Skip to content

A Will Eternal 170

บทที่ 170 เทพธิดาหลิงเฟย

หญิงนางนั้นใช้แป้งประทินโฉมเล็กน้อย มองดูแล้วก็ถือว่าสวยผุดผ่อง เพียงแต่ความรู้สึกคล้ายคนตกระกำลำบากในสีหน้าทำให้ความโดดเด่นของนางบางเบาลง ทว่าโดยรวมแล้วก็นับว่างามพิลาส

“พี่อวิ๋นชิง ข้าผู้แซ่หลี่รอเจ้าอยู่นานแล้ว มาๆๆ มานั่งตรงนี้” รอยยิ้มของชายร่างใหญ่แฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยอง เดินหน้าไปดึงตัวโหวอวิ๋นชิง ตรงดิ่งไปยังตั่งที่อยู่ด้านข้าง โหวอวิ๋นชิงมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยความเสียใจและรู้สึกผิดหนึ่งครั้ง

ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่ถือสา ชายร่างใหญ่ผู้นั้นเวลานี้ก็สังเกตเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนแล้วเช่นกัน ยังคงหัวเราะอยู่เช่นเดิม

“พี่ชายท่านนี้หน้าไม่คุ้นเลยนะ แต่เมื่อมาแล้วก็ถือว่าเป็นแขก เพื่อนของอวิ๋นชิงก็คือเพื่อนของข้าหลี่โหย่วเต้า ครั้งนี้ตระกูลหลี่ของข้าจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับทูตหลิงเฟย เพราะฉุกละหุกเกินไป จึงจัดได้เรียบง่ายไปนิด จุดไหนที่รับรองไม่ทั่วถึง ขอพวกเจ้าอย่าเห็นขัน” สีหน้าชายร่างใหญ่ยิ่งลำพองใจมากกว่าเดิม ไม่เปิดจังหวะให้พูดก็ดึงเอาโหวอวิ๋นชิงและป๋ายเสี่ยวฉุนมาตรงตั่งด้านข้างที่ตั้งวางไว้ หญิงสาวผู้นั้นนั่งลงข้างกายหลี่โหย่วเต้าอย่างว่าง่าย ดุจนกน้อยที่ต้องพึ่งพาคนอื่น

“เพราะฉุกละหุกไปหน่อย สุราวิเศษนี้จึงทำมาจากยาวิเศษระดับบนขั้นหนึ่งเท่านั้น หากมีเวลามากกว่านี้อีกนิด ตระกูลหลี่ของข้ายังสามารถหมักสุราวิเศษซึ่งทำมาจากยาวิเศษระดับบนขั้นสองได้ด้วย” ชายร่างใหญ่ชุดคลุมยาวสีม่วงถอนหายใจเบาๆ ทว่าสีหน้ากลับปกปิดความลำพองใจเอาไว้ไม่มิด เขากับโหวอวิ๋นชิงต่างชิงดีชิงเด่นกันอย่างลับๆ มาหลายปี ครั้งนี้ในที่สุดก็ได้โอกาส จึงพร้อมข่มอีกฝ่ายเต็มที่

“โหย่วเต้า ท่านอย่าได้พูดเช่นนี้เชียว สุราวิเศษซึ่งทำมาจากยาวิเศษระดับบนขั้นหนึ่งนั้น ตลอดทั้งเกาะตงหลินก็มีเพียงไม่กี่ตระกูลที่สามารถเอาออกมารับรองคนได้มากมายขนาดนี้ ลำพังแค่จอกเล็กๆ นี่ก็มากพอที่จะขายได้ในราคาหลายร้อยหินวิเศษแล้ว” หญิงสาวที่อยู่ข้างกายหลี่โหย่วเต้ารีบเอ่ยปากน้ำเสียงฉอเลาะ นางรู้ทันความคิดของหลี่โหย่วเต้า เมื่อป้อยอขึ้นมาเช่นนี้จึงทำให้หลี่โหย่วเต้าแช่มชื่นทันที

“หินวิเศษไม่กี่ร้อยก้อนจะไปมีค่าอะไร ก็แค่สุราเท่านั้น มาๆๆ พี่อวิ๋นชิง แล้วก็พี่ชายท่านนี้ ลองชิมสุราหมักวิเศษนี่ดู ของสิ่งนี้ในเมืองตงหลินไม่ได้หาเจอได้บ่อยหรอกนะ” หลี่โหย่วเต้าโบกมืออย่างกล้าได้กล้าเสีย ข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายก็รินสุราให้โหวอวิ๋นชิงและป๋ายเสี่ยวฉุนจนเต็มจอก

