บทที่ 154 แย่งชิงวิถีอันยิ่งใหญ่!
วิชายุทธ์ที่สามารถก่อรูปขึ้นมาเป็นน้ำขึ้นน้ำลงได้ ไม่มีข้อกำหนดด้านจำนวน ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้มีคนสรุปกฎออกมาสามข้อ ข้อที่หนึ่ง วิชายุทธ์จะสามารถแปลงออกมาเป็นน้ำขึ้นน้ำลงได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกเข้าใจถึงระดับประณีตลึกซึ้ง หากไม่ถึงขั้นประณีตลึกซึ้งจะไม่เกิดประโยชน์อันใด
ทว่าไม่ว่าวิชายุทธ์ใดก็ตาม หากคิดจะทำความเข้าใจถึงขั้นประณีตลึกซึ้งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์มากมายและจิตวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม
กฎข้อที่สอง คือการตัดสินจำนวนการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง วิชายุทธ์ในระดับเท่าเทียมกัน จะเกิดผลเพียงแค่ครั้งเดียว ต่อให้มีมากกว่านั้นก็มิอาจก่อเกิดเป็นน้ำขึ้นน้ำลงมหาสมุทรวิญญาณได้ จำเป็นต้องเป็นวิชายุทธ์ที่ลึกล้ำยิ่งกว่านั้นถึงจะสามารถเพิ่มจำนวนครั้งของน้ำขึ้นน้ำลงได้
ส่วนกฎข้อที่สาม นั่นคือยิ่งเป็นน้ำขึ้นน้ำลงครั้งหลังๆ ก็ยิ่งสำเร็จได้ยากขึ้น เงื่อนไขเพิ่มสูงขึ้น
ไม่ว่าสำนักใดก็ตาม หลังจากที่ลูกศิษย์สร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้เป็นครั้งที่ห้า วิชายุทธ์ที่จะค้ำประคองให้ลูกศิษย์ชักนำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงหกครั้งขึ้นไปได้นั้นล้วนเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากยิ่ง เทียบเคียงได้กับเวทคาถาลับ เช่นเดียวกัน นี่ก็ถือเป็นพลังที่แฝงเร้นของแต่ละสำนักเช่นกัน
ดังนั้นน้ำขึ้นน้ำลงนี้ ความเป็นจริงแล้วเน้นย้ำในเรื่องการจัดสรรวิชายุทธ์ และเป็นเหมือนพลังแฝงที่ลึกล้ำของแต่ละสำนักเช่นกัน อย่างเช่นสำนักธาราเทพ พลังม่วงควบคุมกระถางของชายฝั่งทิศใต้ก็ดี พลังทงเทียนควบคุมช้างของชายฝั่งทิศเหนือก็ช่าง นอกเสียจากว่าจะบรรลุถึงระดับลมปราณม่วงแปลงกระถางและร่างคชสารทงเทียนแล้ว มิฉะนั้นก็จะทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงเพียงแค่รอบเดียว
มีเพียงถึงขั้นลมปราณม่วงแปลงกระถางและร่างคชสารทงเทียนเท่านั้นถึงจะสามารถก่อให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงเป็นรอบที่สองได้ เช่นเดียวกัน เขาจื่อติ่งของชายฝั่งทิศใต้และเขารั่วรื่อของชายฝั่งทิศเหนือ ในฐานะที่เป็นยอดเขาหลักของทั้งสองวิชายุทธ์นี้ วิชาลับที่ลูกศิษย์ของพวกเขามีก็สามารถทำให้วิชายุทธ์ทั้งสองอย่างนี้สร้างน้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่สามถึงครั้งที่ห้าได้ แต่ก็เนื่องจากเหตุนี้ พวกเขาคิดจะชักจูงให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่หก เงื่อนไขของวิชายุทธ์นั้นเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม ในสำนักธาราเทพหาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ทำได้เพียงยอมแพ้ เปลี่ยนมาใช้เวทคาถาลับ
