Skip to content

A Will Eternal 164

บทที่ 164 แล้วยังไงเล่า!

ก่อนหน้านี้ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนประมือกับสำนักธาราโลหิตก็สังเกตเห็นแล้วว่าเวทคาถาของสำนักธาราโลหิตไม่ต่างอะไรไปจากชื่อสำนัก แทบจะใกล้เคียงกับวิถีมาร ดูจากคำแนะนำของสำนักธาราโลหิตที่สำนักธาราเทพมอบให้ หากคำแนะนำนี้เป็นความจริง ไม่ได้จงใจทำให้เสียชื่อเสียง ถ้าเช่นนั้นเวทคาถาของสำนักธาราโลหิตก็เต็มไปด้วยความวิปลาสอย่างแท้จริง!

ไม่ว่าจะเป็นมือขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังนักพรตสำนักธาราโลหิตผู้ฝึกหลอมร่างกายซึ่งป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าทำไมถึงคุ้นเคยยิ่งนัก หรือว่าจะเป็นการควบคุมหัวปีศาจ หรือวิธีการหลอมศพของสวีเสี่ยวซาน ทุกอย่างนี้ล้วนเต็มไปด้วยไอดุร้ายเข้มข้น

เวลานี้สวีเสี่ยวซานเพิ่งจะมาถึงก็ชี้นิ้วมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนทันควัน ศพแข็งทื่อขนสีดำเก้าตนพลันกระโดดผลุงออกมาดั่งดาวตกเก้าดวง โจมตีเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุนดังตูมตาม

กลิ่นอายความตายตลบอบอวล เสียงคำรามโหยหวนฟังไม่ได้ศัพท์ข้างหูกลายเป็นไอชั่วร้าย ดั่งต้องการปิดผนึกแปดทิศ ปิดผนึกป๋ายเสี่ยวฉุน

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนวาววับ พุ่งพรวดออกมา แสงสีทองทั่วร่างเปล่งกระกาย สองนิ้วของมือข้างซ้ายยื่นไปทาบบนลำคอของศพขนดำตนหนึ่งที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แล้วบีบแรงๆ หนึ่งครั้ง

เสียงดังกร๊อบ ศพขนดำตนนั้นศีรษะเอียงกะเท่เร่ แต่กลับยังไม่ตาย มันต่อยโครมใส่ป๋ายเสี่ยวฉุน ป๋ายเสี่ยวฉุนเบี่ยงตัวหลบ เส้นผมปลิวสยาย ยกมือซ้ายขึ้นแล้วกดอัดลงไปด้านล่างอย่างแรง

การกดครั้งนี้ พลังชีพจรดินน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งของเขาระเบิดตูม พายุคลั่งก่อตัวหมุนคว้างไปรอบด้านดังครืนๆ พลังมังกรคชสารปรากฏออกมาอีกครั้ง โจมตีผลักให้ศพขนดำเก้าตนนั้นกระเด็นไม่เป็นท่า เขาเงยหน้าขึ้น ร่างพุ่งออกไปด้านหน้า เข่นฆ่าฝ่าวงล้อมมาปรากฏกายอยู่ด้านหน้าสวีเสี่ยวซาน

วินาทีที่ดวงตาทั้งคู่ของสวีเสี่ยวซานหดตัวลง ป๋ายเสี่ยวฉุนเหวี่ยงหมัดลงตูม เสียงดังสนั่นแก้วหู สวีเสี่ยวซานกระอักเลือด ทันใดนั้นรอบกายพลันปรากฏอาวุธคุ้มกันกายจำนวนมาก ขัดขวางและลดความแรงของพลังลงไปบางส่วน ทว่าพลังมหาศาลบนหมัดของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังคงทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไปไกลหลายร้อยจั้ง