โหวอวิ๋นชิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย สุราหมักที่ใช้ยาวิเศษระดับบนขั้นหนึ่งจำนวนไม่น้อยหมักออกมาเช่นนี้ แม้ว่าตระกูลของเขาจะไม่ธรรมดา ทว่าเคยดื่มเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากลังเลเล็กน้อยจึงยิ้มเจื่อนยกขึ้นมาจิบหนึ่งคำ

ป๋ายเสี่ยวฉุนใคร่รู้ ยกขึ้นมาดมครู่หนึ่ง ไม่เห็นว่าเป็นของดีอะไรนัก เพราะด้านในมีสิ่งเจือปนอยู่ไม่น้อย

มองเห็นสีหน้าเช่นนั้นของโหวอวิ๋นชิง ในใจหลี่โหย่วเต้าฮึกเหิม แต่พอมองเห็นสีหน้าของป๋ายเสี่ยวฉุน ในใจหลี่โหย่วเต้าไม่สบอารมณ์ สายตากวาดผ่านร่างป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ตั้งใจมั่นว่าครั้งนี้จะไม่เพียงกดข่มโหวอวิ๋นชิงเท่านั้น แม้แต่เพื่อนของเขาก็ต้องโดนข่มไปพร้อมกันด้วย

“พี่ชายท่านนี้ไม่พอใจหรือ? แต่วางใจเถอะ งานเลี้ยงฉลองที่ตระกูลหลี่ของข้าจัดขึ้นเพื่อทูตหลิงเฟยครั้งนี้ แม้จะกะทันหันไปบ้าง ทว่าก็พอหาสิ่งของหายากมาได้บ้างเหมือนกัน ข้าได้ยินว่าเทพธิดาหลิงเฟยคิดถึงสำนักธาราเทพอยู่เสมอ ดังนั้นครั้งนี้ตระกูลหลี่ของข้าจึงจ่ายค่าตอบแทนสูงสุดเพื่อเอาไก่หางวิเศษมาปลอบประโลมใจที่คิดถึงบ้านของนาง”

“ใครก็ได้ ยกไก่หางวิเศษมา!” หลี่โหย่วเต้าเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม แค่โบกมือ ข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็รีบยกถาดขนาดใหญ่ออกมา ในถาดนั้นวางไก่หางวิเศษหนึ่งตัว…ที่ย่างสุกแล้วเอาไว้!

ถาดเป็นสีทอง มองดูแล้วหรูหราเกินสิ่งใดเปรียบ หางวิเศษสามสีถูกวางประดับตกแต่งไว้ริมถาด ทำให้ไก่หางวิเศษที่ถูกย่างจนเหลืองเกรียมดูไม่ธรรมดา เพิ่งจะยกออกมากลิ่นหอมก็ลอยกำจายไปทั่ว ทำให้หลายคนรอบด้านที่ได้เห็นต่างอึ้งตะลึง

“ไก่หางวิเศษ? ตระกูลหลี่ช่างใจป้ำนัก!”

“ไก่วิเศษหนึ่งตัวหนึ่งโต๊ะ เห็นได้ชัดว่าทุกตัวล้วนไม่ได้เลี้ยงมาจากที่อื่น…แต่เลี้ยงมาจากที่นั่น!”

“ก็แค่ไก่หางวิเศษไม่ใช่รึ?” ขณะที่ทุกคนกำลังอุทานอย่างตกตะลึงอยู่นั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตา มองปฏิกิริยาตอบสนองของคนรอบด้านอย่างแปลกใจ

คำพูดเขาเปล่งออกไป นัยน์ตาของหญิงสาววัยเยาว์ข้างกายหลี่โหย่วเต้าก็เผยแววเย้ยหยันและดูแคลน

“สหายท่านนี้ของคุณชายอวิ๋นชิง มาดในการพูดจาไม่เบาทีเดียว ก็แค่ไก่หางวิเศษไม่ใช่หรือ พูดอย่างกับท่านเคยกินมามากมายแล้วอย่างนั้นแหละ”

หลี่โหย่วเต้าวางท่าเข้มงวด มองหญิงสาวข้างกายหนึ่งครั้ง แต่ใจก็รู้สึกว่าป๋ายเสี่ยวฉุนถือดีไม่น้อย ในใจแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ ทว่าปากกลับอธิบายเนิบนาบ

“สหายท่านนี้ของพี่อวิ๋นชิงคงไม่รู้ว่าไก่หางวิเศษไม่ใช่สิ่งของที่หาได้ทั่วไป และตระกูลหลี่ของข้าก็ไม่ได้เลี้ยงเอง แต่เอามาจาก…สำนักธาราเทพ!”