ทว่าสำหรับลูกศิษย์ของยอดเขาอื่นๆ แล้ว หลังจากฝึกสองวิชายุทธ์นี้ได้ถึงรวมลมปราณขั้นแปด เมื่อเข้าฝ่ายในก็จำเป็นต้องเปลี่ยนวิชายุทธ์ เป้าหมายก็เพื่อเตรียมพร้อมไว้สำหรับการสร้างน้ำขึ้นน้ำลง
การเลือกวิชายุทธ์ที่สองซึ่งเป็นตัวทาบต่อนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง และก็เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างน้ำขึ้นน้ำลงจำนวนครั้งมากน้อยของลูกศิษย์สำนักธาราเทพด้วย
โดยทั่วไปแล้วล้วนสามารถชักนำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้สองรอบเป็นอย่างต่ำ มากที่สุดก็คือสามรอบ ทว่าวิชายุทธ์ทุกวิชาล้วนมีความสุดขั้วแฝงอยู่ทั้งสิ้น การสร้างรอบที่สี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกศิษย์ที่ฝึกวิชามาถึงระดับนี้ เมื่อต้องสร้างฐานรากด้วยชีพจรดิน ต่อให้อ่อนแอที่สุดก็ยังก่อให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้สามรอบ หากเผชิญกับสถานการณ์อันถึงขีดสุด ลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งก็สามารถสร้างได้ถึงรอบที่หก เพียงแต่ว่านับแต่โบราณมา ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพที่ใช้วิชายุทธ์ที่สองผลักดันให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลงได้ถึงหกครั้ง มีปรากฏขึ้นแค่เก้าคนเท่านั้น อีกทั้งแต่ละคนล้วนเป็นผู้ที่เลิศล้ำในยุคสมัยของตัวเอง
และหลังจากใช้วิชายุทธ์สองวิชาไปแล้ว เนื่องจากวิชายุทธ์ที่แข็งแกร่งมีน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถใช้วิชายุทธ์สร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้ต่อไป ทำได้เพียงเลือกใช้เวทคาถาลับ สิบเวทคาถาลับยิ่งใหญ่ของสำนักธาราเทพจึงถือกำเนิดขึ้นมาเพราะเหตุนี้
เวทคาถาลับยิ่งใหญ่ทั้งสิบ ต่อให้เกิดกระแสน้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่ห้าแล้ว แต่ละคาถาก็ยังคงทำให้ลูกศิษย์ที่ฝึกสำเร็จสามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงมาได้อีกหนึ่งรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองเวทคาถาลับอย่างขบวนภูตรัตติกาลและเขตแดนธารา ก็ยิ่งเป็นสุดยอดเวทคาถาลับหายากซึ่งหลังจากสร้างน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่หกได้แล้ว ยังคงแข็งแกร่งจนถึงขั้นสามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้อีกสองรอบ
เมื่อคิดคำนวณเช่นนี้ ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพ พวกที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมก็เป็นไปได้ว่าจะสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้มากถึงแปดครั้ง! ผู้ที่อ่อนแอ ก็ยังทำได้ถึงสี่ครั้ง!
