บทที่ 190 ขนเขียวพิทักษ์นาย
ป๋ายเสี่ยวฉุนเดือดปรี๊ด มองเห็นสีขนของศพที่ต่อต้านตัวเอง ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไงก็ไม่ยอมเปลี่ยนเป็นสีขาว นี่ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหงุดหงิดอย่างมาก
เขาหมุนตัวเปิดเตาหลอมยาออก ถือโอกาสหยิบเอาพืชหญ้าเกินครึ่งในถุงเก็บของออกมาผสมรวมกับพืชหญ้าของสำนักธาราโลหิต หลังจากเปลี่ยนตำรับยาก็เริ่มหลอมยาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ยามนี้ผมเผ้าของเขาสยายพันกันยุ่งเหยิง ลืมไปนานแล้วว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสำนักธาราเทพ แต่อยู่ในสำนักธาราโลหิต…ทุ่มเทกายใจทั้งหมดจมจ่อมอยู่ในห้องหลอมยา
ท่าทางบ้าคลั่ง ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ทำให้แม้แต่วิญญาณของเย่จั้งก็ยังอกสั่นขวัญหาย คล้ายได้กลับไปยังโลกกระบี่อุกกาบาตอีกครั้ง ไม่กล้ารบกวนเขาแม้แต่นิดเดียว
“ป๋ายเสี่ยวฉุนผู้นี้…เป็นบ้าไปแล้ว”
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนหลอมยาวิเศษ สวีเสี่ยวซานที่อยู่ในโรงเลี้ยงศพก็ปวดหัวเหมือนกัน เขาพบว่าครึ่งปีมานี้ระดับการอุปโภคเลือดสูตรลับที่ใช้หลอมซากศพมีมากกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” สวีเสี่ยวซานแปลกใจ เขารู้สึกปวดใจเล็กน้อย คิดจะตรวจสอบหาสาเหตุ ทว่าในโรงเลี้ยงศพแห่งนี้ ศพที่นำมาหลอมมีนับพัน เขาจึงไม่สามารถหาสาเหตุได้เจอในระยะเวลาอันสั้น ยังดีที่การอุปโภคนี้ถือว่าอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถรับได้
“ช่างเถอะๆ แม้จะใช้เยอะไปบ้าง แต่นี่ก็หมายความว่าระดับการหลอมศพของโรงเลี้ยงข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” สวีเสี่ยวซานปลอบใจตัวเอง ไม่ได้สนใจอีก
หนึ่งเดือนต่อมา ในถ้ำเก็บศพ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นเตาหลอมยาด้านหน้าแล้วจึงเปล่งเสียงหัวเราะน่าขนลุก เพื่อหลอมธูปหอมเตานี้ เขาถึงขนาดเอาเลือดของตัวเองใส่ลงไปด้วย คาดหวังให้เลือดของเขาเป็นตัวล่อกระไอเลือดจากมือใหญ่ของสำนักธาราโลหิต ทำให้ยานี้มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกตะลึง!
เวลานี้เขายกมือขวาขึ้นตบลงไปแรงๆ หนึ่งครั้ง เสียงตูมดังเลือนลั่น หลังจากเตาหลอมเปิดออก ควันเข้มข้นกลิ่นแสบจมูกพลันพวยพุ่งขึ้นมา หลังจากป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดแขนเสื้อปัดออกหนึ่งครั้ง ดวงตาที่แดงฉานของเขาก็จ้องไปยังธูปหอมสีขาวขนาดเท่าเล็บมือก้อนหนึ่งที่อยู่ในเตาหลอม เงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“ครั้งนี้ต้องเป็นสีขาวได้แน่นอน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิม แคะธูปหอมขนาดเท่าเล็บมือก้อนนี้ออกมาอย่างระมัดระวัง พอหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ เขารู้ดี อย่าเห็นว่าธูปหอมก้อนเล็กกระจิดริดเพียงเท่านี้ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันอัดแน่นไปด้วยตัวยาที่ผ่านการหลอมมาอย่างเข้มข้น
ประสิทธิผลของก้อนเล็กๆ เพียงเท่านี้ ต่อให้เอาธูปหอมทั้งหมดก่อนหน้านั้นมารวมกันก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบได้
