บทที่ 199 ถ้ำสถิตของเซวี่ยเหมย…
เสินซ่วนจื่อกัดฟันออกไปด้านนอก ขณะที่แลกเอายามาจากสหายร่วมสำนักก็ได้ยินเสียงทุกคนพูดคุยกัน ถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายไม่ได้จงใจลอบกัดตนเอง ทว่าความเกลียดแค้นของเขายังคงไม่คลายไป บอกกับทุกคนว่าเขาคำนวณตัวการของเรื่องทั้งหมดนี้ออกมาได้แล้ว ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นฝีมือของคนที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีอะไรถึงได้ดึงเอาปราณเลือดรอบด้านไปหมด
เสินซ่วนจื่อมีชื่อเสียงในเขาจงเฟิงแห่งนี้ ทุกคนจึงเชื่อถือคำพูดของเขาทันที พวกคนที่ได้รับผลกระทบมาตลอดสองวันจึงพากันพกพาจิตสังหารออกตามหาในตอนกลางคืน
จนกระทั่งผ่านไปอีกสองคืน คนพวกนี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสใดๆ ทว่าปราณเลือดกลับยังคงลดน้อยลงเหมือนเดิม แต่ละคนไอสังหารพุ่งทะยานเสียดฟ้า เริ่มขยายขอบเขตการค้นหาให้กว้างขึ้น และเรื่องเล่าลือก็ค่อยๆ ส่งต่อกันไปปากต่อปาก
“ได้ยินหรือยัง เขาจงเฟิงของพวกเรามีนักพรตลึกลับผู้หนึ่ง คนผู้นี้จะต้องมาดูดเอาปราณเลือดทั้งหมดในเขาจงเฟิงทุกคืน!”
“คนผู้นี้บ้าคลั่งฟั่นเฟือน สหายร่วมสำนักมากมายที่กำลังบำเพ็ญตบะต่างก็ต้องบาดเจ็บเพราะเขา ช่วงนี้เมื่อถึงกลางคืนเมื่อใดก็ไม่มีใครกล้าบำเพ็ญตบะกันแล้ว”
“ไอ้หมอนี่มันเป็นใครกันแน่ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง หากทุกคนสืบรู้กันขึ้นมา ต่อให้สำนักห้ามก็ไม่มีประโยชน์”
คำพูดเหล่านี้ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ได้ยินในตอนกลางวันเช่นกัน อกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย หยุดไปได้สองสามวัน แต่พอเห็นว่าตบะของตัวเองลดน้อยลงไปอีก เขาก็ร้อนรน ดังนั้นจึงกัดฟันออกไปข้างนอกต่อ
หลายวันต่อจากนั้นเขายิ่งระมัดระวังมากขึ้น ส่วนนักพรตสร้างฐานรากของพื้นที่ล่างนิ้วเขาจงเฟิงเหล่านั้นกลับคลุ้มคลั่งกันไปหมด นักพรตสร้างฐานรากที่สาบานว่าจะต้องตามหาเขาให้เจอยิ่งมีมากขึ้น จนป๋ายเสี่ยวฉุนต้องเข้าร่วมกลุ่มตามหาพร้อมกับทุกคนด้วยครั้งหนึ่ง เขาตะเบ็งเสียงแหลมดัง สีหน้าโกรธแค้นดุเดือดราวกับว่าตัวเองคือผู้รับเคราะห์ ทำให้ไม่มีใครสงสัยในตัวเขา
และก็เป็นอย่างนี้จนผ่านไปอีกสามวัน ตอนกลางคืนป๋ายเสี่ยวฉุนออกไปเดินเตร่ข้างนอก คิดจะฉวยโอกาสสูดปราณเลือด แต่กลับพบว่าพวกนักพรตสร้างฐานรากของยอดเขาจงเฟิงกลับพากันเคลื่อนพลเป็นจำนวนมาก ทุกคนร่วมมือกันตามหา ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนหาโอกาสลงมือไม่ได้ทั้งคืน
