Skip to content

A Will Eternal 205

บทที่ 205 ช่างเป็นสำนักที่ดีจริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งเข้าเข่นฆ่าด้วยดวงตาแดงก่ำ สำหรับคนพวกนี้ที่ต้องการเอาชีวิตเขา ประสบการณ์เมื่อครั้งตระกูลลั่วเฉินทำให้เขารู้ว่า ตนต้องเหี้ยมโหดยิ่งกว่าพวกเขา อำมหิตยิ่งกว่าพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะฆ่าตน ตนต้องฆ่าอีกฝ่ายก่อน!

แบบนี้ ตนถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต!

ยามนี้เมื่อลงมือ ร่างของเขากลายเป็นรุ้งเส้นยาว เสียงดังอึกทึกสะเทือนฟ้าดิน เข้าไปใกล้ผู้พิทักษ์สร้างฐานรากที่ก่อนหน้านี้ร่ายปราณกระบี่หลายเส้นใส่เขาแล้วพุ่งเข้าชนอย่างรุนแรง

เสียงตูมดังสนั่น นักพรตสร้างฐานรากผู้นี้ร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ร่างพลันระเบิดทลายลงไปทันที เลือดเนื้อสาดกระเซ็น ป๋ายเสี่ยวฉุนพุ่งออกมาท่ามกลางเลือดสด มือขวายกขึ้นคว้าไปที่ด้านหลัง เมื่อจับนักพรตสร้างฐานรากผู้หนึ่งที่ลอบโจมตีเขาเอาไว้ได้ก็ฉีกกระชากร่างของเขาออกอย่างแรง นักพรตสร้างฐานรากผู้นั้นร้องโหยหวนร่างถูกฉีกขาดทันที

ทั่วร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนโชกไปด้วยเลือดสด ลมหายใจของเขากระชั้นผิดจังหวะ แผดเสียงคำรามดังด้วยดวงตาแดงฉาน

“มาสิ หนีกันทำไม?”

“อยากฆ่าข้านักไม่ใช่เหรอ?”

“มาสิ!” ป๋ายเสี่ยวฉุนสะบัดร่างมาปรากฏกายอยู่เบื้องหลังนักพรตสร้างฐานรากผู้หนึ่งที่สีหน้าซีดเผือดกำลังจะหลบหนี มือขวายกขึ้นคว้าไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้ นักพรตสร้างฐานรากผู้นี้คำรามแหบแห้ง ทำมุทราต่อต้านด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี โจมตีโครมลงไปบนร่างของป๋ายเสี่ยวฉุน ร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนส่ายสะบัด ทว่าเขากลับเอื้อมคว้าลำคอของอีกฝ่ายอย่างไม่แยแส จากนั้นก็บีบลงไปอย่างแรง!

เสียงกร๊อบดังลั่นหนึ่งครั้ง คนผู้นี้ก็ขาดใจตายทันที

ป๋ายเสี่ยวฉุนหันขวับมองไปรอบด้าน นักพรตสร้างฐานรากพวกนั้นต่างพากันหนีเอาชีวิตรอดอย่างบ้าคลั่ง แต่ละคนสีหน้าพรั่นพรึง หากไม่หนีเข้าไปหลบในถ้ำสถิตแล้วเปิดค่ายกลเต็มกำลัง ก็หนีออกห่างไปไกล

และยังมีคนส่วนมากที่รวมตัวอยู่ด้วยกันด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด ช่วยกันสร้างค่ายกลขึ้นมา ขัดขวางไม่ให้ป๋ายเสี่ยวฉุนเข้ามาด้านในได้ ซ่งเชวียและเสินซ่วนจื่อต่างก็อยู่ข้างในนี้

“เจ้ามันไม่ใช่คน!!”

“ข้าไม่เคยเจอปีศาจร้ายที่อำมหิตเช่นนี้มาก่อนเลย!!”

“สวรรค์ เจ้าเย่จั้งเหตุใดถึงได้น่ากลัวเพียงนี้!!”