“ศพขนขาวของข้า จงปรากฏกายออกมา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนคำรามเสียงทุ้มด้วยความภาคภูมิใจ มือขวายกขึ้นโบกสะบัดหนึ่งครั้ง ธูปหอมขนาดเท่าเล็บมือสีขาวก้อนนี้ก็ลอยดิ่งเข้าหาศพทันที มันลอดทะลุขนแต่ละชั้นไปตกลงบนหว่างคิ้วของศพ จากนั้นก็เผาไหม้อย่างรวดเร็ว เสียงตูมดังหนึ่งครั้งพลันระเบิดออกมาเป็นควันสีขาวหนาแน่น
หมอกควันนี้ลอยขโมงไปรอบด้านในชั่วพริบตา ป๋ายเสี่ยวฉุนถอยหลังกรูด จนกระทั่งถอยมาถึงประตูทางออก ควันขาวถึงได้หยุดกระจายตัว เข้มข้นเกินจะเปรียบ มองไม่เห็นสิ่งที่ถูกปกคลุมอยู่ด้านใน ได้ยินแค่เพียงเสียงคำรามของศพซึ่งน่าหวาดหวั่นเกินบรรยายดังลอยมาเป็นพักๆ
เสียงคำรามนี้ยังแฝงไว้ด้วยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง…
ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งดีใจ รอคอยด้วยความกระวนกระวาย เวลาเดียวกันนั้น สวีเสี่ยวซานที่อยู่ในโรงเลี้ยงศพก็กำลังยืนปวดหัวอยู่หน้าผู้เฒ่าคนหนึ่ง
ผู้เฒ่าคนนั้นสวมชุดคลุมยาวสีเทาตัวใหญ่ บนชุดปักลายภูเขาหนึ่งลูก เมื่อมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่านั่นเป็นลายของภูเขาซือเฟิง ตรงตำแหน่งแขนเสื้อมีกะโหลกศพหน้าตาดุร้ายมากมาย สะบัดปลายแขนเสื้อเมื่อใด กะโหลกศพเหล่านั้นก็ราวกับมีชีวิตจริง มองดูแล้วน่าครั่นคร้าม
เส้นผมสีเทาของผู้เฒ่าปลิวสยาย ร่างตั้งตรง ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย ทว่าพลังชีวิตบนร่างของเขากลับโชติช่วง ราวกับว่าลักษณะภายนอกของเขาทำให้มองอายุที่แท้จริงไม่ออก
และตบะของเขาถึงแม้จะไม่ใช่ยาอายุวัฒนะ ทว่าก็เป็นจุดสูงสุดของสร้างฐานราก เข้าสู่ขอบเขตของโอสถเทียมแล้ว ห่างจากขั้นรวมโอสถอีกแค่นิดเดียว เวลานี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองสวีเสี่ยวซานด้วยดวงตาเย็นชา
“ผู้อาวุโสใหญ่ เวลายังไม่ถึงกำหนดเลยนะขอรับ ผู้อาวุโสใหญ่โปรดวางใจ ในเมื่อข้าสวีเสี่ยวซานรับดูแลโรงเลี้ยงศพแห่งนี้ตลอดหนึ่งปี จะไม่มีหินวิเศษมาจ่ายได้อย่างไร อีกสามเดือน พอหลอมศพชุดแรกสำเร็จเมื่อไหร่ ถึงเวลานั้นทั้งต้นทั้งดอกจะมอบให้ท่านหมดเลย!” สวีเสี่ยวซานกระแอมหนึ่งครั้ง พูดเร็วปร๋อ เขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าวันนี้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งเขาซือเฟิงจะมาเยือนด้วยตัวเอง ถามปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายของโรงเลี้ยงศพภายในหนึ่งปีนี้
“ผู้อาวุโสสวี หวังว่าถึงเวลานั้นเจ้าจะทำอย่างที่พูดได้จริง มิฉะนั้น ต่อให้เจ้าจะมีบุรพาจารย์หนุนหลัง ข้าก็ต้องเอาเรื่องเจ้าให้ได้!” ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงเอ่ยปากเนิบช้า ลุกขึ้นเตรียมจะจากไป
แต่ทันใดนั้น ประตูใหญ่นอกที่พักกลับถูกคนผลักเข้ามา ชายหนุ่มสีหน้าลนลานแฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“บังอาจ!” สวีเสี่ยวซานสีหน้ามืดคล้ำ กว่าเขาจะเอาตัวรอดจากผู้อาวุโสใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกฝ่ายกำลังจะจากไปอยู่แล้ว แต่เจ้าขี้ข้าไม่ดูตาม้าตาเรือดันบุกเข้ามาในเวลานี้เสียได้
“นายน้อย แย่แล้วขอรับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!”