เวลาเดียวกันนี้ กุ่ยหยาและซ่างกวานเทียนโย่วร่วมมือกันพุ่งเข้าหา

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ได้หยุดชะงัก หมุนตัวขยายความเร็วทั้งหมดกำลังจะจากไป กุ่ยหยาก็ดี สวีเสี่ยวซานก็ช่าง และยังมีซ่างกวานเทียนโย่วอีกคน คนทั้งสามร่วมมือกัน จึงยากที่ป๋ายเสี่ยวฉุนจะหลุดพ้นไปจากตรงนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะเขาเองก็ไม่คิดจะใช้ท่าไม้ตายกับทั้งสามคนนี้

ขณะที่กำลังจะจากไป ตอนนี้เองลูกศิษย์อีกสามสำนักที่อยู่รอบด้านได้เข้ามาใกล้แล้ว คนเหล่านี้แม้จะมีความกระหายใคร่ต่อปราณชีพจรฟ้า ทว่าในเมื่อตอนนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนแย่งชิงไปได้ และพวกเขาก็รู้ดีถึงความแข็งแกร่งของป๋ายเสี่ยวฉุน จึงไม่กล้าลงมือโจมตีถึงตาย แต่อาศัยจำนวนคนที่มากกว่าโอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ จำกัดความเร็วของเขา เพื่อให้กุ่ยหยา สวีเสี่ยวซานและซ่างกวานเทียนโย่วที่อยู่ด้านหลังตามมาทัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ปราณชีพจรฟ้ามาครอง!

ในบรรดาคนเหล่านี้มีลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬอยู่ไม่น้อย ในร่างของพวกเขามีเงาร่างทับซ้อน เวลาลงมือนอกร่างก็จะมีร่างลวงตาปรากฏออกมาทันที มีทั้งแข็งแกร่งและอ่อนแอ เว้นระยะห่างกันช่วงหนึ่ง ซึ่งร่างลวงตาเหล่านี้ได้บินออกมาขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้

ลูกศิษย์สำนักธาราโอสถก็ใช้วิธีทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นยาพิษหลากหลายชนิด หรือยาระเบิด ล้วนโจมตีเข้าใส่อย่างพร้อมเพรียง

เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยว รอบด้านของป๋ายเสี่ยวฉุนก็เต็มไปด้วยเวทคาถา ดังสนั่นหวั่นไหวต่อเนื่อง ภายใต้การโอบล้อมนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนสีหน้าดำคล้ำ ต่อให้มีผิวหนังทองคงกระพัน แต่ถูกล้อมเอาไว้ขนาดนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวได้เหมือนกัน

“พวกเจ้ารนหาที่ตายกันจริงๆ!” ไอสังหารในดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งวาบ พลันย่อร่างกลายมาเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่ง พุ่งผ่านยาพิษจากเวทคาถารอบด้าน โจมตีฝ่าออกไปกระแทกลงบนร่างของลูกศิษย์สำนักธาราทมิฬคนหนึ่งที่หลบไม่ทัน ลูกศิษย์คนนั้นเลือดสาดกระเซ็น ร่างม้วนตลบแล้วระเบิดออกทันที

วงล้อมที่สกัดเอาไว้เกิดช่องโหว่ ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมาหนึ่งก้าว ความเร็วพุ่งสูงขึ้นอีก ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นเบื้องหน้าเขาก็มีเสียงคำรามดังก้อง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน อยู่ใต้ปราณชีพจรฟ้า แม้เจ้าและข้าจะเป็นสหายร่วมสำนัก แต่ก็ยังต้องแย่งชิง!” เสียงดังลอยมา ร่างของเป่ยหันเลี่ยก้าวยาวๆ เข้ามาหา พอยกมือขวาขึ้น เบื้องหลังก็มีดวงอาทิตย์ร้อนแรงดวงหนึ่งลอยสูงเด่น ดวงอาทิตย์ร้อนแรงนี้กำลังเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็วเฉกเช่นวิชารั่วรื่อ ร่วงดิ่งเข้ามาใกล้กะทันหัน

