Skip to content

A Will Eternal 180

บทที่ 180 หรือจะเป็นบัญชาจากสวรรค์…

ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเป็นอย่างที่เย่จั้งพูดจริง สำนักลึกลับนั่นอยู่ห่างไกลจากสำนักธาราโลหิตลิบลับ ไกลจนถึงขั้นที่ต่อให้ทอดเงาลงมาก็ยังยากลำบากเกินสิ่งใดเปรียบ เวลาในการเว้นระยะแต่ละครั้งจึงห่างกันนานมาก ดังนั้นสำหรับการเลือกและความมั่นใจที่มีต่อสายลับจึงยากที่จะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนระแวง จึงถามเย่จั้งอย่างละเอียดอีกครั้ง ซักถามโดยเปลี่ยนแนวความคิดอย่างต่อเนื่อง ถามจนกระทั่งเย่จั้งสับสนไปหมด ป๋ายเสี่ยวฉุนขมวดคิ้ว ข่มขู่อีกฝ่ายโดยทำท่าจะโยนลงแม่น้ำทงเทียนอีกครั้ง จากนั้นก็จี้ถามต่อ แม้แต่ตำรับยาที่ใช้เปิดประตูก็ถามหมด สุดท้ายเขาค้นพบว่าการตอบคำถามทุกครั้งของเย่จั้ง แม้จะไม่เหมือนกัน แต่ความหมายโดยรวมกลับไม่ต่างกันมากนัก

สามารถพูดได้ว่า ตัวเย่จั้งเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวแน่ชัด เขารู้แค่ว่าตัวเองเป็นสายลับให้กับอีกฝ่าย วิญญาณถูกกักขัง หากไม่ทำตามก็ต้องตาย อีกทั้งสุดท้ายแล้วหากเอาวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญออกมาได้จริง ควรจะจัดการกับมันอย่างไร เขาก็ยังไม่รู้เหมือนกัน

โดยเฉพาะสำนักลึกลับนั่นยังถึงขั้นเอาวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมยามาให้เย่จั้งหมดแล้ว ข้อนี้ไม่สอดคล้องกับตรรกะเลยแม้แต่น้อย หากจะพอฝืนอธิบายก็คงพูดได้แค่ว่าอีกฝ่ายมั่นใจในวิญญาณตนนี้เป็นอย่างมาก หรือไม่ก็อยู่ไกลจากที่นี่จริง ด้วยสาเหตุบางประการ ถึงได้เอาวัตถุดิบให้วิญญาณตนนี้ในครั้งเดียว

ทว่าป๋ายเสี่ยวฉุนกลับมองออกถึงความผิดปกติของเรื่องนี้ ดูเหมือน…สำนักลึกลับนั่นไม่ได้คิดไว้สักนิดเลยว่าหากเย่จั้งได้วัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญมาแล้วจะทำเช่นไร หากไม่เป็นเพราะเป้าหมายสุดท้ายของพวกเขาก็คือแค่เปิดประตูบานนั้น ก็ต้องเป็นเพราะไม่คิดว่าเย่จั้งจะได้มันมาจริง…

แต่หากคิดว่าเย่จั้งเอามันมาไม่ได้ แค่เปลี่ยนสายลับใหม่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ…

“ช่างเป็นสำนักลึกลับที่ประหลาดนัก…ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าสำนักนี้ทำงานลวกๆ เพื่อให้คนอื่นรู้สึกว่าตัวเองพยายามแล้ว…ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไง กลับไม่สนใจเลยสักนิด” ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งแปลกใจ

และปัญหาเรื่องที่คนของสำนักธาราโลหิตจับไม่ได้ว่าเย่จั้งปลอมตัวมา กุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงเบาะแสจากคำพูดของเย่จั้ง

“หน้ากากอันนี้น่ะหรือ…” ป๋ายเสี่ยวฉุนครุ่นคิด มองหน้ากาก หลังจากที่เขาสังเกตวัตถุชิ้นนี้อย่างละเอียดก็รู้สึกตกใจไม่น้อย คุณสมบัติของตัววัตถุเองเขาไม่แน่ใจนัก แต่ปรานของมันกลับน่าตะลึง ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง

ตามคำบอกเล่าของเย่จั้ง เมื่อสวมหน้ากากนี้เข้าไปแล้ว มันไม่เพียงแต่เปลี่ยนโฉมหน้าอย่างเดียวเท่านั้น แม้แต่เลือดเนื้อก็มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย แม้ว่าเมื่อถอดออกทุกการเปลี่ยนแปลงจะหายไป แต่ตอนที่สวมมันก็แทบจะไม่มีใครสัมผัสถึงต้นสายปลายเหตุได้ ทั้งยังสามารถอำพรางคลื่นของตบะ ผู้นำสารจากอิทธิพลลึกลับนั้นยังเคยพูดด้วยว่า ต่ำกว่าขอบเขตของมหายาน จะไม่มีใครสามารถมองทะลุหน้ากากนี้ไปได้ แต่เย่จั้งไม่รู้ว่าอะไรคือขอบเขตของมหายาน…

ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเล เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามหายานคือขอบเขตของอะไร แต่ฟังดูแล้วคล้ายจะร้ายกาจอย่างมาก เขามองเย่จั้งตัวปลอมที่อยู่บนหน้ากาก พลันเอ่ยปาก

“หญ้าหลิงตง ดอกน้ำหมึก ใบมังกรสวรรค์ รากบวบหอม พืชหญ้าสี่ชนิดนี้มีสรรพคุณทางยาอะไรบ้าง!”

เย่จั้งตัวปลอมอึ้งไป พูดสรรพคุณทางยาของพืชหญ้าสี่ชนิดออกมาทีละอย่างโดยไม่รู้ตัว ป๋ายเสี่ยวฉุนฟังไปฟังมาก็ขมวดคิ้วมุ่น

คำตอบของเย่จั้งตัวปลอม แม้จะไม่สมบูรณ์แบบนัก มีจุดที่ผิดพลาด ทว่าโดยภาพรวมแล้วส่วนใหญ่พูดได้ถูกต้อง และป๋ายเสี่ยวฉุนก็ไม่ได้เลือกพืชหญ้าสี่ชนิดนี้ตามใจชอบ พวกมันต่างก็มีลักษณะของความเป็นตัวแทน จากคำตอบของอีกฝ่าย เขาจึงสามารถตัดสินได้ว่าเย่จั้งตัวปลอมผู้นี้หลอมยาเป็นจริงหรือว่าโกหก

“เขาหลอมยาเป็นจริงๆ…แม้ว่าจะเป็นเพียงขั้นพื้นฐานของวิถีโอสถ ทว่าหากคิดจะหลอมยาเปิดประตูนั่นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”

ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกคิดไม่ตกเล็กน้อย สำหรับวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ เขาสนใจเป็นอย่างมาก แค่นึกถึงก็รู้สึกถึงความกระหายใคร่

“ชื่ออะไรไม่ชื่อ ดันมาชื่อนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนถลึงตามองไปยังวิญญาณเย่จั้งตัวปลอมที่อยู่บนหน้ากาก ถูกเขาถลึงตาใส่เช่นนี้ เย่จั้งตัวปลอมก็ตัวสั่นเทิ้ม ร้องอ้อนวอน

“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งนั้น ข้าสาบาน ข้าบอกทุกเรื่องกับท่านแล้วจริงๆ ไม่มีอะไรปิดบังเลยสักนิด!” เขาไม่เหลืออะไรที่ปิดบังไว้แล้วจริงๆ พูดทุกอย่างที่รู้ออกมาหมด

“เอาเถอะๆ เจ้ารีบออกมาจากในหน้ากากนี้เร็วเข้า ข้าจะศึกษามันสักหน่อย!” ป๋ายเสี่ยวฉุนพูดเร่งเร้า

เย่จั้งตัวปลอมลังเล ไม่อยากออกมา แต่พอนึกถึงความเหี้ยมโหดของป๋ายเสี่ยวฉุนในโลกกระบี่อุกกาบาต แล้วก็นึกถึงเมื่อครู่ที่อีกฝ่ายจะโยนตนลงไปในแม่น้ำทงเทียน เขาก็กัดฟันตัวสั่นงันงก รู้สึกว่าหากอีกฝ่ายคิดจะทำลายตนก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้ ดังนั้นจึงฝืนใจบินออกมาจากในหน้ากากช้าๆ