“เลือดสูตรลับในการหลอมศพ…อยู่ๆ ก็หายไปถึงสามส่วนของจำนวนรวม!!” ชายหนุ่มใกล้จะร้องไห้เต็มที สีหน้าซีดขาว เขารับผิดชอบบันทึกเลือดสูตรลับที่ใช้เลี้ยงศพ เมื่อครู่เห็นว่ามันหายไปเยอะขนาดนั้นจึงตื่นตะลึง ตอนนี้พูดจบถึงได้เห็นว่าด้านในนอกจากนายน้อยสวีแล้ว ยังมีผู้เฒ่าอีกหนึ่งคน เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้เฒ่าคนนี้อยู่ไม่น้อย พอหันไปมองอีกครั้งหัวสมองก็พลันเกิดเสียงระเบิดตูม
“ผู้…ผู้อาวุโสใหญ่…”
สวีเสี่ยวซานพอได้ยินประโยคนั้นก็คล้ายหนังศีรษะจะระเบิดออก
“หายไปสามส่วน!!” เขาดวงตาแดงก่ำ พุ่งตัวออกไปทันทีทันใด ตรงดิ่งไปยังแท่นรวมเลือดสูตรลับที่เอาไว้ใช้ในโรงเลี้ยงศพ ผู้อาวุโสใหญ่เองก็มีสีหน้าแปลกใจเช่นกัน แม้เลือดสูตรลับที่ใช้เลี้ยงศพจะเป็นสิ่งสำคัญในการหลอมศพ แต่มันจะค่อยๆ ลดลงอย่างเชื่องช้า นอกเสียจากกระบวนการที่สำคัญบางอย่างแล้วก็ไม่มีทางสูญหายไปได้เยอะมากนัก
“ลดลงไปสามส่วน?” ผู้อาวุโสใหญ่ขยับร่างเดินตามออกไป
ไม่นานสวีเสี่ยวซานก็มาถึงแท่นรวมเลือดสูตรลับ สถานที่แห่งนี้คือบ่อเลือดขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง มีทางไหลออกนับพันทางเพื่อส่งตรงไปยังถ้ำเก็บศพนับพันที่อยู่ในโรงแห่งนี้ เขาเพิ่งจะมาถึง ลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็หน้าเผือดสี รีบเอ่ยคารวะทันที
ทว่าสวีเสี่ยวซานไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว เขายืนอึ้งอยู่หน้าบ่อน้ำขนาดใหญ่แห่งนั้น จำได้ว่าเมื่อวานเลือดในนี้ยังมีเหลือเกินครึ่ง แต่ตอนนี้ กลับหายไปถึงครึ่งหนึ่ง…
“จะเป็นไปได้อย่างไร!!” เขาสั่นไปทั้งร่าง เจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ เลือดสูตรลับเหล่านั้นเขาล้วนจ่ายเงินเพื่อซื้อมันมาทั้งสิ้น ตอนนี้รู้สึกเพียงว่าตัวเองหน้ามืด ขณะที่คำรามอย่างแค้นเคือง เขาก็มองเห็นว่าเลือดสูตรลับในบ่อน้ำลดหายไปอีกครั้งหนึ่ง พริบตาเดียวก็เห็นแค่ก้นบ่อที่ว่างเปล่า…
เลือดสูตรลับทั้งหมดล้วนพุ่งกรากไปยังเส้นทางเดียวกัน…
“ทางเส้นนั้น…สมควรตายเอ๊ย เจ้าเย่จั้ง!!” ไอดุร้ายของสวีเสี่ยวซานตลบอบอวลไปทั่วร่าง คำรามอย่างบ้าคลั่งหนึ่งครั้งก็บินทะยานออกไปจากแท่นรวมเลือดลับ ตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่ป๋ายเสี่ยวฉุนอยู่พร้อมความคิดอยากฆ่าคน
เวลาเดียวกันนั้น ในถ้ำเก็บศพ ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นว่าควันขาวบางเบาลงไปอย่างรวดเร็ว ในใจก็ยินดีอย่างบ้าคลั่ง กำลังจะพุ่งถลาไปด้านหน้า แต่ก็ต้องหน้าถอดสีทันควัน เบิกตาโพลง เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อและตะลึงพรึงเพริด
“นี่มันอะไรกัน!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสำลักลมหายใจ เขาขยี้ตา ทอดสายตามองไปอย่างเหลือเชื่อ ในกลุ่มควันขาวที่บางเบาลง มีเส้นไหมสีเขียวหลากหลายเส้นปรากฏขึ้นมา เส้นไหมเหล่านี้มีมากอย่างถึงที่สุด พวกมันบิดงอต่อเนื่อง แผ่ขยายลอยออกมาด้านนอก