“หรือจะพูดให้แม่นยำกว่านั้นก็คือ เอามาจากชายฝั่งทิศใต้ของสำนักธาราเทพ!” หลี่โหย่วเต้าเอ่ยปากเนิบช้า เมื่อเสียงดังออกไป รอบด้านมีคนไม่น้อยได้ยิน เสียงสูดลมหายใจจึงดังลอยมาเป็นระลอก

คราวนี้แม้แต่โหวอวิ๋นชิงก็สำลักลมหายใจไปเช่นกัน สะท้านสะเทือนไปกับความใจป้ำของหลี่โหย่วเต้า

หลี่โหย่วเต้าพึงพอใจกับสีหน้าของโหวอวิ๋นชิงและทุกคนอย่างมาก ยิ่งลำพองใจ เอ่ยปากพูดต่อ

“ไก่หางวิเศษของชายฝั่งทิศใต้สำนักธาราเทพไม่ใช่สิ่งของธรรมดา และก็เนื่องจากการปรากฏตัวของปีศาจคลั่งขโมยไก่ในปีนั้น จำนวนของมันจึงลดลงไปฮวบฮาบ ตอนนี้ไม่ว่าตัวใดก็ตาม เมื่อเอามาขายในงานประมูลก็ล้วนได้ราคาที่น่าตกใจทั้งสิ้น อีกทั้งยังแยกแยะได้ง่าย กระดูกสีเขียว หางสามสี แตกต่างไปจากไก่หางวิเศษที่เลี้ยงจากที่อื่นอย่างสิ้นเชิง”

“น่าเสียดายก็แต่เจ้าปีศาจคลั่งขโมยไก่นั่นช่างสติวิปลาสยิ่งนัก ขโมยเอาไก่หางวิเศษไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ไก่หางวิเศษของชายฝั่งทิศใต้แทบจะสูญพันธุ์!” หลี่โหย่วเต้าพูดอย่างเสียดาย ประณามปีศาจคลั่งขโมยไก่ด้วยความโกรธแค้น หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างก็พูดคล้อยตามไปเช่นกัน แม้แต่แขกคนอื่นๆ ที่อยู่รอบด้านก็ยังรู้สึกเสียดายขึ้นมาด้วย

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นทุกคนประณามปีศาจคลั่งขโมยไก่ด้วยความแค้นเคือง เขาไอแห้งๆ หนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ

และเวลานี้เอง เสียงของทุกคนพลันหยุดชะงัก ห่างไปไกลมีคนกลุ่มหนึ่งเดินล้อมรอบหญิงสาวผู้หนึ่งเข้ามาอย่างเชื่องช้า หญิงสาวผู้นั้นสวมชุดกระโปรงยาวสีขาวดั่งดอกบัวที่ผลิบานเต็มที่ ผิวพรรณบอบบางคล้ายแค่ดีดก็แตกสลายได้ ปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งบนศีรษะของนางประดับด้วยไข่มุก มันแกว่งไกวเบาๆ ไปตามการเยื้องย่างของนาง เปล่งแสงระยิบระยับงดงาม ขับให้ใบหน้าของนางงามเพริศแพร้ว

เวลานี้บนดวงหน้าที่ทำให้ผู้พบเห็นใจเต้นโครมคราม คิ้วคู่สวยขมวดแน่นคล้ายมีเรื่องในใจ พยายามฝืนฉีกยิ้ม กำลังพูดอะไรบางอย่างกับบุรุษของตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นเสียงเบา

บุรุษเหล่านั้นล้วนมีท่าทีระมัดระวังอย่างมาก แต่ก็เผยความปรารารถนาอันเร่าร้อนในจิตใจออกมาทางสายตาอยู่เป็นพักๆ คนนอกล้วนมองออก

หญิงสาวผู้นี้ก็คือ…ตู้หลิงเฟย

การปรากฏกายของนางได้กลายมาเป็นจุดสนใจของสถานที่แห่งนี้ทันที ถึงขั้นที่ว่าเมื่อนางย่างก้าว บนร่างของนางยังมีลักษณะพลังบางอย่างที่คล้ายจะทำให้ทุกคนต้องก้มหัวให้นางอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