นี่ก็คือพลังแฝงลึกล้ำของสำนักธาราเทพ อีกสามสำนักที่เหลือก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก ที่สำคัญคือต้องดูว่าในบรรดาศิษย์แต่ละรุ่น ใครที่สามารถไต่ไปถึงจุดสูงสุด
ส่วนน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งนั้น คือจุดสุดยอดของชีพจรดินในตำนาน อย่าว่าแต่สำนักธาราเทพเลย สี่สำนักใหญ่เมื่อรวมกันแล้ว หมื่นปีมานี้ มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้
คนผู้นี้ก็คือลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตเมื่อแปดร้อยปีก่อน อู๋จี๋จื่อ
จุดสุดยอดของชีพจรดิน คือการแสดงออกให้เห็นถึงความสามารถสูงสุดของตัวเอง แม้ว่าจะห่างไกลจนไม่อาจบรรลุถึง ทว่าก็ถือเป็นหนทางอย่างหนึ่ง ส่วนชีพจรฟ้าที่ถึงแม้จะเหนือล้ำเกินกว่าชีพจรดิน แต่กลับต้องอาศัยโชคช่วยเสียส่วนใหญ่ ทำได้เพียงพบเจอแต่ไม่อาจเรียกร้องหา คล้ายเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แม้แต่หนทางก็ยังไม่มี
ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้สูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาของเขาเปล่งประกายคมกล้า สำหรับเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง ตอนที่เดินทางมาที่นี่เขาก็ได้ทำความเข้าใจจนรู้แน่ชัดแล้ว เวลานี้สัมผัสได้ถึงการแตกสลายของมหาสมุทรปราณในร่างกาย มหาสมุทรวิญญาณก่อร่างขึ้นมา หากตอนนี้เขาล้มเลิกการกระตุ้นน้ำขึ้นน้ำลง ถ้าเช่นนั้นก็จะสามารถสร้างฐานรากชีพจรดินได้สำเร็จทันที
แม้จะมีอายุขัยเพิ่มขึ้นสองร้อยปี ทว่ากลับเป็นสร้างฐานรากชีพจรดินที่อ่อนแอที่สุด มาถึงขั้นนี้แล้ว ป๋ายเสี่ยวฉุนย่อมไม่ยอมเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดเด็ดขาด หลักการของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ว่าคนอ่อนแอเป็นเหยื่อ คนแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า ไม่ว่าเขาจะรับได้หรือไม่ ตัวเขาเองก็เข้าใจอย่างแจ่มชัดว่าตัวเองเลี่ยงไม่ได้
การรบราฆ่าฟัน บางครั้งไม่ใช่ว่าเขาต้องการ ทว่ากลับจำต้องต่อสู้!
“ลมปราณม่วงควบคุมกระถาง เพราะข้าตระหนักรู้ถึงลมปราณม่วงแปลงกระถาง ดังนั้นยังสามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สองได้!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก มหาสมุทรวิญญาณในร่างกายพัดหมุนอย่างรุนแรง เสียงตูมตามดังไปทั่วสี่ทิศ ปราณชีพจรดินรอบด้านถูกกระตุ้นให้ไหลเข้ามาหา เพื่อที่จะสร้างน้ำวนขึ้นในกายเขาเป็นครั้งที่สอง
บนทะเลสาบ เสียงก็ยิ่งดังสนั่นหวั่นไหว บนท้องฟ้าเวลานี้ก็มีน้ำวนปรากฏขึ้นเป็นรูปเป็นร่างคร่าวๆ ภาพเค้าโครงนี้ใหญ่ยิ่งกว่าน้ำวนครั้งแรก เห็นชัดเจนอย่างยิ่ง ทำให้คนไม่น้อยแค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็น
“น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สอง สามารถเข้ามาอยู่ในนี้ได้อย่างน้อยก็ต้องทำสำเร็จสามสี่รอบ น้ำขึ้นน้ำลงทุกรอบล้วนขยายใหญ่มากกว่ารอบก่อนหน้านี้หลายเท่าตัว และปราณชีพจรดินที่จำเป็นต้องใช้ก็มากกว่าเช่นกัน!”
“สมควรตายเอ๊ย คนผู้นี้สร้างฐานรากเร็วเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ปราณชีพจรดินของที่นี่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง กว่าจะถึงเวลาที่ข้าสร้างฐานราก เกรงว่าจะมีเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว!”
