Skip to content

A Will Eternal 186

บทที่ 186 สถานที่วิเศษในการบำเพ็ญตบะ!

ป๋ายเสี่ยวฉุนถอนหายใจ เห็นใจเย่จั้งไม่น้อย ขณะเดียวกันก็นับถือความสามารถในการปรับตัวจะยืดจะหดของเย่จั้งมากด้วย

“มิน่าล่ะถึงเป็นสายลับได้ เจ้าเย่จั้งผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนี่นา” พอป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวคนเมื่อครู่ก็อดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

ไม่นานเขาก็มาถึงถ้ำของเย่จั้ง มองถ้ำเรียบง่ายที่ตั้งเรียงอยู่กับถ้ำของลูกศิษย์ฝ่ายในกลุ่มหนึ่ง ป๋ายเสี่ยวฉุนก็สัมผัสได้ถึงความน่ารันทดของเย่จั้งในสำนัก

ถ้ำแห่งนี้ใหญ่แค่เพียงส่วนเดียวของถ้ำป๋ายเสี่ยวฉุนที่สำนักธาราเทพ อย่าพูดถึงทะเลสาบและห้องหลอมยาเลย แม้แต่ลานถ้ำก็ยังไม่มี…เป็นเพียงแค่ห้องหินหนึ่งห้อง ด้านในนอกจากเตียงหนึ่งหลัง ก็มีเพียงเบาะที่ใช้สำหรับปูนั่งสมาธิ ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว

“จะอยู่เข้าไปได้ยังไง ข้นแค้นอะไรขนาดนี้” ป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายหัว นั่งลงบนเบาะ ยามนี้ด้านนอกเริ่มมืดลงแล้ว เมื่อถึงเวลานี้เขาเซียงอวิ๋นของสำนักธาราเทพจะค่อยๆ ตกอยู่ในความเงียบสงบ จนกระทั่งฟ้ามืดสนิท ลูกศิษย์ทุกคนก็เข้าสู่การพักผ่อน

ทว่าสำนักธาราโลหิตกลับต่างออกไป เมื่อความมืดมาเยือน ป๋ายเสี่ยวฉุนได้ยินเสียงคำรามแหบแห้งเศร้าสลดราวกับว่ามีลูกศิษย์ส่วนหนึ่งฉวยโอกาสเมื่อฟ้ามืดตรงเข้าห้ำหั่นผู้อื่น

แม้ว่าตามกฎของสำนัก ระหว่างลูกศิษย์ด้วยกันห้ามให้มีการตายเกิดขึ้น ทว่าก็แค่ไม่มีคนตายเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคืนจึงเป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดของสำนักธาราโลหิต

นี่เป็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างไปจากสำนักธาราเทพอย่างสิ้นเชิง ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนปรับตัวไม่ได้เป็นอย่างมาก ยามนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่สนใจเรื่องภายนอก ทว่าวางกับดักอย่างง่ายๆ อยู่ตรงหน้าปากถ้ำ จากนั้นถึงได้นั่งสมาธิใหม่ เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องในอนาคต

ระหว่างทางที่มาสำนักธาราโลหิต ป๋ายเสี่ยวฉุนสรุปเรื่องที่เย่จั้งเล่าให้ฟัง รู้ว่าวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญนั้นซ่อนอยู่กลางยอดเขาทั้งห้า กลางในที่นี้จึงหมายถึงยอดเขาจงเฟิง

อีกทั้งยังอยู่ด้านล่างถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่แห่งยอดเขาจงเฟิงด้วย…ซึ่งนั่นคือพื้นที่นิ้วส่วนบน สำหรับลูกศิษย์ฝ่ายในแล้ว ถือว่าอยู่ห่างหลายชั้น ยากที่จะไปถึงที่นั่นได้ เพราะยอดเขาทั้งสี่ไม่ยอมรับลูกศิษย์ฝ่ายใน มีเพียงสร้างฐานรากเท่านั้นถึงจะอาศัยอยู่ได้