ต่อให้มีกลุ่มคนขวางกั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนก็มองเห็นตู้หลิงเฟยได้ทันที สีหน้าเขาเลื่อนลอยเล็กน้อย ทั้งสองคนไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว เวลานี้พอมองไป ดูเหมือนตู้หลิงเฟยจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาเยอะมาก ตู้หลิงเฟยในเวลานี้คล้ายจะงดงามยิ่งกว่าเมื่อก่อน โดยเฉพาะรัศมีความสูงศักดิ์ที่เพิ่มขึ้นมา นั่นคือบุคลิกลักษณะที่จะหล่อหลอมออกมาได้ก็เมื่ออยู่ในตำแหน่งของผู้ควบคุมเท่านั้น

แตกต่างไปจากภาพของหญิงสาวที่แรกเริ่มพาลพาโล แต่ภายหลังกลายมาเป็นฉอเลาะออดอ้อนในความทรงจำของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างสิ้นเชิง ทว่าหลังจากร่างของตู้หลิงเฟยปรากฏชัดเจนในคลองจักษุของป๋ายเสี่ยวฉุน ภาพเหล่านั้นก็ทับซ้อนเข้าหากันช้าๆ

ขณะเดียวกันกับที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเติบโต ตู้หลิงเฟยเองก็เติบโตเช่นกัน ในเมืองตงหลินแห่งนี้ วิธีการของนางได้สร้างความเสมอภาคให้กับทุกตระกูลใหญ่อย่างชาญฉลาด ทุกอย่างนี้สำหรับสายตาของคนภายนอกแล้วนับเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก

“เทพธิดาหลิงเฟย…” นัยน์ตาหลี่โหย่วเต้าเผยแววหลงใหล เขาถูกตู้หลิเฟยดึงดูดใจได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น ทว่าระดับความรุนแรงในการดึงดูดนั้นไม่มาก แต่หลังจากที่ตู้หลิงเฟยได้ค่อยๆ แสดงให้เห็นถึงปัญญาและไหวพริบจากการสร้างความเท่าเทียมให้แก่ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียร จนถึงขั้นที่ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านั้นล้วนให้ความสำคัญ รัศมีที่ปรากฏออกมาจากร่างของนางนั้นทำให้หลี่โหย่วเต้าคลั่งใคล้ได้ทันที

หญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขาเองก็มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่สู้ไม่ได้ มองเห็นตู้หลิงเฟยที่สามารถข่มทุกคนให้ดับแสงลง นางก็ก้มหน้า

“ปีนั้นเทพธิดาตู้หลิงเฟยมาอยู่ที่เมืองตงหลินเพียงลำพังลำบากยากแค้น ข้ายังจำภาพที่นางมองไปยังทิศทางของสำนักธาราเทพหลายต่อหลายครั้งได้…แต่ใครก็คิดไม่ถึงว่านางจะทำหน้าที่ได้ดีขนาดนี้ ทูตคนก่อนๆ ไม่มีใครทำได้แบบนางสามารถสร้างความสมดุลได้อย่างชาญฉลาดจนแทบไม่น่าเชื่อ” โหวอวิ๋นชิงเอ่ยปากเสียงเบา

“ข้ายังถึงขั้นได้ยินมาว่าบุรพาจารย์ของหลายตระกูลใหญ่ล้วนให้ความสนใจต่อหญิงสาวผู้นี้อย่างมาก สำนักธาราเทพก็ยิ่งให้ความสำคัญเข้าไปใหญ่ นี่ถึงได้ให้นางทำหน้าที่เป็นทูตติดต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้”

ขณะที่หลี่โหย่วเต้ากำลังเคลิบเคลิ้ม โหวอวิ๋นชิงพึมพำเสียงเบาอยู่นั้น ตู้หลิงเฟยพูดกับคนข้างกายเสร็จ กำลังจะเดินมาข้างหน้า ทันใดนั้นฝีเท้าของนางก็ชะงักกึก พริบตานั้นสายตาของนางลอดทะลุกลุ่มคนไปตกยังตำแหน่งตั่งที่พวกหลี่โหย่วเต้าสี่คนนั่งอยู่

นางเบิกตากว้าง ร่างสั่นสะท้าน ทำท่าคล้ายไม่กล้าเชื่อสายตา วินาทีนี้ทุกคนรอบด้านคล้ายไม่มีตัวตน ในโลกของนาง นัยน์ตาของนาง ยามนี้มีแต่ร่างของคนผู้นั้น