ป๋ายเสี่ยวฉุนคิดไปคิดมา ไม่ได้รีบร้อน รอจนผ่านไปอีกสองสามวัน นักพรตในสำนักธาราโลหิตเหล่านี้ไม่ได้สามัคคีกันแต่แรกอยู่แล้ว เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วันจึงแยกย้ายกันไป ป๋ายเสี่ยวฉุนลำพองใจทันที คลอเพลงออกไปสูดปราณเลือดด้านนอกอีกครั้ง
“หึหึ คิดจะสู้กับข้าป๋ายเสี่ยวฉุน เรื่องแบบนี้ ข้ามีประสบการณ์มากที่สุดเลยล่ะ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนเชิดคาง สะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ หนึ่งครั้ง เดินออกไปด้วยความจองหอง
คืนนี้ได้ผลพวงมากมายอีกครั้ง…อีกทั้งขณะที่เขาเผ่นหนีผ่านพื้นที่แห่งหนึ่งยังสูดเอาปราณเลือดของที่แห่งนี้ไปหลายคำโดยไม่ทันรู้ตัว เมื่อสัมผัสได้ว่าปราณเลือดที่แผ่ออกมาจากในถ้ำของที่นี่เข้มข้นกว่าพื้นที่อื่นอยู่เยอะมาก ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ตะลึงระคนดีใจขึ้นมาทันควัน ทว่ากลับไม่ได้อยู่นานนัก สูดเสร็จก็รีบหนีไปไกล
และก็เป็นเช่นนี้ คนเยอะเขาหยุด คนน้อยเขาสูด…สูดๆ หยุดๆ ไปได้ครึ่งเดือน กระบี่โลหิตของเขาก็ยิ่งเริ่มก่อตัวกันได้มากขึ้น พลังเนื้อคงกระพันในร่างกายไต่ไปถึงช้างเจ็ดตัวแล้ว
“อีกไม่นานก็จะได้ช้างสิบตัว พอเนื้อคงกระพันขั้นแรกสำเร็จ ชนาเขย่าภูเขาก็จะเอาออกมาใช้ได้แล้ว!!”
“แล้วก็กระบี่โลหิตนี่ด้วย ข้าสัมผัสได้เลยว่าอีกไม่นานข้าก็จะฝึกมันสำเร็จ!!” ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมเต็มกำลัง
เวลาเดียวกันนั้น นักพรตในพื้นที่นิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิงก็บ้าคลั่งกันอย่างสมบูรณ์แบบ เดิมทีพวกเขาก็ดุร้ายกันเป็นทุนอยู่แล้ว พอมาถูกการกระทำของป๋ายเสี่ยวฉุนทรมาทรกรรมอีกครึ่งเดือน จิตสังหารของแต่ละคนจึงยิ่งเขย่าคลอนฟ้าดิน
ยามค่ำคืนตลอดครึ่งเดือนมานี้ พวกเขาถูกขัดจังหวะการบำเพ็ญเพียรกลางคันอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเวลาลงมือของป๋ายเสี่ยวฉุนไม่แน่นอน ทุกครั้งที่เลือกพื้นที่ก็เลือกตามใจชอบ…
ดังนั้น นักพรตเหล่านี้ของเขาจงเฟิงจึงไม่สามารถทนรับได้ โดยเฉพาะบางคนที่ถูกขัดจังหวะกลางคันแล้วถูกตบะตีกลับหลายครั้งจนกระอักเลือด
“มันเป็นใคร!!!”
“ข้าจะฆ่าคนผู้นี้ บัดซบ ข้าจะฆ่าไอ้หมอนี่!”
“คนผู้นี้รนหาที่ตาย ทำร้ายข้าจนตบะเกือบไม่มั่นคง ข้าจะแร่เนื้อเถือหนังคนผู้นี้ทั้งเป็น!!”