ส่วนลูกศิษย์ฝ่ายในล้วนอาศัยอยู่บริเวณหลังมืออย่างที่พักของเย่จั้งในตอนนี้

สำหรับนิ้วส่วนบนของยอดเขาทั้งสี่ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสทั่วไปและผู้พิทักษ์ หากไม่ได้ถูกเรียกตัวก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าไปได้เช่นกัน

นี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เย่จั้งยังไม่ได้มันมาครอง และก็เป็นเป้าหมายที่เขาต้องการสร้างฐานราก เพราะมีเพียงสร้างฐานรากแล้วเท่านั้นถึงจะเลือกยอดเขาทั้งสี่ได้

“สร้างฐานรากคือก้าวแรก เลือกยอดเขาจงเฟิง กลายเป็นผู้พิทักษ์คือก้าวที่สอง น่าเสียดายที่อยู่ในสำนักธาราโลหิต ข้าเป็นได้เพียงสร้างฐานรากวิถีมนุษย์เท่านั้น ไม่สามารถเผยสร้างฐานรากวิถีดินของตัวเองออกมาได้ มิฉะนั้นก็ได้เป็นผู้อาวุโสไปแล้ว”

“หลังจากกลายเป็นผู้พิทักษ์ เป้าหมายสุดท้าย…ก็คือกลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของยอดเขาจงเฟิง นี่คือก้าวที่สาม และก็เป็นก้าวสุดท้าย มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นถึงจะเอาวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญซึ่งซ่อนอยู่ใต้ถ้ำของผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงมาได้” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก เป้าหมายนี้ยิ่งใหญ่มาก จำเป็นต้องใช้เวลา จะเปลี่ยนจากลูกศิษย์ฝ่ายในธรรมดาคนหนึ่งมาเป็นผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงได้ เส้นทางนี้สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว แม้ว่าจะยาวนาน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หลังจากตั้งเป้าหมายเรียบร้อย ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดดวงตาทั้งคู่ลง เริ่มบำเพ็ญตบะ ไม่ได้ฝึกคาถาลมปราณม่วงทงเทียน แต่ฝึกบทเนื้อคงกระพันของวิชาอมตะมิวางวาย

เขาอยากจะลองดูว่าเมื่อฝึกที่นี่จะแตกต่างไปจากตอนฝึกที่สำนักธาราเทพหรือไม่

และชั่วขณะที่เนื้อคงกระพันในร่างเขาเริ่มแผ่ขยายออกมา ทันใดนั้นร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็พลันสั่นเยือก เขาพบว่าตอนอยู่สำนักธาราเทพ เวลาที่ตนฝึกวิชาเนื้อคงกระพัน พลังชีวิตในร่างกายถูกเผาผลาญไปอย่างน่ากลัว หากไม่มีของวิเศษ รวมไปถึงยาจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว เขาก็ไม่มีทางประคับประคองตัวได้เลย

ทว่าเมื่ออยู่ที่นี่ หลังจากที่เขาเริ่มบำเพ็ญตบะ บนพื้นดินด้านล่างมีกระไอเลือดลอยขึ้นมาเป็นระลอก พอมุดเข้าไปตามร่างกายของเขาแล้ว มันได้เข้าไปแทนที่พลังชีวิต ทำให้เนื้อคงกระพันไม่เพียงแต่โคจรได้เร็วขึ้น การเผาผลาญก็ยังถูกแทนที่ด้วยกระไอเลือดนี้ด้วย

หลังจากโคจรครบหนึ่งรอบ เนื้อตลอดร่างของเขาก็สั่นระริก ทั้งยังมีความรู้สึกแข็งแกร่งระลอกหนึ่งลอยออกมา และเขายังสัมผัสได้อย่างชัดเจนด้วยว่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย

ดวงตาของป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกโพลง เผยความดีใจอย่างบ้าคลั่ง หายใจถี่กระชั้นด้วยความตื่นเต้น

“สำหรับข้าแล้วที่นี่ถือเป็นสถานที่วิเศษแท้ๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสัมผัสพื้นดิน ราวกับสัมผัสได้ถึงผิวหนังคงกระพันของมือยักษ์ข้างนี้ ความตื่นเต้นในใจของเขายิ่งรุนแรง