และเมื่อชนเข้ากับกำแพง ก็ยังลอดทะลวงเข้าไปข้างในโดยตรงด้วย…
ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกเพียงว่าหนังหัวชาดิก ดวงตาที่สามซึ่งอยู่ใต้หน้ากากบัดนี้เบิกโพลง สายตามองทะลุผ่านไอหมอกและเส้นไหมเบื้องหน้าไปเห็นจุดลึกของถ้ำ ยามนี้บ่อน้ำหายไปแล้ว ศพก็หายไปแล้ว ที่เขามองเห็นมีเพียงขนสีเขียวมากมายที่รวมตัวกันออกมาเป็นกลุ่มเส้นไหมใหญ่ยักษ์…ยากจะพรรณนา!
เส้นไหมสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ใช้ถ้ำเก็บศพแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลาง กำลังลอดทะลุไปตามผนังสี่ด้าน ไม่รู้ว่าแผ่ขยายยาวไปที่ใด…
“พวกนี้คือ…ขนหรือ?” สมองป๋ายเสี่ยวฉุนเกิดเสียงดังอึงอล ร่างถอยหลังกรูดรวดเร็ว
ขณะเดียวกันกับที่เขาถอยหลัง ตลอดทั้งโรงเลี้ยงศพ ถ้ำเก็บศพนับพัน ลูกศิษย์หลายพันคนต่างร้องอุทานตกใจเสียงหลง
“นี่มันอะไรกัน!!”
“สวรรค์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น เส้นไหมสีเขียวพวกนี้คืออะไร!!”
“บัดซบ เส้นไหมสีเขียวพวกนี้มันเจาะเข้าไปในศพหลอมของข้าด้วย!!”
ชั่วขณะที่เสียงเหล่านี้ดังออกไป เสียงกัมปนาทน่าตกใจเสียงหนึ่งพลันดังออกมาจากในโรงเลี้ยงศพทรงกลมแห่งนี้
จากนั้นถ้ำเก็บศพจำนวนมากก็ถล่มลง และตอนที่ถ้ำถล่ม เส้นไหมสีเขียวเหลือคณานับกระจัดกระจายออกมา ศพหลอมของลูกศิษย์มากมายที่อยู่ในถ้ำแต่ละแห่งล้วนถูกเส้นไหมสีเขียวทะลุทะลวงเข้าไปในร่าง เมื่อเจาะเข้าไปแล้ว ศพหลอมธรรมดาเหล่านี้พลันตัวสั่น อีกทั้งบนร่างของพวกมันยังมีขนสีเขียวปรากฏขึ้นมาด้วย ต่อให้ศพเหล่านั้นจะมีขนสีขาวงอกออกมาแล้ว แต่หลังจากร่างของพวกมันสั่นเยือก พริบตาเดียวขนเหล่านั้นก็กลายมาเป็นสีเขียวทั้งหมด
นี่ยังไม่เท่าไหร่ ยังมีเส้นไหมสีเขียวส่วนหนึ่งลอดเข้าไปในผืนดิน เมื่อไม่สามารถเจาะลงได้ลึกเกินไปนักจึงหักเหกลับ กลายเป็นว่ามาโผล่พรวดบนพื้นดินรอบด้าน
ตอนที่สวีเสี่ยวซานมาถึง เขาก็อึ้งตะลึงไปทันที มองโรงเลี้ยงศพที่ถล่มทลายลงมา มองต้นไม้รอบด้านที่มีขนสีเขียวงอก รวมไปถึงบนก้อนหิน หอเรือน ดอกไม้ต้นหญ้า ทุกสิ่งทุกอย่างรอบด้านเวลานี้กลายมาเป็นสีเขียวหมดแล้ว
และโรงเลี้ยงศพที่ถล่มลงมาก็ยิ่งมีขนสีเขียวกระจายออกไปทั่วด้านมากกว่าที่อื่น ทำให้ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างขนพองสยองเกล้า ลูกศิษย์มากมายวิ่งพล่านหนีเอาชีวิตรอด สีหน้าแฝงไว้ด้วยความแตกตื่นและตะลึงลาน พริบตาเดียวเสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วบริเวณ ทุกคนบ้าคลั่งกันหมด
“นี่มันคืออะไรกันแน่ ศพหลอมของข้า ศพที่ข้าหลอมมาอย่างยากลำบากถึงสองปี ถูกขนสีเขียวพวกนี้มุดเข้าไปจนสีเปลี่ยนหมดแล้ว!!”