คนเหล่านี้จิตใจสะท้านไหวเพราะการระเบิดพลังของป๋ายเสี่ยวฉุน ในสายตาของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนในยามนี้ไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจร้ายคลุ้มคลั่ง อาภรณ์เต็มไปด้วยเลือดแดงสด สีหน้าดุร้าย แฝงไว้ด้วยจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุด

ความอำมหิตเช่นนั้น ความบ้าคลั่งเช่นนั้น ทำให้จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน ต่อให้เป็นซ่งเชวียเองก็ยังสำลักลมหายใจ เสินส่วนจื่อยิ่งขวัญหนีดีฝ่อ

พวกเขาเป็นศิษย์ของสำนักธาราโลหิต ในสายตาของคนอื่น พวกเขาคือคนที่เหี้ยมโหดเกินจะเปรียบ ทว่าบัดนี้ ในสายตาของพวกเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ชั่วร้ายเกินบรรยายเช่นกัน

ที่น่าแปลกก็คือ ตลอดเหตุการณ์เหล่านี้ เจ้าของน้ำเสียงที่เอ่ยขัดขวางป๋ายเสี่ยวฉุนก่อนหน้ากลับไม่ได้ออกเสียงอีก

หรือแม้แต่พวกผู้อาวุโสใหญ่เองก็ยังเอาแต่มองอยู่ไกลๆ แต่ละคนเผยอารมณ์ทางสีหน้าแตกต่างกัน ทว่ากลับไม่ได้เข้าขัดขวาง อีกทั้งพวกรุ้งเส้นยาวที่คำรามมากลางอากาศแล้วแปลงกายออกมาก็ยังมองการเข่นฆ่าของป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างเฉยเมย ไม่ได้เอ่ยปากอะไร

ป๋ายเสี่ยวฉุนหอบหายใจฮักๆ มองเห็นว่าไม่สามารถโจมตีค่ายกลที่คนมากมายร่วมมือกันสร้างให้พังทลายได้ เขาก็หัวเราะเสียงเย็นเยียบ ระเบิดพลังทั้งหมดเข้าไปโจมตีถ้ำสถิตแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง ใช้เวลาหนึ่งก้านธูป อาศัยพลังกล้ามเนื้อที่น่าหวาดกลัวของเขาก็ทำให้ถ้ำแห่งนั้นระเบิดออกแล้วจึงเดินเข้าไป ตอนที่ออกมาอีกครั้ง เขาลากเอาศพของนักพรตสร้างฐานรากคนหนึ่งที่หลบไปอยู่ในถ้ำออกมาโยนโครมลงไปบนค่ายกลที่ทุกคนร่างเอาไว้ ความเหนื่อยล้าแผ่ไปทั่วร่างจึงถือโอกาสนั่งลงด้านข้าง ปาดเลือดสดบนหน้าออก เงยหน้ามองทุกคนที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ

มองไปมองมาป๋ายเสี่ยวฉุนก็กะพริบตาปริบๆ เมื่อความเหน็ดเหนื่อยเข้ามาโจมตีอีกครั้ง เส้นเอ็นที่ขมึงตึงก็คลายลงไป ทว่าไม่นานในใจก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา เขานึกถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะได้ระบายความโกรธออกไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับต้องมานั่งกลุ้มแทน

“แต่ว่าข้าไม่ได้เผยวิชาของสำนักธาราเทพ ที่เอามาใช้ทั้งหมดล้วนเป็นวิชาของสำนักธาราโลหิต ส่วนวิชาหลอมเรือนกาย…หากว่ากันตามพื้นฐานแล้วก็ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกับสำนักธาราโลหิต เมื่อเป็นเช่นนี้ต่อให้ลงโทษข้าก็ไม่น่าจะถึงขั้นเอากันถึงตายหรอกกระมัง?” ป๋ายเสี่ยวฉุนใจสั่นวาบ สำหรับเรื่องที่จะเรียกหาให้มือใหญ่ช่วยทำลายสำนักธาราโลหิต เขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน

เขาจงเฟิงเงียบเป็นเป่าสาก…

ต่อให้เป็นสำนักธาราโลหิต การเข่นฆ่าเช่นนี้ยังถือว่ามีให้เห็นน้อยมาก ศึกครั้งนี้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันกับที่พลานุภาพสยบในศึกครั้งนี้ของป๋ายเสี่ยวฉุนสะท้านไปทั่วแปดทิศ ก็ทำให้หลายคนเข้าใจเย่จั้ง…ในมุมมองใหม่