“วิชาอมตะมิวางวายไม่ธรรมดาจริงเสียด้วย คนร่างยักษ์คนนี้คงยังฝึกไม่ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นถึงได้สิ้นชีพ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลายปีต่อมากล้ามเนื้อของเขาก็ยังไม่เน่าเปื่อย ทั้งยังได้กลายมาเป็นภูเขาที่ตั้งของสำนักหนึ่งด้วย

เห็นได้ชัดว่าวิชาอมตะมิวางวายไม่ธรรมดาจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสูดลมหายใจเข้าลึก ฝึกบำเพ็ญตบะต่อ

เวลาผันผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปแล้วสี่วัน สี่วันมานี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปข้างนอกตอนกลางวัน ทำความคุ้นเคยกับสำนักธาราโลหิต ขณะเดียวกันก็ได้สื่อสารกับเย่จั้งตัวปลอม ค่อยๆ จดจำลูกศิษย์ฝ่ายในส่วนใหญ่ที่เจอเอาไว้ด้วย

เขายังขนาดฝึกการวางสีหน้าเป็นพิเศษ รักษาท่าทางโหดเหี้ยมเอาไว้ตลอดเวลา ตลอดทั้งร่างมีกระไอดุร้ายลอยออกมาเป็นระลอก บางทีอาจมีพรสวรรค์ในด้านนี้ เพราะใช้เวลาไม่นานเขาก็ปรับตัวได้อย่างกลมกลืน โดยเฉพาะเสียงหัวเราะที่เขาตั้งใจเปลี่ยนโดยเฉพาะ เวลาหัวเราะออกมาจึงฟังแล้วเย็นเยียบเข้าถึงกระดูก

แต่ตัวตนของป๋ายเสี่ยวฉุนในตอนนี้คือจุดสูงสุดของลูกศิษย์ฝ่ายใน ห่างจากสร้างฐานรากแค่เพียงก้าวเดียว ต่อให้คนอื่นจะมองว่าอย่างมากก็เป็นได้แค่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์เท่านั้น ทว่าลูกศิษย์ฝ่ายในคนอื่นก็ไม่คิดเข้ามาหาเรื่อง

หลายวันมานี้เขาจึงอยู่อย่างสงบสุข วันนี้ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฝึกเนื้อคงกระพันอยู่ในถ้ำ ทันใดนั้นสีหน้าพลันกระตุก ตอนที่เงยหน้าขึ้นสีหน้าของเขาฉายความเย็นชาออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาดุร้ายมองไปยังหน้าประตูถ้ำ

ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงดังลอดเข้ามา

“ศิษย์น้องเย่ ข้าจ้าวอู๋ฉาง โปรดออกมาพบกันหน่อย”

ป๋ายเสี่ยวฉุนถามเย่จั้งตัวปลอมทันที รู้ว่าจ้าวอู๋ฉางผู้นี้ก็ไปที่โลกกระบี่อุกกาบาตเช่นกัน จากนั้นเขาถึงได้วางท่าเลือดเย็น ตอนที่เดินออกมาจากถ้ำ ตลอดทั้งร่างแผ่ไออำมหิต มองชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ห่างถ้ำของเขาหลายจั้งด้วยสายตาเย็นชา

“มีอะไร!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเอ่ยปากเนิบช้า พอจะจำจ้าวอู๋ฉางที่อยู่เบื้องหน้าได้บ้าง ตอนนั้นคนผู้นี้ร่วมมือกับลูกศิษย์คนอื่นของสำนักธาราโลหิต พยายามจะโอบล้อมโจมตีตน แต่กลับตกใจวิธีการสังหารของตนจึงเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวอู๋ฉางสีหน้าซีดขาว ทว่าในดวงตากลับซุกซ่อนความโหดเหี้ยมเอาไว้ ขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้นเขาดูคล้ายหมาป่าดุร้ายที่อาจจะพุ่งเข้าเขมือบคนเมื่อใดก็ได้ พริบตาที่ป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกมา สายตาเขากวาดลงไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะศิษย์น้องเย่” จ้าวอู๋ฉางยิ้มเสแสร้ง เมื่อถอนสายตากลับก็เอ่ยปากเนิบช้า