เพิ่งจะออกมาได้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สะบัดปลายแขนเสื้อ ตลบเย่จั้งตัวปลอมที่กำลังกรีดร้องเข้าไปเก็บไว้ในตลับหยก โยนใส่ถุงเก็บของ จากนั้นถึงได้ถือหน้ากากกลับไปที่ถ้ำสถิต เริ่มศึกษาอย่างละเอียด

การศึกษาครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งเดือน

หนึ่งเดือนมานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนลืมกินลืมนอน เวลาทั้งหมดล้วนใช้นำมาศึกษาหน้ากากชิ้นนี้ ทดลองด้วยวิธีมากมาย หน้ากากนี้ก็ไม่เสียหายเลยแม้แต่น้อย เขายังถึงขึ้นเอามุมหนึ่งของหน้ากากจุ่มลงไปในแม่น้ำทงเทียน สัมผัสได้ว่าถึงแม้น้ำของแม่น้ำจะหลอมรวมเข้าไปในหน้ากาก ทำลายวิญญาณทั้งหมดที่ซุกซ่อนอยู่ด้านในได้ ทว่าตัวของหน้ากากเองกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่นิด ป๋ายเสี่ยวฉุนยังนึกขึ้นมาได้ว่าด้วยตบะรวมลมปราณของเย่จั้งตัวปลอม เมื่อตายไปแล้ววิญญาณจะคงอยู่ไม่สลายไปได้อย่างไร แต่พอคิดดูแล้วก็คงเป็นเพราะความมหัศจรรย์ของหน้ากากนี้ที่สามารถช่วยเก็บรักษาวิญญาณของผู้ที่สวมใส่ไม่ให้สลายไปได้

และเขาก็ยังถึงขั้นลงเขาไปซื้อสัตว์มาบางส่วน เอาหน้ากากนี้สวมลงไปบนใบหน้าของสัตว์ ขณะที่เขาทำการสังเกตก็เห็นว่าหน้ากากหายวับไปทันที ใบหน้าของสัตว์กลายมาเป็นใบหน้าของเย่จั้ง

มองดูแล้วน่ากลัวอย่างมาก แต่ภายใต้การสังเกตการณ์ของป๋ายเสี่ยวฉุน สัตว์เล็กสัตว์น้อยเหล่านั้นกลับไม่มีร่องรอยบาดเจ็บเลยแม้แต่นิด อีกทั้งยังมองไม่ออกด้วยว่าถูกเปลี่ยนแปลงมาก่อน ดั่งว่ารูปร่างดั้งเดิมของมันก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว

พอถอดหน้ากากออกพวกมันก็กลับมาเป็นปกติ ป๋ายเสี่ยวฉุนเลี้ยงสัตว์เล็กสัตว์น้อยเหล่านี้เอาไว้ หลังจากทดลองอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็แน่ใจว่าเมื่อสวมหน้ากากจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย แล้วก็ไม่ทิ้งภัยแฝงเอาไว้ด้วย แต่เขาก็ยังไม่วางใจ จึงยิ่งสังเกตสัตว์เหล่านั้นละเอียดยิบถึงขีดสุด

สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่อยากเชื่อว่าสำนักลึกลับนั่นจะยอมมอบให้กับสายลับธรรมดาคนหนึ่งง่ายๆ

โดยเฉพาะตอนสุดท้าย ป๋ายเสี่ยวฉุนใช้เนตรทงเทียนของตัวเองช่วยในการศึกษาติดต่อกันหลายครั้ง บวกกับปราณวิถีฟ้าของตัวเอง ในที่สุดเขาก็เริ่มสัมผัสได้เลือนรางว่าปราณที่ทำให้เขาตกใจนั้น ให้ความรู้สึกอันเป็นนิจนิรันดร์บางอย่างกับเขา

คล้ายว่า ปราณนี้ ดำรงอยู่เป็นนิจนิรันดร์!