“ฆ่าพอหรือยัง!” ท่ามกลางความเงียบงัน น้ำเสียงที่ผ่านโลกมาโชกโชนก่อนหน้านี้ก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง เงาร่างเลือนรางร่างหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาเบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุน

นั่นคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีเลือด เขาเอามือไพล่หลัง ยืนมองป๋ายเสี่ยวฉุนด้วยดวงตาเย็นชา บนร่างของเขามีการแฝงเร้นของปราณเลือดที่น่าตกตะลึงระลอกหนึ่งซึ่งขานรับกับฟ้าดิน ขานรับกับเขาจงเฟิงแห่งนี้!

พลานุภาพสยบที่เกิดจากปราณเลือดทำให้แม้แต่มหาสมุทรวิญญาณในร่างของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยังสั่นสะเทือน

โดยเฉพาะตอนที่สายตาของชายวัยกลางคนผู้นี้มองมายังป๋ายเสี่ยวฉุน ราวกับสามารถมองทะลุผ่านร่างของเขา มองเห็นทุกอย่างในร่างกายเขา ป๋ายเสี่ยวฉุนตัวสั่น มิอาจปกปิดสิ่งใดไว้ได้แม้แต่นิดเดียว

ยังดีที่หน้ากากชิ้นนั้นคือสมบัติล้ำค่าที่สำนักลึกลับมอบให้ เมื่ออยู่ภายใต้การอำพรางของหน้ากากนี้ ชายวัยกลางคนจึงค่อยๆ ถอนสายตากลับไป เงียบไปครู่หนึ่งก็ยกมือขวาขึ้นโบก ขวดเล็กหนึ่งขวดลอยเข้าหาป๋ายเสี่ยวฉุน

“พรสวรรค์ไม่ธรรมดา เลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษ และยิ่งมีความเป็นมารอยู่ในตัว…น่าเสียที่เป็นเพียงแค่สร้างฐานรากวิถีมนุษย์…”

“ด้านในนี้มียาโลหิตวิเศษอยู่สามเม็ด สามารถทำให้อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดี ขณะเดียวกันก็ทำให้เจ้าตอบรับกับปราณเลือดได้เฉียบคมมากขึ้น” พูดจบ ชายวัยกลางคนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย หมุนกายเดินก้าวขึ้นไปกลางอากาศ ร่างถูกลมพัดโชย ค่อยๆ สลายหายไป

“หา?” ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึง เขาอุตส่าห์เตรียมพร้อมรอรับการลงโทษไว้เรียบร้อยแล้ว ทว่าชายวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งยังส่งยาให้กับตนหนึ่งขวดอีกด้วย

ชั่วขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังอึ้งงัน ผู้อาวุโสใหญ่ของแต่ละยอดเขาที่อยู่กลางอากาศ ลมหายใจของแต่ละคนกลายมาเป็นถี่กระชั้น นัยน์ตาฉายแววแปลกประหลาด เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้เอ่ยปากเพราะบุรพาจารย์มาเยือน อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของเย่จั้งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วแตกต่างกันเกินไป ทว่าตอนนี้หลังจากที่บุรพาจารย์ตรวจสอบด้วยตัวเองทั้งยังยืนยันอย่างแน่ชัดว่าไม่มีปัญหา ดังนั้นจึงกระตือรือร้นกันขึ้นมาทันที

รู้สึกว่าเย่จั้งผู้นี้ไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์เยี่ยมยอด ทั้งยังสังหารคนมากมายได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนี้หาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าความเป็นมารที่บุรพาจารย์กล่าวถึงนั่นถือเป็นการยอมรับว่าเย่จั้งเป็นคนมากความสามารถ ทั้งยังนึกถึงความเผด็จการตอนที่เขาแย่งเอาโอสถสร้างฐานรากมาครอง จึงยิ่งรู้สึกชื่นชมมากขึ้นไปอีก

