Skip to content

A Will Eternal 159

บทที่ 159 ผิวหนังทองคงกระพัน!

สำหรับคนอื่นแล้ว นี่คือน้ำขึ้นน้ำลงจุดสูงสุดของปราณชีพจรดินที่หาได้ยาก หลายพันปีมานี้ มีเพียงอู๋จี๋จื่อแห่งสำนักธาราโลหิตเมื่อแปดร้อยปีก่อนเท่านั้นที่สร้างน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งได้สำเร็จ

ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน นี่ไม่ใช่เพียงแค่น้ำขึ้นน้ำลงอันเป็นจุดสูงสุดของปราณชีพจรดินเท่านั้น นี่ยังเป็นการก้าวกระโดดพรวดพราดครั้งหนึ่งของวิชาอมตะมิวางวายของเขาเช่นกัน!

จากผิวหนังเงินคงกระพัน เหยียบย่างเข้าสู่ขั้นตอนการเปลี่ยนเป็นผิวหนังทองคงกระพัน!

แม้ว่าร่างกายของเขาจะมีสีดำจากอาวุธป้องกันตัวที่หลี่ชิงโหวมอบให้ปกคลุมไปทั่ว ทว่าก็ยังคงมิอาจอำพรางแสงสีทองที่ค่อยๆ เปล่งแสงระยิบระยิบออกมาจากผิวหนังทั่วร่างของเขาได้

วิชาอมตะมิวางวาย ขั้นแรกของบทมิวางวาย ยามนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนใกล้จะฝึกสำเร็จแล้ว!

เขาได้ฝ่าทะลุพันธนาการขั้นแรกของชีวิตไปแล้ว เรื่องเช่นนี้แม้ว่าจะพบเจอได้ยากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีคนทำได้มาก่อน เพราะยังไงซะมิวางวายบทแรกของวิชาอมตะมิวางวาย มีเป้าหมายก็เพื่อฝ่าทะลุพันธนาการ

ทว่า…ป๋ายเสี่ยวฉุนกลับเป็นคนแรกที่หลังจากฝ่าทะลุพันธนาการแล้ว ได้รุดหน้าไปอีกก้าวอย่างห้าวหาญราวกับคนที่ได้พัฒนาตัวเองมาตลอดเวลา

ห้าพันธนาการแห่งชีวิต ระหว่างแต่ละขั้นนั้นไม่ได้เชื่อมโยงกันมากเท่าไหร่นัก ต่างก็ดำรงอยู่อย่างอิสระ คล้ายกับวงกลมที่กำหนดขนาดใหญ่เล็กมาเรียบร้อยแล้ว ทว่ายามนี้ วงกลมที่มีขนาดแน่นอนนั้นกลับขยายตัวออกกว้างอย่างฉับพลันอยู่บนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน!

สะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

เสียงกัมปนาทดังก้องอยู่ในร่างของเขา แสงสีทองบนผิวหนังของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ วิชาอมตะมิวางวายเคลื่อนโคจรอย่างเต็มรูปแบบ และเนื่องด้วยได้ฝ่าทะลุพันธนาการชีวิต ทำให้น้ำขึ้นน้ำลงชั้นที่เก้าในร่างกายของเขาหมุนวนเร็วขึ้นอีกไม่รู้กี่เท่าตัว ด้วยเหตุนี้น้ำวนรอบที่เก้าบนนภากาศซึ่งเชื่อมโยงกันจึงสูบเอาปราณชีพจรดินมาอย่างน่าตกใจมากขึ้น

ประดุจวงจรยอดเยี่ยมวงจรหนึ่ง ปราณชีพจรดินมากมายกว่าเดิมทำให้การก่อสร้างมหาสมุทรวิญญาณชั้นที่เก้าในร่างกายของเขารวดเร็วมากขึ้น ทำให้แสงสีทองของผิวหนังคงกระพันยิ่งมากขึ้น เพิ่มความเร็วในการขับเคลื่อนน้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้า