เสียงคำรามแหบแห้งเสียงแล้วเสียงเล่าดังก้องไปทั่วเขาจงเฟิง ตลอดชีวิตของนักพรตพวกนี้ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนกลางวันเวลาอยู่บนภูเขาทุกคนจึงตาแดงก่ำ จิตสังหารอบอวล
ป๋ายเสี่ยวฉุนหวาดผวา ดังนั้นทุกครั้งที่ออกมาข้างนอกก็จะต้องขยี้ตาแรงๆ ให้ดวงตาของตัวเองแดงก่ำก่อนถึงจะกล้าออกมา ประณามเจ้าปีศาจปราณเลือดบ้าคลั่งลึกลับผู้นั้นอย่างโกรธแค้นพร้อมกับคนมากมาย
จากการที่เรื่องยิ่งบานปลาย นักพรตเหล่านี้ก็ยิ่งค้นหากันให้ควั่ก ทั้งยังถึงขั้นขอให้สหายร่วมสำนักที่ถนัดด้านการพยากรณ์มาช่วยคำนวณให้ เพียงแต่ว่าคนที่ถนัดการพยากรณ์นั้นมีไม่มากนัก และเสินซ่วนจื่อที่ถือว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดในบรรดานักพรตของยอดเขาจงเฟิง ตอนนี้กลับยังพักฟื้นรักษาตัว ไม่สามารถคำนวณให้ได้ ทำให้ไฟโทสะที่คนตลอดทั้งนิ้วส่วนล่างของเขาจงเฟิงสะสมเอาไว้ยิ่งเพิ่มพูน
ป๋ายเสี่ยวฉุนเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบเก็บอาการทันที หยุดพักไปหลายวัน เมื่อออกไปด้านนอกอีกครั้งกลับพบว่านักพรตสร้างฐานรากของยอดเขาจงเฟิงถึงขนาดส่งคนออกมาลาดตระเวนในทุกพื้นที่ เห็นได้ชัดว่าบรรลุถึงขั้นเห็นพ้องต้องกัน กระตุ้นให้เกิดเป็นความสามัคคีครั้งหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง
ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปเล็กน้อย เดินวนไปรอบใหญ่ สุดท้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจจากไป ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มว่าต่อไปควรจะทำเช่นไรดีนั้น เดินผ่านพื้นที่แห่งหนึ่ง ฝีเท้าของเขาพลันชะงักกึก มองสถานที่แห่งนี้ด้วยความสงสัย
“ไม่มีคนลาดตระเวน?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ มองรอบด้านด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายหลังจากแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีคนอยู่จริงๆ เขาก็ทั้งตะลึงทั้งดีใจ ขณะเดียวกันก็นึกขึ้นมาได้ว่าในนี้มีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้ที่เขาเดินผ่าน เคยสัมผัสได้ถึงปราณเลือดเข้มข้นกว่าสถานที่อื่นมากมายแผ่ออกมาจากด้านใน
ดังนั้นจึงเดินหาถ้ำแห่งนั้น แปบเดียวก็หาเจอ มองถ้ำสถิตลักษณะธรรมดาที่อยู่เบื้องหน้า ป๋ายเสี่ยวฉุนหยิบเอาแผ่นหยกออกมา หลังจากตรวจสอบดูแล้วหนึ่งรอบ ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งประกาย
“ทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่สังเกตเห็นนะว่าทุกถ้ำในพื้นที่แห่งนี้ล้วนว่างเปล่า มีเพียงถ้ำนี้ถ้ำเดียวที่มีเจ้าของ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ข้าสูดสักคำสองคำก็น่าจะไม่เป็นไร” ป๋ายเสี่ยวฉุนเลียริมฝีปาก พลันสูดเข้าไปคำใหญ่ ปราณเลือดจำนวนมากจากสี่ด้านไหลกรากเข้ามาทันควัน โดยเฉพาะในถ้ำที่ปราณเลือดซัดกลิ้งไล่หลังกันราวกับคลื่นลูกใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนแค่สูดคำเดียวก็รู้สึกได้ว่ามันมีมากกว่าจำนวนรวมยามที่เขาสูดจากสองสามพื้นที่ในวันปกติเสียอีก
“เป็นที่ที่ดีจริงๆ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่กล้าอยู่นาน สูดเสร็จก็รีบจากไป พอคืนต่อมา เขาก็มาที่นี่อีกครั้ง สูดเข้าไปอีกสองที จนกระทั่งวันที่สาม วันที่สี่ ป๋ายเสี่ยวฉุนค้นพบอย่างตกตะลึงระคนดีใจว่ายังคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แล้วก็ไม่มีคนเดินออกมาจากในถ้ำ ดังนั้นจึงยิ่งกล้าหาญมากขึ้น วันที่สี่เขาถึงขนาดสูดติดต่อกันสิบคำ
สุดท้ายเขาจึงมั่นใจว่าในถ้ำแห่งนี้ไม่มีคนอยู่ อีกทั้งที่นี่ยังอยู่ในที่ลับตาคนยิ่งกว่าถ้ำของเขาเสียอีก ตอนกลางวันมองไม่เห็นเงาของใคร ตอนกลางคืนก็ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่!
