวิญญาณ แฝงไปด้วยพลังอำนาจระลอกหนึ่งที่ผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตบะของป๋ายเสี่ยวฉุนฝ่าทะลุรวมลมปราณไปด้วย เพียงแต่ว่ายังสร้างฐานรากไม่เสร็จสิ้น เป็นแค่การสะสมรอความพร้อม รอจนกระทั่งถึงวินาทีที่น้ำขึ้นน้ำลงครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง จึงนำมาใช้สร้างให้สำเร็จ!

และสิ่งที่เป็นตัวตัดสินว่าจำนวนน้ำขึ้นน้ำลงจะเกิดขึ้นกี่ครั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับวิชายุทธ์และคุณสมบัติของแต่ละบุคคลในโลกรวมลมปราณ

วิชายุทธ์คือกุญแจสำคัญในการกระตุ้นน้ำขึ้นน้ำลง ส่วนคุณสมบัติก็เป็นเหมือนรากฐาน ตัดสินว่าจะสามารถแบกรับพลังจากน้ำขึ้นน้ำลงที่ดึงดูดมาได้หรือไม่ ยิ่งคุณสมบัติแข็งแกร่ง จำนวนที่แบกรับได้ก็ยิ่งมาก คุณสมบัติธรรมดา ต่อให้ฝึกวิชายุทธ์ถึงสองวิชาก็ยากที่จะรับน้ำขึ้นน้ำลงได้มากเช่นกัน หากฝืนกระทำ ฐานรากแห่งนักพรตมีเพียงแต่จะพังทลายและตายตกไปในที่สุด

เช่นเดียวกัน วิชายุทธ์ธรรมดา ต่อให้คุณสมบัติสูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ทำได้แค่เศร้าเสียดาย

ดังนั้นวิชายุทธ์และคุณสมบัติจึงจำเป็นต้องส่งเสริมกันและกัน ห้ามขาดแม้แต่อย่างเดียว!

กระถางที่อยู่ในมหาสมุทรวิญญาณชั้นแรกของป๋ายเสี่ยวฉุน เป็นตัวแทนของวิชาพลังม่วงควบคุมกระถางที่เขาฝึกตั้งแต่แรกเริ่มสุด!

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!