บัดนี้วงจรนี้ราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด ยิ่งหมุนยิ่งเร็ว

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่มความเร็ว ซ่งเชวียใช้วิธีที่เทียบเคียงกับการเบิกใช้ล่วงหน้า ร่ายเวทลับของสำนักธาราโลหิต ยืมใช้จุดรอยต่อที่เขาวางค่ายกลไว้ก่อนหน้า ดึงเอาปราณชีพจรดินมา ความเร็วจึงเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

สำหรับคนอื่นแล้ว เวลาในการสร้างน้ำขึ้นน้ำลงนั้นถูกกำหนดแน่นอน ทว่าครั้งนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวียได้ทำลายความแน่นอนนี้ลงไป สำหรับพวกเขาแล้ว ขอแค่มีปราณชีพจรดินที่มากพอ ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดเอามาในชั่วเวลาพริบตาเดียวหรือเวลาหนึ่งเดือนก็ไม่ต่างกัน

และเวลานี้เอง จุดที่ซ่งเชวียอยู่เกิดเสียงกึกก้องดังสะเทือนฟ้า น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่แปดของเขา แม้จะมีกุ่ยหยาที่พยายามรังควานการคุ้มกันของเขาอยู่รอบด้าน ทว่าก็ยังคงสำเร็จจนได้!

พริบตาเดียว น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่แปดในร่างของเขาระเบิดออก ซ่งเชวียที่ปิดด่านอยู่นัยน์ตาฉายความวิปลาสและฮึกเหิม

“น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้า เปิด!”

ที่ติดตามเสียงคำรามต่ำมา กุ่ยหยาซึ่งอยู่ด้านนอกสถานที่ปิดด่านของซ่งเชวียหน้าเปลี่ยนสี รีบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที เบื้องบนน้ำวนรอบที่แปดของซ่งเชวีย บัดนี้พลันปรากฏ…น้ำวนรอบที่เก้าโผล่ขึ้นมา

ท้องฟ้ามิอาจมีพระอาทิตย์สองดวง ทว่ายามนี้กลางท้องฟ้าของโลกกระบี่อุกกาบาตกลับมีน้ำวนเก้าชั้นเคียงคู่กันสองลูก น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง เขย่าขวัญโยกคลอนจิตวิญญาณ

ทุกคนที่อยู่ในโลกกระบี่อุกกาบาตฮือฮากันหมด ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังคงพยายามรักษาน้ำขึ้นน้ำลงเอาไว้ซึ่งรวมซ่างกวานเทียนโย่วด้วยนั้น เวลานี้ล้วนหน้าเผือดสี ท่ามกลางความสิ้นหวัง น้ำขึ้นน้ำลงของพวกเขาพลันร่วงโรย หยุดชะงักลงไปอย่างมิอาจควบคุมได้

ไม่สามารถเทียบเคียงกับน้ำขึ้นน้ำลงเก้ารอบขนาดใหญ่ราวกับราชันแห่งฟากฟ้าทั้งสองลูกนั้นได้ และเมื่อเกิดน้ำขึ้นน้ำลงสองลูกในเวลาเดียวกันแล้วก็ยิ่งไม่สามารถไปดูดเอาปราณชีพจรดินมาได้อีก

“ข้าไม่ยอม!” ซ่างกวานเทียนโย่วกัดฟันจนฟันแทบแตก คำรามแหบแห้งอย่างคลุ้มคลั่ง น้ำขึ้นน้ำลงของเขาหยุดชะงักอยู่ที่รอบที่ห้า หลังจากเลือกสร้างฐานรากแล้ว ไอสังหารในดวงตาของเขาตลบอบอวล เขามีความเหี้ยมโหดไร้ที่สิ้นสุดให้ต้องระบาย ที่นี่มีคนอยู่เยอะ เขาไม่สามารถเลือกป๋ายเสี่ยวฉุนได้ ดังนั้นจึงเลือกซ่งเชวียเช่นเดียวกับกุ่ยหยา