และขณะที่นักพรตในโลกกระบี่อุกกาบาตกำลังร้อนใจกันอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นอีกทิศทางหนึ่ง เวลานี้มีเสียงดังกัมปนาทสะเทือนฟ้าก้องออกมา ทิศทางนั้นคือตำแหน่งระหว่างเทือกเขาแห่งหนึ่ง เวลานี้มีพายุหมุนก่อตัวสูงขึ้นกลางอากาศ หลังจากเชื่อมต่อเข้ากับท้องฟ้าแล้ว น้ำวนขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้น ส่งเสียงดังตูมตาม
น้ำวนนี้เพิ่งจะปรากฏก็โหมตลบไปทั่วด้านทันที ฝืนดึงเอาปราณชีพจรดินที่อยู่ในโลกใบนี้ออกมา แบ่งปราณชีพจรดินมาจากป๋ายเสี่ยวฉุนครึ่งหนึ่ง
ยามนี้ในถ้ำของเทือกเขาแห่งนั้น ดวงตาของฟางหลินเผยความเด็ดเดี่ยว ตะโกนเสียงต่ำพร้อมเริ่มรวมน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่หนึ่ง
ภาพนี้ทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริดขึ้นมาทันที มีคนหนึ่งสร้างฐานรากได้ก็ยังพอว่า แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าอีกหนึ่งชั่วยามต่อมาดันมีคนที่สองปรากฎขึ้นมาเสียได้
ท่ามกลางความร้อนใจ ทุกคนดวงตาแดงก่ำ แข่งขันกันทุกวินาที เริ่มเข่นฆ่าเพื่อแย่งชิงเอาปราณชีพจรดินมาครอง
ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคิดอยากไปฆ่าสองคนที่สร้างฐานรากนั้น ทว่าตอนนี้ทุกคนยังไม่สิ้นหวัง ย่อมไม่เสียเวลาทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน
หนึ่งชั่วยามต่อมา สถานที่ที่ฟางหลินอยู่มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นมาอีกครั้ง น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่หนึ่งสิ้นสุดลง เริ่มน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สอง ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ทะเลสาบของป๋ายเสี่ยวฉุนราวกับจะระเบิดออก น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สองของเขาก็สิ้นสุดลงเช่นเดียวกัน
ในร่างกายของเขา เวลานี้บนมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่หนึ่ง พลันปรากฏมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่สองซึ่งกว้างใหญ่เพิ่มขึ้นมาจากเดิมหนึ่งเท่าตัว พละกำลังในร่างกายก็ยิ่งแข็งแกร่ง ราวกับกองไฟท่ามกลางราตรีกาลของโลกใบนี้ เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ
ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจลึก เขาสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณม่วงควบคุมกระถางบรรลุถึงขีดสุดแล้ว ยากที่จะก่อร่างออกมาเป็นน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สามได้ ยามนี้เมื่อเขาหลับตาก็มองเห็นว่าในร่างกายของตัวเอง ในมหาสมุทรวิญญาณสองชั้นนั้นต่างก็มีกระถางใบใหญ่สีม่วงตั้งตระหง่านโดดเด่น แผ่พลานุภาพสยบเลิศล้ำ
“น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่สาม ที่จำเป็นต้องใช้คือ…คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร!” ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งประกาย ในร่างกายมีเสียงมังกรและช้างคำรามออกมาทันที ดังออกไปนอกทะเลสาบ กึกก้องไปสี่ทิศ บนท้องฟ้าปรากฏน้ำขึ้นน้ำลงครั้งที่สาม!
ในร่างกายของเขาปรากฏน้ำวนเป็นครั้งที่สามเช่นกัน มีแรงดึงดูดมหาศาลยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้านี้ แรงนั้นพลันแผ่ขยายออกมา กวาดไปทั่วทุกสารทิศบนโลกใบนี้ ประหนึ่งปลายักษ์ฮุบกลืนน้ำ ดึงดูดเอาปราณชีพจรดินที่มากยิ่งกว่าเดิมมาครอง
กลางน้ำวนรอบที่สามสามารถมองเห็นร่างของมังกรขนาดมหึมาตัวหนึ่งได้รำไร มังกรตัวนี้ว่ายวนไปทั่ว พลังอำนาจน่ากริ่งเกรง ลูกศิษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้เห็นมังกรยักษ์ตัวนี้ได้ทันที
“นี่มันวิชาอะไรกัน?”
“คัมภีร์มังกรคชสารแปลงมหาสมุทร คนแรกที่สร้างฐานรากมาจากสำนักธาราเทพ!!”
“สวรรค์ ที่แท้ก็คือสำนักธาราเทพ คนผู้นี้เป็นใคร หรือว่าจะเป็นกุ่ยหยา? ซ่างกวานเทียนโย่ว?”