“เป่ยหันเลี่ย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้วฉับ แทบจะวินาทีเดียวกับที่เป่ยหันเลี่ยลงมือ รุ้งยาวเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว พลังของวิชาวายชีวาตม์แผ่ซ่านไปรอบด้าน ซึ่งนั่นก็คือจิ๋วต่าว

เขาล้มเลิกการรักษาอาการบาดเจ็บ ต่อให้ป๋ายเสี่ยวฉุนจะแข็งแกร่งเหนือผู้ใด แต่เขาก็ยังต้องแย่งชิงดูสักตั้ง

การลงมือของเขาแทบจะเป็นเวลาเดียวกับเป่ยหันเลี่ย ลายวางวายกลายมาเป็นพายุหมุน ระเบิดตัวอยู่ด้านหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนพร้อมกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำดวงนั้น

ก่อเกิดเสียงโจมตีดังกึกก้อง แผ่กระจายไปทั่วแปดทิศ สกัดฝีเท้าของป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้ได้ในท้ายที่สุด กุ่ยหยา สวีเสี่ยวซาน ซ่างกวานเทียนโย่วไล่กวดมาติดๆ คนทั้งห้าโอบล้อมป๋ายเสี่ยวฉุนเอาไว้!

ทั้งห้าคนนี้ล้วนเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจ และยังมีสุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจอยู่ในนั้นด้วย ฝีมือไม่ธรรมดา เมื่อร่วมมือกัน พลังอำนาจสะท้านฟ้า

ลูกศิษย์สำนักอื่นที่อยู่รอบด้านเมื่อเป็นว่าเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนมองเห็นความหวัง คนนับร้อยเข้ามาใกล้ ล้อมเอาไว้เป็นชั้นๆ คิดจะร่วมมือกันสังหารป๋ายเสี่ยวฉุน แย่งชิงเอาปราณชีพจรฟ้ามาครอง

“ป๋ายเสี่ยวฉุน แม้เจ้าจะแข็งแกร่ง ทว่าสู้คนทุกคนไม่ได้ ส่งปราณชีพจรฟ้ามาซะ!”

“ป๋ายเสี่ยวฉุน สร้างฐานรากแห่งวิถีฟ้าสำคัญยิ่งนัก หากเปลี่ยนเป็นเจ้าเองก็ต้องแย่งชิงเหมือนกัน เวลานี้พวกเราไม่มีคำว่าสหายร่วมสำนัก มีเพียงสรรพสิ่งต้องช่วงชิง สวรรค์เป็นผู้เลือกเท่านั้น!”

“ส่งปราณชีพจรฟ้ามา!”

ขณะที่เสียงรอบด้านดังลอยมา กุ่ยหยาสะบัดร่าง พลังอำนาจตลอดร่างระเบิดเต็มรูปแบบ ตบะหมุนโคจร ร่างของเขากลายมาเป็นนิ้วภูตหนึ่งนิ้ว เห็นชัดเจนว่าเป็นแค่นิ้วมือนิ้วเดียว ทว่ากลับใหญ่โตเสียยิ่งกว่ามือภูตของเขา บดบังท้องฟ้าไปเกือบครึ่ง กดอัดตูมๆๆ ลงมาที่ป๋ายเสี่ยวฉุน พละพลังแข็งแกร่งแผ่ซ่านไปทั่วท้องนภาไร้ที่สิ้นสุด

ไอสังหารในดวงตาซ่างกวานเทียนโย่วดุเดือด หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ทุกอณูรูขุมขนในร่างของเขาก็ระเบิดออกมาเป็นกระไอกระบี่ จับตัวเป็นปราณเลือดล้อมรอบตัวเขา จิตวิญญาณรวมไปถึงตบะได้กลายมาเป็นกระบี่ยักษ์น่าตื่นตะลึงเล่มหนึ่ง ตวัดฉับลงไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน

สวีเสี่ยวซานคำรามเสียงดัง หว่างคิ้วปริแตกออกเป็นเส้น แสงสีเลือดเส้นหนึ่งลอยออกมา กลายร่างเป็นศพขนดำหนึ่งตนอยู่ด้านหน้าเขา ศพแข็งทื่อนี้มองดูแล้วโบราณอย่างมาก เพิ่งจะปรากฏตัว กลิ่นอายความตายก็ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบือน เล็บคมกริบ ฟันแหลมคมจนน่าตกใจ พุ่งดิ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ยังไม่หมด เป่ยหันเลี่ยกัดฟัน หลับตาลง เพลิงสีดำแผ่กระจายออกมาจากในร่าง เพลิงสีดำนี้ปกคลุมไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่แผ่กระไอออกมาด้านนอกอย่างต่อเนื่อง พลันร่างของเขาก็กลายมาเป็นพระอาทิตย์สีดำ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า พุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

ส่วนจิ๋วต่าวเวลานี้ก็แผดเสียงดัง มือทั้งคู่ทำมุทราอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดอักขระจำนวนนับไม่ถ้วน อักขระแต่ละตัวล้วนแฝงเร้นไว้ด้วยพลังวายชีวาตม์น่าหวาดกลัว บัดนี้ได้มารวมตัวกันกลายเป็นเส้นด้ายหนึ่งเส้นอยู่ด้านหน้าเขา!

เส้นด้ายนี้หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเกิดจากอักขระร้อยเรียงกัน ประหนึ่งสามารถตัดขาดทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ได้ ตอนที่มันปรากฏตัว จิ๋วต่าวหน้าขาวซีด กระอักเลือด ร่างของเขาแก่ลงไปในพริบตา คล้ายว่าได้เอาชีวิตของตัวเองมาค้ำยันเอาไว้

ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าคน ลงมือพร้อมกัน!

รอบกายของพวกเขา ลูกศิษย์รวมลมปราณเหล่านั้นก็ร่ายเวทคาถาที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา วิชาอภินิหารห้าแสงสิบสีดารดาษทั่วฟ้าดิน ถาโถมซัดใส่ป๋ายเสี่ยวฉุนราวลูกคลื่นบ้าคลั่ง

วิกฤตรุนแรงทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนลมหายใจถี่กระชั้น เวลานี้ปราณชีพจรฟ้าในนิ้วมือได้หลอมละลายไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไหลตามชีพจรลงไปหล่อเลี้ยงมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในจุดตันเถียนของเขา หากถูกบีบให้ต้องปล่อยมือ จะส่งผลกระทบต่อตัวเขาไม่น้อย

อีกอย่าง ปราณชีพจรฟ้านี้ ในเมื่อได้มาอยู่ในมือแล้ว ต่อให้เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่คิดจะโยนออกไป และที่สำคัญที่สุดคือ…ต่อให้ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจผู้ยิ่งใหญ่ทั้งห้าคนร่วมมือกัน…

แล้วอย่างไรเล่า!

ประกายตาป๋ายเสี่ยวฉุนคมกริบ สูดลมหายใจเข้าลึก ชั่วขณะที่เวทคาถาอภินิหารของคนรอบด้านเข้ามาใกล้ เขาก็หลับตาลง ยกมือทั้งคู่ชูสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ปากท่องพึมพำสี่คำ!

“เขตแดน ธารา!”

ใช้ตบะของสร้างฐานรากร่ายวิชาเขตแดนธาราอย่างสมบูรณ์แบบ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรก!

คำพูดเขาเพิ่งจะเปล่งออกไป รัศมีหมื่นจั้งโดยรอบพลันขมุกขมัว เวลาชั่วพริบตาเดียว ฟ้าดินหายไป กลายมาเป็นบึงน้ำ ไอน้ำไร้ที่สิ้นสุดแผ่กระจาย ทำให้เส้นผมและอาภรณ์ของทุกคนเปียกชื้น ราวกับเปลี่ยนโลกไปทั้งใบ

ปราณแข็งแกร่งอย่างที่ไม่อาจพรรณนาได้ บัดนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งในเขตแดนธาราแห่งนี้ ประหนึ่งอยู่เหนือล้ำสร้างฐานรากขั้นต้น เข้าใกล้สร้างฐานรากขั้นกลางได้อย่างไร้ขีดจำกัด

เวทคาถาที่แทบจะใกล้เคียงกับตบะฝ่าทะลุขึ้นไปอีกขั้นนี้ ก็คือเวทคาถาลับ!