เวลานี้เขาแผดเสียงดังก้อง หลังจากสร้างฐานรากเสร็จก็โจนทะยานออกไป ตรงดิ่งเข้าหาสถานที่ที่ซ่งเชวียอยู่

“ป๋ายเสี่ยวฉุน เจ้าไปตายซะเถอะ ซ่งเชวีย เจ้าเองก็จงตายเช่นกัน!” เขาคำรามเคียดแค้นอยู่ในใจ ความเร็วของสร้างฐานรากระเบิดออกเต็มกำลัง

ยังมีจ้าวโหรวที่เวลานี้ก็จำต้องยอมแพ้ด้วยความขมขื่น น้ำขึ้นน้ำลงห้ารอบ และผู้ที่ได้น้ำขึ้นน้ำลงห้ารอบเช่นเดียวกันยังมีสวีเสี่ยวซานอีกคน

ส่วนคนอื่นๆ ก็มีคนที่ได้สองรอบสามรอบต่างกันไป

เวลานี้ตลอดทั้งโลกกระบี่อุกกาบาต ผู้ที่ยังสร้างฐานรากชีพจรดินมีเพียงป๋ายเสี่ยวฉุนและซ่งเชวียเท่านั้น!

ลูกศิษย์ที่น้ำขึ้นน้ำลงเหี่ยวเฉาเป็นกลุ่มสุดท้ายเหล่านี้ แต่ละคนก็พกพาเอาความโกรธแค้นและพยาบาท หากไม่เลือกป๋ายเสี่ยวฉุน ก็เลือกซ่งเชวีย ทว่าดูจากจำนวนรวมแล้ว คนที่เลือกป๋ายเสี่ยวฉุนนั้นเยอะกว่า เพราะยังไงซะเมื่อกำแพงเอนเอียงทุกคนก็พร้อมผลักให้ล้มลง ในสายตาของทุกคน ตอนนี้สถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่นั้นหมิ่นเหม่พร้อมพังทลายได้ทุกเมื่อ

และที่จ้าวโหรวแห่งสำนักธาราโอสถเลือกก็คือสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่ายามที่นางยุติน้ำขึ้นน้ำลงของตัวเองนั้น กลับพบว่าร่างของกงซุนหว่านเอ๋อร์ที่ถูกนางหลอมออกมาเป็นหุ่นเชิดศพพิษซึ่งวางเอาไว้เพื่อพิทักษ์ตนเอง เวลานี้กลับ…หายไปแล้ว

หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เหลือเบาะแสใดๆ แม้แต่การสนองตอบที่เชื่อมโยงกับนางก็ยังหายไปด้วย ภาพนี้ทำให้ในใจของจ้าวโหรวสั่นสะเทือน ไม่กล้าคิดลึกต่อ พกพาเอาความตกใจและสงสัยบินทะยานไปหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“เร็วอีกหน่อย!” ในดวงตาทั้งคู่ที่ปิดลงของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย เขาร้อนใจ เขาต้องการให้ไวยิ่งกว่านี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยให้สหายร่วมสำนักที่อยู่ด้านนอกต้องมาสละชีพเพราะปกป้องตนเอง

และเวลานี้เอง ถ้ำพลันสั่นคลอนคล้ายเกิดแผ่นดินไหว สถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่ถูกพลังมหาศาลหลายระลอกกระแทกโจมตี ม่านแสงคุ้มกันจากยันต์ด้านนอกยามนี้ก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

ภายใต้การล้อมโจมตีของคนมากมายเช่นนี้ ยันต์ของป๋ายเสี่ยวฉุนสามารถยืนหยัดได้ยาวนานถึงเพียงนี้ ถือว่าเหนือชั้นกว่าค่ายกลและการเตรียมการป้องกันอื่นๆ ของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจคนอื่นแล้ว ทว่าตอนนี้สุดท้ายก็ยังพังทลายลงไป