“ฮ่าๆ สวรรค์มีตา!” ป๋ายเสี่ยวฉุนดีใจอย่างบ้าคลั่ง คืนวันที่ห้าเขามาที่นี่ตั้งแต่หัวค่ำ นั่งลงติดกับถ้ำ เตรียมพร้อมว่าคราวนี้จะสูดเต็มที่ให้เนื้อคงกระพันขั้นแรกของตัวเองสำเร็จไปเลย!
เพิ่งจะโคจรวิชาอมตะมิวางวาย ปราณเลือดรอบด้านก็ทะลักทลายเข้ามาหาทันที ป๋ายเสี่ยวฉุนโบกมืออย่างห้าวหาญ ไม่สนใจสูดปราณเลือดรอบด้าน แต่ฉวยโอกาสสูดเอาปราณเลือดจากถ้ำที่อยู่ด้านหลังมาอย่างแรง ทันใดนั้นถ้ำแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนโดยไร้เสียง ปราณเลือดด้านในปริมาณมหาศาลระเบิดออกแล้วพุ่งทะลักเข้าไปในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ขับเคลื่อนวิชาเนื้อคงกระพัน ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเสียวปลาบไปทั่วร่าง พละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ภาพนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด ในที่สุดเขาเกิดความรู้สึกว่าตัวเองสามารถสูดรับปราณเลือดมาได้อย่างกำเริบเสิบสาน ราวกับว่าตลอดทั้งร่างล่องลอยอยู่ท่ามกลางปราณเลือดไร้ที่สิ้นสุด ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาโปร่งโล่งสบายคล้ายกลายมาเป็นเทพเซียน
ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังสูดรับอย่างบ้าคลั่งนั้นเอง ในถ้ำด้านหลังของเขาไม่มีคนอยู่จริง ถ้ำแห่งนี้ไม่ใหญ่มากนัก คล้ายว่าไม่มีคนอยู่มานานแล้ว มีเพียงตำแหน่งตรงกลางที่มีขวดเล็กๆ สีเลือดหนึ่งขวดวางเอาไว้
บนขวดนี้มีตรารูปดอกเหมยสีชาดประทับเอาไว้หนึ่งดอก เปล่งแสงแวววับ แค่มองก็รู้ว่าเป็นของล้ำค่า และเบื้องล่างขวดนี้ก็คือค่ายกลที่ปล่อยประกายแสงสีแดง ตำแหน่งที่ตั้งของขวดเล็กนี้ก็คือจุดศูนย์กลางของค่ายกล
เมื่อมองอย่างละเอียดตรงตำแหน่งจุดศูนย์กลางนี้มีรูเล็กๆ อยู่หนึ่งรู และขวดสีเลือดนี่ก็ปักอยู่ในรูเล็กรูนี้!