“ก็ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรหรอก เพียงแต่ว่าผู้พ่ายแพ้จากโลกกระบี่อุกกาบาตอย่างเราจะมาประชุมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ปรึกษาว่าจะสร้างฐานรากวิถีมนุษย์เช่นไร ในเมื่อศิษย์น้องเย่กลับมาแล้ว ข้าผู้แซ่จ้าวใคร่ครวญดูก็คิดว่าควรมาเรียกเจ้าสักหน่อย” ในใจของจ้าวอู๋ฉางเองก็ทอดถอนใจเช่นกัน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผู้พ่ายแพ้อย่างพวกเขามีชีวิตอยู่กันอย่างยากลำบาก ตำแหน่งในสำนักไม่สูงไม่ต่ำ อยู่ระหว่างสร้างฐานรากกับศิษย์ฝ่ายใน ตอนนี้ไม่มีวาสนาได้สร้างฐานรากวิถีดินแล้ว จึงทำได้เพียงเลือกสร้างฐานรากวิถีมนุษย์

ทว่าโอสถสร้างฐานรากที่จำเป็นต้องใช้สำหรับสร้างฐานรากวิถีมนุษย์ สำหรับสำนักธาราโลหิตแล้ว คิดจะเอามาครอบครอง จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนอันโหดร้าย ตอนนี้ผู้พ่ายแพ้อย่างพวกเขาได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรกัน จ้าวอู๋ฉางคิดไปคิดมา ได้ยินว่าเย่จั้งกลับมาแล้วจึงชักชวนอีกฝ่ายให้ไปด้วยกัน หากพวกเขามีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ถือเป็นเรื่องดี

“โอ๊ะ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อยก็พยักหน้า ทำความรู้จักกับคนพวกนี้ ได้ข้อมูลมาก็มีประโยชน์กับเขาเช่นกัน

มองเห็นว่าป๋ายเสี่ยวฉุนตกลง จ้าวอู๋ฉางจึงยิ้มออกมา พาป๋ายเสี่ยวฉุนเดินออกไปบนภูเขา ตรงไปยังสถานที่ชุมนุม ตลอดทางเขาสังเกตป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่หลายครั้ง รู้สึกว่าเย่จั้งที่อยู่ตรงหน้าดูแตกต่างไปจากในความทรงจำ เหมือนว่าไอดุร้ายยิ่งเข้มข้นขึ้น อีกทั้งความเลือดเย็นในดวงตาก็มีเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

“ดูท่าในโลกกระบี่อุกกาบาต แม้ว่าเย่จั้งจะไม่สามามารถสร้างฐานรากวิถีดินได้สำเร็จ ทว่าเขาสามารถรอดชีวิตจากน้ำมือของป๋ายเสี่ยวฉุนได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” จ้าวอู๋ฉางครุ่นคิด ดังนั้นจึงเต็มใจพูดกับอีกฝ่ายมากขึ้นอีกนิด ทั้งสองคนรักษาระยะห่างระหว่างกัน สนทนาด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้าย

ขณะที่ห่างจากสถานที่ชุมนุมออกไปอีกประมาณเกือบครึ่งทาง ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าผ่าดังเลือนลั่น!

เสียงฟ้าผ่านี้ดังสะท้อนซัดออกไปเป็นทอดๆ ทั่วสี่ทิศ ทั้งยังมีไอหมอกสีเลือดเป็นกลุ่มก้อนถาโถมออกไปราวลูกคลื่นสีเลือด กลางอากาศซึ่งเดิมทีมีนักพรตสร้างฐานรากหลายคนกำลังบินผ่าน ยามนี้คนเหล่านี้หน้าเผือดสี รีบหลีกทาง สีหน้าเผยความเคารพนบนอบ

ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าขอบฟ้าที่ห่างออกไปไกล ในกลุ่มหมอกที่แผ่ซ่านออกไปทั่วด้านมีเกี้ยวโลหิตหนึ่งหลังเผยตัวออกมา เกี้ยวหลังนี้ใหญ่พอสิบจั้ง ตลอดทั้งหลังเป็นสีเลือด ทั้งยังมีวิญญาณพยาบาทเหลือคณานับลอยวนเวียนล้อมรอบ พวกมันอ้าปากคำรามไร้เสียง พลังอำนาจน่าตะลึง!