หลังจากที่ค่ายกลพังทลายลง ลูกศิษย์สามสำนักที่อยู่ด้านนอกทะยานดิ่งเข้ามาหาป๋ายเสี่ยวฉุน แต่ละคนร่ายเวทอภินิหารโจมตีป๋ายเสี่ยวฉุน

ยังดีที่ฟางหลินและจิ๋วต่าวถูกเป่ยหันเลี่ยและโหวอวิ๋นเฟยสกัดกั้นเอาไว้ ไม่สามารถเข้ามาถึงตัวเขาได้เป็นคนแรก บวกกับที่ลูกศิษย์ของสำนักธาราเทพเองก็มีอีกสองคนที่สร้างฐานรากชีพจรดินสำเร็จ ร่วมมือกันโอบล้อม ทำให้คนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบกายของป๋ายเสี่ยวฉุนในเวลานี้ล้วนเป็นลูกศิษย์รวมลมปราณ

แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก เวทคาถาก็เยอะ ทว่าตอนที่โจมตีเข้ามากลับถูกโล่กระสาเทพนอกร่างป๋ายเสี่ยวฉุนหมุนติ้วสกัดขวางเอาไว้ได้

แต่ตอนที่โหวอวิ๋นเฟยและเป่ยหันเลี่ยยังอยู่ในขั้นรวมลมปราณนั้นก็สู้ฟางหลินและจิ๋วต่าวไม่ได้อยู่แล้ว เวลานี้สร้างฐานรากก็ยังสู้ไม่ได้เช่นเดิม ต่อให้อาศัยกำลังคนโอบล้อม ใช้การฉุดรั้งเป็นหลัก ทว่าก็ยังเฉียดตาย บาดเจ็บสาหัส แต่ต่อให้กระอักเลือดสดออกมามากแค่ไหน โหวอวิ๋นเฟยก็ยังคงขัดขวางอย่างบ้าคลั่ง

เป่ยหันเลี่ยลังเลเล็กน้อย มุมปากเต็มไปด้วยเลือดสด ภายในร่างกายบาดเจ็บรุนแรง ถอยร่นไปเล็กน้อย จะให้เขาช่วยนั้นย่อมได้ แต่เขาก็ไม่ยอมสละชีวิตตัวเองให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้มองเห็นว่าถ้ำพังทลายลงมา เขารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่มีหวังจะพลิกกลับแล้วจึงรีบถอยกรูดทันที

ฟางหลินไม่ได้ไล่ฆ่าต่อ แต่พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนทันทีทันใด ช่วยกันโจมตีโล่กระสาเทพนอกร่างป๋ายเสี่ยวฉุนร่วมกับลูกศิษย์รวมลมปราณคนอื่น

“รนหาที่ตาย!” ไอสังหารในดวงตาจิ๋วต่าวลุกโชน เขาเพิ่งจะสร้างฐานรากได้ไม่นาน ไม่กล้าใช้ตบะมากเกินไปด้วยกังวลว่าฐานรากแห่งนักพรตจะไม่มั่นคง ทว่าเจ้าโหวอวิ๋นเฟยที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ทำราวกับไม่สนใจว่าฐานรากแห่งนักพรตจะไม่มั่นคงและพังทลายลงมา ลงมือต่อสู้ราวกับคนบ้า นี่ถึงดึงรั้งเขาเอาไว้ได้

เวลานี้เมื่อตวาดเสียงต่ำออกมา โทสะในใจของเขาโหมกระพือ พลังวางวายในร่างระเบิดออก เจตนารมณ์ในการดับสิ้นทุกสิ่งแผ่กระจายออกไปนอกกาย ตกกระทบลงไปบนร่างโหวอวิ๋นเฟยที่หลบไม่ทัน

เลือดสดๆ ของโหวอวิ๋นเฟยพุ่งทะลักทลาย ร่างถูกม้วนตลบออกไป กระดูกตลอดร่างแตกละเอียดไปไม่น้อย เลือดสดไหลผุดออกมาจากปากไม่หยุด คิดฝืนยืนขึ้น ทว่ากลับทำไม่ได้ ทำได้เพียงนอนอยู่ตรงนั้นด้วยความเศร้าเสียใจ มองไปยังทิศทางที่ป๋ายเสี่ยวฉุนถูกคนนับร้อยโอบล้อมจนมองไม่เห็นตัว