“คือป๋ายเสี่ยวฉุน?” ลูกศิษย์ทั้งสี่สำนักในโลกกระบี่อุกกาบาตพอมองเห็นภาพนี้ก็พากันตะลึงพรึงเพริด เมื่อเทียบกับสามสำนักแล้ว ลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนักธาราเทพล้วนฮึกเหิมกันไปหมด
ซ่างกวานเทียนโย่วเงยหน้าขึ้นพรวด นัยน์ตามีเส้นเลือดฝอย คำรามเสียงดังราวกับคนบ้า เขาจ้องเขม็งไปที่มังกรยักษ์กลางน้ำวนบนนภากาศตัวนั้น
“ไม่ใช่กุ่ยหยา นี่คือ…ป๋ายเสี่ยวฉุน!!” ซ่างกวานเทียนโย่วกัดกรามจนฟันแทบแตก ดวงตาทั้งคู่แดงฉาน หันร่างขวับ พุ่งเข้าประหัตรประหารคนอื่นยิ่งกว่าเดิม
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม น้ำขึ้นน้ำลงทางฝ่ายของฟางหลินก็สำเร็จเป็นรอบที่สอง จากการที่น้ำวนด้านบนส่งเสียงอึกทึกเพิ่มมากขึ้น กระถางยาขนาดมโหฬารใบหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมา กระถางใบนี้เป็นทรงกลม ทว่ากลับมีสี่ขา ตลอดทั้งตัวกระถางเป็นสีทองสัมฤทธิ์ สลักรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวเอาไว้ แฝงฝังไว้ด้วยกาลเวลาอันโชกโชนไร้ที่สิ้นสุด ชั่วขณะที่มันปรากฏขึ้นมาก็คล้ายกับต้องการจะหล่อหลอมฟ้าดิน
นั่นก็คือเตากระถางฟ้าดิน!
พริบตาที่เตากระถางนี้ปรากฏขึ้น ทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็เข้าใจโดยพลันว่าคนที่สองที่สร้างฐานรากนั้นคือใคร
“ฟางหลินแห่งสำนักธาราโอสถ!!”
และตอนนี้เอง ทันใดนั้นอีกทิศทางหนึ่งมีพายุหมุนลูกที่สามพัดพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า หลังจากที่เชื่อมผสานเข้ากับท้องฟ้าแล้ว น้ำวนขนาดยักษ์ก็ก่อเกิดขึ้นมาเสียงดังกึกก้อง
สร้างฐานรากคนที่สามปรากฏตัวแล้ว!
เพิ่งจะปรากฏตัว น้ำวนนั้นก็กลายมาเป็นสีเลือด ทั้งด้านบนยังสามารถมองเห็นใบหน้าหนึ่งได้อย่างเลือนราง ดูจากหน้าตาแล้วก็คือซ่งเชวีย!
“สวรรค์ สำนักธาราโลหิต ซ่งเชวีย!!”
“สมแล้วที่เขาเป็นคนที่ฆ่าสร้างฐานรากได้ แค่วิชายุทธ์แรกที่กระตุ้นน้ำขึ้นน้ำลงก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้นเสียแล้ว เรื่องแบบนี้ข้าได้ยินมาว่าเมื่อแปดร้อยปีก่อนก็เคยเกิดขึ้นกับอู๋จี๋จื่อ!”
“หรือว่า…ซ่งเชวียผู้นี้คิดจะเลียนแบบอู๋จี๋จื่อ สร้างน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งซึ่งถือเป็นจุดสุดยอดของชีพจรดิน!”
ยามนี้น้ำวนทั้งสามได้ช่วงชิงเอาปราณชีพจรดินของโลกใบนี้ไป ทำให้ปราณชีพจรดินของโลกแห่งนี้ลดลงฮวบฮาบ ขณะที่ความตื่นตระหนกแผ่ขยายออกไป ทันใดนั้น…ลมพายุลูกที่สี่สะท้านฟ้าพลันบังเกิดขึ้นในจุดลึกของโลกกระบี่อุกกาบาต
————