และผู้ที่ยกเกี้ยวสีเลือดขนาดสิบจั้งหลังนี้ก็คือผีร้ายท่าทางดุดันราวกับปีศาจสี่ตน ร่างกายของพวกมันสูงพอหนึ่งจั้งกว่า แผ่ไอสีดำออกมาตลอดเวลา ผิวหนังของพวกมันเป็นสีเขียว แต่ละตนล้วนมีคลื่นตบะเทียบเคียงกับสร้างฐานราก ทั้งยังแผ่ไอเย็นออกไปรอบทิศ

ขณะเดียวกัน สองฝั่งของเกี้ยวหลังนี้ ในกลุ่มไอหมอกโลหิตยังมีนางกำนัลสวมกระโปรงยาวสีเลือดเข้าแถวเรียงขนาบอีกสองแถว แต่ละคนหน้าตาหมดจดงดงาม ทว่าสีหน้ากลับไร้อารมณ์ ในมือถือโคมไฟคล้ายช่วยเปิดทาง ห้อมล้อมอยู่ข้างเกี้ยวสีเลือด ยืนเหยียบอยู่บนหมอก บินรุดไปด้านหน้า

พลังอำนาจเกรียงไกร พิศวงไม่ธรรมดา

ต่อให้เป็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังตะลึงลานไปกับภาพนี้ ความคิดแรกของเขาก็คือต้องเป็นขบวนของบุรพาจารย์แน่นอน ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียด ในเกี้ยวสีเลือดกลับเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่

หญิงสาวผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีชาด เส้นผมพลิ้วไสวไปตามสายลม มองไม่เห็นโฉมหน้า เพราะบนใบหน้าของนางสวมหน้ากากสีเลือดอันหนึ่ง และบนหน้ากากนี้ก็สลักเป็นรูป…ดอกเหมยหนึ่งดอก!

หญิงผู้นี้กำลังนั่งเท้าคาง ทอดสายตามองออกไปไกล

ดูจากตบะก็แค่สร้างฐานรากเท่านั้น ทว่าพลานุภาพสยบจากพลังวิญญาณจำนวนมากกลับแผ่ออกมาจากร่างของนางอย่างเก็บกลั้นไม่อยู่ กลายเป็นคลื่นน้ำวนหลายชั้น ทำให้หมอกเลือดซัดกลิ้งไล่หลังกันต่อเนื่อง

นี่หมายความว่า หญิงสาวผู้นี้คือสร้างฐานรากวิถีดิน!

ป๋ายเสี่ยวฉุนเบิกตากว้าง รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก ขนาดตำแหน่งของเขาในสำนักธาราเทพ เวลาเดินทางยังไม่มีการจัดขบวนเช่นนี้เลย แต่นี่แค่นักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่ง สำนักธาราโลหิตกลับจัดขบวนยิ่งใหญ่เอิกเกริกถึงเพียงนี้ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้าอยากตายหรือไง ยังไม่ก้มหน้าอีก! ระวังนายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยจะควักลูกตาเจ้า!! นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมยสร้างฐานรากวิถีดินน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งได้ที่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อี้โยว!” จ้าวอู๋ฉางที่อยู่ข้างกายป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนจ้องเขม็งไปยังเกี้ยวโลหิตกลางท้องฟ้าเช่นนั้น ในใจก็สั่นสะเทือน หากไม่เพราะต้องการให้ป๋ายเสี่ยวฉุนไปร่วมเป็นพันธมิตร เขาก็ไม่คิดจะพูดมากความ แต่ตอนนี้จำต้องกัดฟันเตือนอีกฝ่ายเสียงต่ำ

“นายหญิงน้อยเซวี่ยเหมย?!” ป๋ายเสี่ยวฉุนนึกถึงเรื่องศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของสำนักธาราโลหิตที่สวีเป่าไฉเล่าให้ฟังทันที พอก้มหน้าลงก็มองเห็นว่าลูกศิษย์ฝ่ายในจำนวนไม่น้อยรอบด้านต่างก็ทำท่าเคารพยำเกรง ไม่มีใครกล้าเงยหน้าสักคน

————-

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!