ทั้งหมดนี้ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของป๋ายเสี่ยวฉุนเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ขณะเดียวกันเขาก็ใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที ในสมองมีการคาดเดาอาจหาญอย่างหนึ่งลอยขึ้นมา

“บางที ประโยชน์ที่แท้จริงของหน้ากากอันนี้ ไม่ใช่อำพรางตบะและเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ แต่เป็น…วัตถุยืนยันในการเปิดประตูบานนั้น ยา หน้ากาก ล้วนขาดไม่ได้!

สำนักลึกลับนั่น พวกเขาจำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ว่าพวกเขาพยายามอย่างมากในการเปิดประตูบานนั้นเพื่อปลดปล่อยวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญที่อยู่ด้านใน ทว่าในความเป็นจริงแล้ว สำนักลึกลับไม่ได้เต็มใจที่จะทำเช่นนี้…

ดังนั้น ถึงแม้พวกเขาจะเอาหน้ากากออกมาใช้ แม้จะจัดวางตัวสายลับ มอบวัตถุดิบในการหลอมยาให้ แต่กลับขาดวัตถุดิบอย่างหนึ่ง มองดูเหมือนพยายามแล้ว แต่ความจริงสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงแค่ฉากนอกเท่านั้น จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้สนใจจึงทำอย่างขอไปที ถึงได้ไม่พอใจเมื่อพอเห็นเย่จั้งตัวปลอมเลื่อนเป็นศิษย์ฝ่ายในได้อย่างราบรื่น หรือแม้แต่การที่เย่จั้งกับวิชาฝึกไม่สอดคล้องกัน ตบะเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้า ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับสาเหตุนี้ก็เป็นได้!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งคิดไม่ตก เพราะสิ่งที่ขาดสำหรับหลอมยาเปิดประตูก็คือเลือดกำเนิดสัตว์ อันที่จริงมันก็คือเลือดสดของสัตว์ที่เกิดจากเมล็ดพันธ์กำเนิดสัตว์ วัตถุดิบนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีอยู่ สำหรับคนอื่นจึงยากจะหาเจอได้ ทว่าสำหรับป๋ายเสี่ยวฉุน…เถี่ยตั้นก็คือกำเนิดสัตว์…

สามารถพูดได้ว่า ตอนนี้เขามีทุกอย่างครบตามเงื่อนไขของการหลอมยา ขอเพียงหลอมยาได้สำเร็จ เขาก็จะมีคุณสมบัติทั้งหมดในการเปิดประตู

เนิ่นนาน ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เก็บหน้ากาก

“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องพวกนี้เลย ลองดูก่อนสิว่าจะสามารถหลอมยาเปิดประตูได้สำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จ นั่นก็คือบัญชาจากสวรรค์ หากหลอมไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องไปคิดถึงอีกแล้ว” ป๋ายเสี่ยวฉุนกัดฟัน ออกไปที่ชายฝั่งทิศเหนือ เจอเถี่ยตั้นที่กำลังเที่ยวเล่นอย่างมีความสุข ปลอบโยนอยู่พักหนึ่ง ท่ามกลางความกล้ำกลืนของเถี่ยตั้น ป๋ายเสี่ยวฉุนแข็งใจดึงเอาเลือดออกมาหนึ่งหยด จากนั้นก็รีบป้อนยาจำนวนมากให้เถี่ยตั้น

แล้วจึงกลับมายังถ้ำสถิต เริ่มหลอมยา

สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนที่ชำนาญการหลอมยาวิเศษขั้นที่สามแล้ว การหลอมยาเปิดประตูจึงถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่หลายวันมานี้เขาก็ยังศึกษาตำรับยาอย่างละเอียดจนแน่ใจแล้วว่าการหลอมยาเม็ดนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่หลอม อัตราความสำเร็จมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

นอกเหนือจากหน้ากากชิ้นนั้น ตำรับยาแปลกประหลาดเช่นนี้ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งสนใจวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญเพิ่มมากขึ้น