ในขวดสีเลือดรวบรวมปราณเลือดจำนวนมากมายมหาศาลเอาไว้ อีกทั้งปราณเลือดเหล่านี้ยังตกตะกอนกลายมาเป็นของเหลวสะสมไว้ได้เกินครึ่งขวด
ตอนนี้เมื่อป๋ายเสี่ยวฉุนสูดเอาไป ของเหลวในขวดสีเลือดก็ระเหยออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งออกไปยังหน้าประตูใหญ่ของถ้ำ และเพียงแค่หนึ่งก้านธูป ของเหลวในขวดเล็กนี้พลันหายไปถึงสามส่วน ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังฮึกเหิมคิดจะสูดเพิ่มนั้น ในสำนักธาราโลหิต ส่วนกลางของยอดเขาจู่เฟิง มีทะเลสาบสีเลือดแห่งหนึ่ง รอบด้านปลูกต้นดอกเหมยไว้เต็มไปหมด ราวกับดินแดนของเทพเซียน
ด้านข้างทะเลสาบแห่งนี้มีถ้ำสถิตอยู่แห่งหนึ่ง ประตูใหญ่ของถ้ำเป็นสีเขียว แผ่พลานุภาพสยบเข้มข้น โดยเฉพาะบนประตูยังสลักเป็นลายดอกเหมยสีเลือดหนึ่งดอก
ด้านในถ้ำหรูหราโอ่อ่าอย่างถึงที่สุด มุกสุกใสส่องสว่างเป็นแสงไฟ หินวิเศษเปล่งประกายระยิบระยับ ตรงกลางถ้ำแห่งนี้มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ บนใบหน้านางสวมหน้ากากสีเลือดเอาไว้ นางก็คือ…เซวี่ยเหมย!
นางเบิกตาโพลง คิ้วงามใต้หน้ากากขมวดฉับ รู้สึกแปลกใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ขวดเลือดที่ข้าวางในถ้ำเขาจงเฟิง เหตุใดถึงได้ลดน้อยลงอย่างน่าตกใจเช่นนี้?!”
ถ้ำด้านหลังป๋ายเสี่ยวฉุนก็คือถ้ำสถิตของเซวี่ยเหมยบนเขาจงเฟิง เพียงแต่ว่านางแทบจะไม่เคยไปเหยียบที่นั่น เพราะปกติอาศัยอยู่ที่เขาจู่เฟิง ทว่าถ้ำแห่งนั้นกลับเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ อู๋จี๋จื่อบิดาของนางเป็นผู้ค้นพบในปีนั้นจึงตั้งค่ายกลเอาไว้ ทำให้ปราณเลือดเข้มข้นเหนือล้ำเกินกว่าทุกเขตในส่วนล่างของนิ้วเขาจงเฟิง
และนางก็เป็นผู้นำขวดเลือดล้ำค่าชิ้นนั้นไปวางไว้ในถ้ำเขาจงเฟิง เพื่อดูดซับสะสมปราณเลือด สะสมอย่างนี้มาได้สิบกว่าปีแล้ว อีกไม่นานก็จะครบ สามารถนำมาให้นางใช้ควบคู่กับการฝึกวิชาลับวิชาหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ปราณเลือดในขวดเลือดกลับลดลงไปทั้งที่เชื่อมต่อไว้กับจิตวิญญาณของนาง แม้ว่าบางครั้งจะลดน้อยลงไปบาง แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ปกติ ไม่เคยสักครั้งที่จะลดลงอย่างน่าตกใจเหมือนตอนนี้ อีกทั้งขณะที่นางกำลังกำลังเกิดความสงสัย การลดจำนวนลงยิ่งฮวบฮาบหนักกว่าเก่า ถึงขนาดลดลงไปอีกสี่ส่วน
เซวี่ยเหมยลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาหงส์เปล่งประกายเย็นเยียบ ลุกพรวดขึ้นยืน กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่ง ห้อทะยานเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากเขาจู่เฟิงไปยังเขาจงเฟิง!
“ข้าอยากจะรู้นักว่าเหตุใดถึงได้ลดน้อยลงไปขนาดนี้!”
——