ตู้หลิงเฟยหายใจถี่ระรัว ถลาเข้าไปหา คนรอบด้านพากันตื่นตะลึง หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง หลี่โหย่วเต้ารู้สึกเหลือเชื่อ ลุกพรวดขึ้นยืน ร่างสั่นเทิ้ม

“นาง…นางถึงกับวิ่งเข้ามาหาข้า!!!” หลี่โหย่วเต้าตื่นเต้น ในสมองเกิดเสียงดังอื้ออึง เลือดทั่วร่างไหลเวียนอย่างรวดเร็ว สีหน้าฮึกเหิมบ้าคลั่งไม่อาจควบคุมได้ รีบเดินก้าวเร็วๆ เข้าไปหา

“เทพธิดาหลิง…” หลี่โหย่วเต้ากำลังจะเอ่ยปาก ทว่ายังไม่ทันได้พูดจบ ตู้หลิงเฟยไม่มองเขาแม้แต่หางตา เดินฉิวผ่านข้างกายเขาไป ร่างของหลี่โหย่วเต้าแข็งค้างอยู่ที่เดิม ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น หันกลับไปมองทื่อๆ เห็นว่าตู้หลิงเฟยเดินมาหยุดอยู่หน้าตั่ง ในสายตามีเพียงคนคนเดียว

“ป๋ายเสี่ยวฉุน…เจ้ามาแล้ว…” นางในเวลานี้สวยหยาดเยิ้มตรึงใจ ดั่งดวงดารากลางฟากฟ้า ทำให้ทุกคนที่มองเห็นล้วนใจเต้นกระหน่ำอย่างอดไม่อยู่

แทบจะวินาทีเดียวกับที่เสียงเรียกชื่อป๋ายเสี่ยวฉุนดังขึ้นนั้นเอง งานเลี้ยงฉลองที่เดิมทีอึกทึกครื้นเครง พลันชะงักงัน…

รอบด้านเงียบสงัด ทว่าทุกคนก็ต้องตื่นตะลึงไปกับชื่อที่ออกจากปากของตู้หลิงเฟยอย่างรวดเร็ว แต่ละคนหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างพร้อมเพรียง เผยสีหน้าสะท้านสะเทือน

ป๋ายเสี่ยวฉุน ชื่อนี้พวกเขาเคยได้ยินมาก่อน นั่นคือลูกศิษย์ผู้ทรงเกียรติของสำนักธาราเทพ นั่นคือศิษย์น้องของเจ้าสำนัก ครั้งล่าสุดได้ยินว่าเขาไปสร้างฐานรากที่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

“ข้ามาแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ้ม นึกถึงตอนที่อยู่เทือกเขาลั่วเฉิน นึกถึงภาพใบหน้าซีดขาวทว่ายังคงงดงามภายใต้แสงไฟในถ้ำนั้น

โหวอวิ๋นชิงที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุน เวลานี้ก็เผยสีหน้าตื่นตกใจอย่างยิ่งออกมา เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวจนเกือบจะล้มลง เผยท่าทางเหลือชื่อเกินจริงไปมาก ชี้นิ้วไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนคล้ายไม่อยากเชื่อ

“ท่าน…ท่านคือป๋ายเสี่ยวฉุน!!”

และเวลาเดียวกันนี้เอง ทันใดนั้นแผ่นหยกในถุงเก็บของของคนตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรซึ่งอยู่ในงานเลี้ยงทุกคนก็ทยอยกันมีข้อความเสียงดังลอยมา

หลังจากที่คนพวกนี้ตรวจสอบข้อความเสียงของตนแล้ว ในจิตใจของทุกคนก็ยิ่งเกิดคลื่นยักษ์ถาโถมรุนแรงกว่าเมื่อครู่หลายหมื่นเท่า ทุกคนสูดลมหายใจเฮือก ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุนอีกครั้งสมองของพวกเขาเกิดเสียงดังกึกก้อง

ในแผ่นหยกของทุกคนล้วนมีคำพูดในทำนองเดียวกัน

“ป๋ายเสี่ยวฉุน สร้างฐานรากวิถีฟ้า คนของตระกูลทุกคนที่อยู่ด้านนอก หากพบเจอป๋ายเสี่ยวฉุน ต้องให้ความเคารพอย่างถึงที่สุด ส่งข่าวมาบอกตระกูลทันที ถือว่าสร้างความดีใหญ่หลวง!!”

————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!