“ใครเป็นคนทำ!!” ขณะที่คนนับไม่ถ้วนคำรามเสียงแหบเสียงแห้ง ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็บินทะยานออกมาจากถ้ำของตัวเองด้วยสีหน้าแตกตื่นเช่นกัน ด้านหลังเขามีเส้นไหมสีเขียวมากมายไร้ที่สิ้นสุดระเบิดตามหลังมาตรงปากถ้ำ เห็นเด่นชัดเป็นพิเศษ
“เย่จั้ง เจ้าทำอะไรลงไปกันแน่!” สวีเสี่ยวซานโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พอมองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนก็คำรามเดือดดาลทันควัน
ได้ยินเสียงคำรามของสวีเสี่ยวซาน คนอื่นที่อยู่รอบๆ จึงหันขวับมามองป๋ายเสี่ยวฉุน
“นี่มันคืออะไร สมควรตายเอ๊ย คือใคร ฝีมือใครมันทำแบบนี้ ศพหลอมของข้า ศพที่ข้าหลอมอย่างลำบากลำบนมาครึ่งปี” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเห็นสถานการณ์รอบด้านก็รู้ว่าตัวเองสร้างเรื่องแล้ว ทั้งที่ที่อกสั่นขวัญกระเจิง แต่ก็ยังแสร้งร้องโหยหวนพิลาปรำพัน โกรธแค้นอย่างถึงที่สุด ท่าทางเช่นนั้นของเขาทำให้ทุกคนอึ้งตะลึง
“กล้าทำไขสือตบตาข้า ตายซะเถอะ!” สวีเสี่ยวซานโมโหเดือด จิตสังหารในดวงตาเปล่งวาบ เมื่อยกมือขวาขึ้นมหาสมุทรวิญญาณชีพจรดินพลันระเบิดออกกลายมาเป็นพลังน้ำขึ้นน้ำลงกระจายไปทั่วสี่ทิศ เขาชี้นิ้วไปที่ป๋ายเสี่ยวฉุน ทันใดนั้นไอดุร้ายน่าหวาดกลัว และคลื่นความตายเส้นหนึ่งพลันปะทุพุ่งเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน
ทุกคนรอบด้านไม่มีใครคิดห้ามปราม ผู้อาวุโสใหญ่ยอดเขาซือเฟิงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็แค่ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้ขัดขวาง
ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าเปลี่ยนสี เวลานี้เขาไม่สามารถเอาตบะแท้จริงออกมาใช้ได้ แต่หากไม่เอาออกมาใช้ ลำพังแค่ความสามารถของเย่จั้งที่แสดงออกมาให้คนอื่นเห็น การโจมตีนี้ย่อมดับชีพเขาอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าเวลานี้เอง คล้ายสัมผัสได้ว่าเกิดวิกฤตกับป๋ายเสี่ยวฉุน เสียงคำรามเอ็ดอึงพลันดังลอยมาจากในถ้ำเก็บศพด้านหลังเขา
หลังเสียงคำรามนั้น ตามมาด้วยเสียงคำรามแหบแห้งฟังไม่ได้ศัพท์ซึ่งดังมาจากในถ้ำเก็บศพมากมายอย่างพร้อมเพรียงกัน!
มีการเปลี่ยนแปลงประหลาดเกิดขึ้นกะทันหัน!
——