“เสี่ยวฉุน ต้องโทษที่ข้ามันไร้ประโยชน์…”

ส่วนลูกศิษย์สำนักธาราเทพคนอื่นๆ เวลานี้ก็บาดเจ็บสาหัสกันทุกคน ยังดีที่ลูกศิษย์สามสำนักที่อยู่ตรงนี้ล้วนช่วงชิงเวลาเพื่อไปบดขยี้ป๋ายเสี่ยวฉุน ไม่มีใจคิดจะต่อสู้กับลูกศิษย์สำนักธาราเทพจนถึงตาย

เพราะยังไงซะลูกศิษย์ทั้งสามสำนักเหล่านี้ล้วนอยากเป็นคนแรกที่ได้สังหารป๋ายเสี่ยวฉุน เพราะยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งดึงดูดเอาปราณชีพจรดินซึ่งจะระเบิดออกมาตอนป๋ายเสี่ยวฉุนตายได้มากขึ้น

และลูกศิษย์สำนักธาราเทพเหล่านี้ก็ใช้พลังกันจนแทบเหือดแห้งหมดแล้ว ไม่มีพลังสู้รบเหลืออยู่เท่าใดนัก ทำได้เพียงมองคนนับร้อยโอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุน เผยความเศร้าอาดูรออกมาท่ามกลางความรู้สึกขมขื่น

เสียงดังกึกก้องสะท้านฟ้า ฟางหลินและจิ๋วต่าวเดิมก็เป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอยู่แล้ว ซ้ำยังสร้างฐานรากชีพจรดินได้ถึงเจ็ดรอบ ภายใต้การนำพาลูกศิษย์รวมลมปราณนับร้อยเข้าโจมตีเช่นนี้ ไม่นานโล่กระสาเทพที่อยู่นอกกายป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปรากฏรอยปริแตกออกมาหลายเส้น

“ป๋ายเสี่ยวฉุน จงตายซะเถอะ!!”

“คืนปราณชีพจรดินของเจ้ากลับสู่โลก แม้ข้าผู้แซ่ฟางจะไม่สามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้ต่อ แต่ก็ให้ลูกศิษย์สำนักธาราโอสถของข้ามีคนสร้างฐานรากชีพจรดินได้เพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทำสำเร็จเด็ดขาด!” ขณะที่ทุกคนรอบด้านแผดเสียงคำราม โล่กระสาเทพนั้นก็ระเบิดออกมาดังตูม

นี่คืออาวุธวิเศษที่ศิษย์พี่เจ้าสำนักมอบให้กับป๋ายเสี่ยวฉุน พริบตาที่มันแตกสลายออก ทันใดนั้นด้านในก็มีเสียงนกกระสาร้องดังออกมาหนึ่งเสียง วิญญาณของนกกระสาเทพพลันบินออกมาปกคลุมร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ขัดขวางคนรอบด้านเอาไว้อีกครั้ง

ทว่าไม่นานก็ต้องดับแสงลง ชั่วขณะที่แสงดับสนิทนั้นเอง ลูกศิษย์สามสำนักที่น้ำขึ้นน้ำลงโรยราเป็นชุดสุดท้ายก็มาปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เข้ามาร่วมโอบล้อมโจมตีด้วย คนเหล่านี้มากสุดคือสร้างน้ำขึ้นน้ำลงได้ห้ารอบ น้อยสุดคือหนึ่งรอบ ทว่ายังไงซะต่างก็เป็นสร้างฐานรากชีพจรดิน การปรากฏตัวของพวกเขา ลงมือเพียงแค่ครั้งเดียวก็ทำให้นกกระสาเทพตัวนั้นเปล่งเสียงร้องเศร้าโศกหนึ่งทีแล้วแตกกระเจิงทันที