เวทคาถาลับแบ่งออกเป็นแข็งแกร่งและอ่อนแอ แม้ว่าเขตแดนธาราจะเทียบเคียงได้กับขบวนภูตรัตติกาล ทว่าเนื่องจากป๋ายเสี่ยวฉุนคือจุดสุดยอดของชีพจรดิน เนื่องจากเขาเคยประจักษ์แจ้งถึงจิตวิญญาณแห่งชะตาตน เนื่องจากเขาได้ฝ่าทะลุพันธนาการแห่งชีวิตขั้นที่หนึ่ง เนื่องจากสาเหตุมากมาย ทำให้เขตแดนธาราของป๋ายเสี่ยวฉุน…ไม่เหมือนผู้ใด เหนือล้ำเกินกว่าขบวนภูตรัตติกาล!

บัดนี้เมื่อถูกร่ายออกมา ฟ้าถล่มดินทลาย!

ศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าคน นักพรตทุกคนที่อยู่โดยรอบหน้าเปลี่ยนสีกันหมด เวทคาถาของพวกเขามายามนี้กลับถูกกดอัด และยังถึงขั้นเกิดลางที่จะพังทลายลง

“จะให้เขาทำต่อไปไม่ได้!”

“ลงมือ!!” ขณะที่ทุกคนร้องอุทานเสียงหลง เวทคาถาของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าเพิ่มความเร็วเต็มกำลัง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว กำลังจะตกลงไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ทว่าเวลานี้เอง ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ที่ปิดลงของป๋ายเสี่ยวฉุนพลัน…เบิกโพลง!

ชั่วขณะที่ลืมตาขึ้นมานั้น ยอดเขาขนาดมหึมาสะท้านฟ้าสะเทือนดินแห่งหนึ่งก็โผล่ทะลุพรวดขึ้นมาจากบึงน้ำหมื่นจั้งใต้ฝ่าเท้าของเขา เข้ามาแทนที่โลกใบนี้โดยตรง ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดินโดยตรง!

ยอดเขาแห่งนี้ใหญ่เกินไป วินาทีที่โผล่ขึ้นมาก็ยิ่งมีปราณดุเดือดระเบิดตูมไปทั่วด้านคล้ายจะพลิกภูเขากลับมหาสมุทร กลายมาเป็นพลานุภาพสยบเกรียงไกรอย่างไม่น่าเชื่อ ดั่งว่าบัดนี้ฟ้าดินได้ถล่มทลายลงมาบีบอัดกันและกัน!

คล้ายต้องการบดขยี้ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ใต้ผืนฟ้าเหนือผืนดินให้แหลกลาญ!

เวทคาถาของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้า เมื่อสัมผัสโดนก็พังราบเป็นหน้ากลอง พินาศย่อยยับหมดสิ้น!

วิชาอภินิหารของศิษย์แห่งความภาคภูมิใจทั้งห้าพังทลาย แต่ละคนกระอักเลือด สีหน้าตะลึงพรึงเพริด ร่างถูกพลังมหาศาลเหวี่ยงออกไปไกลอย่างควบคุมไม่ได้ ลูกศิษย์รวมลมปราณเหล่านั้นที่อยู่โดยรอบ แต่ละคนหวีดร้องโหยหวน ภายใต้พลานุภาพสยบนี้ ภายใต้การบีบอัดนี้ ทุกร่างแหลกสลาย กลายมาเป็นดอกไม้สีเลือดดอกแล้วดอกเล่า!

จิตแตกวิญญาณซ่าน ร่างป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี!

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!