เวลานี้ป๋ายเสี่ยวฉุนรวบรวมสมาธิ เริ่มหลอมยาตามตำรับยา วัตถุดิบเหล่านั้นล้วนอยู่ในถุงเก็บของของเย่จั้งตัวปลอมทั้งหมด ลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตส่วนใหญ่ต่างก็เป็นเช่นนี้ ยกเว้นวัตถุที่ช่วยให้มีชีวิตรอดแล้ว มิเช่นนั้น สิ่งของอื่นๆ ล้วนไม่วางใจเก็บไว้ที่ใด นอกจากเก็บไว้กับตัวเท่านั้นถึงจะมั่นคงที่สุด

การหลอมยาครั้งนี้ใช้เวลาสามวัน สามวันต่อมา ในถ้ำสถิตของป๋ายเสี่ยวฉุน เตาหลอมยาสั่นสะเทือน ควันสีขาวระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา ด้านในกลุ่มควันนั้นยังมีอักขระเก้าตัวเปล่งแสงระยิบระยับด้วย เมื่อมันหายไป ปราณเช่นเดียวกับที่มีในหน้ากากก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากในเตาหลอมยา

ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เมื่อเปิดเตาหลอมยาออกจึงมองเห็นว่าด้านใน มียาเกือบโปร่งแสงเม็ดหนึ่ง…ซึ่งเขาจำเป็นต้องโคจรปราณวิถีฟ้าของมหาสมุทรวิญญาณเก้าชั้นในร่างกาย…ถึงจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน!

“เป็นประเภทเดียวกับหน้ากากจริงเสียด้วย…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบยาขึ้นมา เริ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด

“หรือว่านี่คือบัญชาจากสวรรค์ ไม่ได้นะ สำนักธาราโลหิตอันตรายขนาดนั้น…”

“สำนักธาราโลหิตมีแต่พวกปีศาจ ฆ่าคนตาไม่กะพริบ โหดร้ายทารุณ…”

“ซ่งเชวียก็อยู่สำนักธาราโลหิต ไอ้หมอนี่เกลียดข้าเข้ากระดูกดำ”

“ระหว่างลูกศิษย์สำนักธาราโลหิตด้วยกัน ถือหลักปลาใหญ่กินปลาเล็ก…” ในสมองของป๋ายเสี่ยวฉุนพลันมีความเข้าใจทั้งหมดที่เขามีต่อสำนักธาราโลหิตลอยขึ้นมา รู้สึกเสียวสันหวังวาบ แต่พอความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ในสมองเขาก็ดันมีความกระหายใคร่ต่อนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญลอยขึ้นมาอีก…ในสมองคล้ายมีคนตัวเล็กๆ สองคน กำลังทะเลาะกันไปมา

คนหนึ่งบอกเขาว่าอย่าไป อีกคนบอกให้เขาไป…

แค่สวมหน้ากากก็จะกลายร่างเป็นเย่จั้ง เพราะหน้ากากนี้แข็งแกร่ง แม้แต่บุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิตก็ยังมองไม่ออก แม้จะทำได้แค่กลายเป็นเย่จั้ง ทว่าความปลอดภัยจากตัวตนนี้ก็ถือว่าไม่มีปัญหา

อีกทั้งเขาก็หลอมยาที่ใช้เปิดประตูสำเร็จแล้วด้วย ซึ่งเวลานี้กำลังวางอยู่ด้านหน้าเขา ขอแค่เข้าไปในสถานที่ที่ซุกซ่อนวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญได้สำเร็จ ก็สามารถเอาวัตถุนิจนิรันดร์ไม่ดับสูญมาได้ หลังจากได้ศึกษามันก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้ความฝันของเขาไปอีกก้าว

ทว่าทุกอย่างนี้ เขาจำเป็นต้องแบกรับและเผชิญหน้ากับความโหดร้าย รวมไปถึงระบบของสำนักธาราโลหิตที่แตกต่างไปจากสำนักธาราเทพอย่างสิ้นเชิง

“จะทำยังไงดี…” ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าบูดบึ้ง ถือยาไว้ในมือนั่งเหม่อ

———————————————————

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!