โดยเฉพาะจ้าวโหรวแห่งสำนักธาราโอสถที่ลงมือเหี้ยมโหดอย่างถึงที่สุด ยามที่นกกระสาเทพแตกสลาย นางก็ชี้นิ้วออกไปหมายจะเจาะทะลวงเข้าที่หว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน

“ต่อให้น้ำขึ้นน้ำลงรอบที่เก้าของเจ้าชะงักลงกลางคัน แต่ด้วยสร้างฐานรากน้ำขึ้นน้ำลงแปดครั้งก็ยากที่จะหนีพ้นความตายไปได้ สำนักธาราเทพ…สมควรตายกันทั้งหมด!” ใบหน้างามพิลาสของจ้าวโหรวยามนี้เผยความชั่วร้ายอำมหิต พุ่งเข้าหาหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุนในชั่วขณะ

ภาพที่กะโหลกศีรษะของป๋ายเสี่ยวฉุนระเบิดออกตามความคิดของนางกลับไม่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่านางถูกพลังมหาศาลระลอกหนึ่งดีดให้กระเด็นถอยไปหลายจั้ง เวลานี้การโจมตีของคนอื่นๆ ก็ทยอยกันตกกระทบลงไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน

เสียงตูมตามดังสนั่นหวั่นไหว ผิวหนังสีดำตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบแสงสีดำ ป้องกันทั้งหมดเอาไว้ได้

“บัดซบ เขายังมีการป้องกันอีกหรือนี่!”

“เจ้าป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้ช่างเตรียมการป้องกันไว้ลึกล้ำนัก เขาต้องมั่นใจแน่นอนว่าตัวเองสามารถสร้างน้ำขึ้นน้ำลงเก้ารอบได้ รู้ว่าจะสร้างความโกรธแค้นให้กับทุกคน ดังนั้นถึงได้เตรียมตัวมามากมายขนาดนี้!”

“จะมากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้เขาฮุบกลืนปราณชีพจรดินลงไปเท่าไหร่ก็ต้องขย้อนคายออกมามากเท่านั้น!”

เวทคาถาแผ่ขยาย นักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนลงมือพร้อมกัน ลูกศิษย์รวมลมปราณนับร้อยโจมตีเต็มกำลัง ต่อให้เป็นอาวุธรักษาชีวิตที่หลี่ชิงโหวมอบให้ก็ยังบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว หลังจากยืนหยัดอยู่ได้ครู่หนึ่ง เสียง ‘เปรี๊ยะ’ ดังลั่นและแตกออกทันที กลายร่างกลับไปเป็นกำไลข้อมือของป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้ง บนตัวของมันยังมีรอยปริแตกปรากฏให้เห็นเด่นชัด หากไม่เป็นเพราะคนเหล่านี้เพิ่งสร้างฐานรากได้ไม่นาน ไม่กล้าใช้พลังอย่างเต็มที่ เกรงว่าคงแตกสลายย่อยยับไปแล้ว

ขณะเดียวกันกับที่แสงสีดำจางหายไป ก็เผยให้เห็นว่าตลอดร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนมีสีทองอาบไล้ไปทั่ว!

ประดุจมีร่างเป็นทองคำ!

“ฆ่า!” ดวงตาจ้าวโหรวเผยความปิติยินดี เข้ามาใกล้ในพริบตา นิ้วชี้ข้างขวายกขึ้นกำลังจะจิ้มทะลวงกลางหว่างคิ้วของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าพริบตาที่นางเข้ามาใกล้นั้นเอง ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันเบิกโพลงขึ้นมา!

นั่นคือดวงตา…ที่ราวกับดวงตาของสัตว์ร้าย แฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งไร้ที่สิ้นสุด และยิ่งมากด้วยความโกรธแค้นตลบอบอวล ในยามนี้โลกทั้งใบประดุจจับตัวแข็งเป็นก้อน!

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!