ส่วนการที่ป๋ายเสี่ยวฉุนฆ่าคนละเมิดกฎสำนัก พวกเขาไม่สนใจ ในสำนักธาราโลหิต ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ในมือของพวกเขาคนไหนบ้างที่ไม่เปื้อนเลือด ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ แต่กลับทะเล่อทะล่าไปหาเรื่องผู้แข็งแกร่ง ถูกฆ่าก็ถือว่ารนหาที่ตายเอง สำหรับนักพรตสร้างฐานรากที่อยู่ในระดับต่ำแล้ว กฎสำนัก จะพูดว่ากฎสำนัก ก็สู้พูดว่าเป็นการปกป้องอย่างหนึ่งจะดีกว่า สำหรับผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขั้นสร้างฐานรากขึ้นไปก็ยิ่งเป็นผู้สูงเกียรติ!

อีกทั้งความสามารถในการหาเรื่องใส่ตัวของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ยิ่งทำให้พวกเขาประทับใจ ต้องรู้ว่าการที่ทำให้คนอื่นชอบ กับการที่ทำให้คนอื่นเกลียดเข้ากระดูกนั้นความยากไม่เหมือนกัน แต่ผลที่ได้กลับเหมือนกัน

ไม่ว่าจะทำได้ถึงขั้นไหนก็ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งสิ้น ฝ่ายแรกคือพระ ฝ่ายหลังคือมาร

ความเป็นมารประเภทนี้ หมายความว่าหากเย่จั้งไม่ตาย ถ้าเช่นนั้นเมื่อตบะของเขาแข็งแกร่งขึ้นก็จะกลายมาเป็นผู้ยิ่งใหญ่ทันที หากไม่บุกตะลุยทั่วใต้หล้า ก็ถูกใต้หล้าบดขยี้

ผู้อาวุโสใหญ่ของเขาเส้าเจ๋อเฟิง นักพรตที่รูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นพลันบินเข้ามาหาด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์น้องเย่จั้งมาที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้าเถอะ วิชาหลอมเรือนกายของเจ้า หากไม่มาที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้า ช่างถือเป็นการสิ้นเปลืองยิ่งนัก!”

“มาที่เขาเส้าเจ๋อเฟิงของข้า ข้าอนุญาตให้เจ้าอยู่ตรงเขตนิ้วส่วนบนได้ มาเถอะ อยู่ที่นี่ การหลอมเรือนกายของเจ้าจะประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!!”

ดวงตาของผู้อาวุโสใหญ่เขาเส้าเจ๋อเฟิงร้อนแรง เอ่ยปากพูดข้อดีออกมาเป็นชุด ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกงงงันเล็กน้อย ดวงตาฉายแววฉงน ผู้อาวุโสใหญ่เขาซือเฟิงก็เยื้องกรายมาถึงติดๆ กัน

“อย่าไปฟังเขา เย่จั้ง มาที่เขาซือเฟิงของข้า เขาซือเฟิงของข้าต่างหากถึงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป มาเถอะ ศพหลอมที่ดีที่สุดทั้งหมดของข้า เจ้าเลือกตามใจชอบได้เลย!”

“ศิษย์น้องเย่จั้ง คำพูดพวกเขาล้วนไม่มีความจริงใจ มาที่ยอดเขาอู๋หมิงเฟิงของข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าเข้ามาอยู่ในกลุ่มของผู้อาวุโสสีเลือด ได้รับอำนาจพิเศษของเขาอู๋หมิงเฟิง นับแต่นี้ไป ใครก็ไม่กล้ามาหาเรื่องเจ้าอีก!” ชายแคระของเขาอู๋หมิงเฟิงเอ่ยปากเสียงดัง เพื่อช่วงชิงเอานักพรตที่เลือดหวนคืนสู่บรรพบุรุษอย่างป๋ายเสี่ยวฉุน พวกเขาพร้อมทุ่มสุดกำลัง

ป๋ายเสี่ยวฉุนมองเซ่อไปทันที ยามนี้ยังตั้งตัวไม่ทัน ทุกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกคาดไม่ถึง เขาเพิ่งก่อเรื่องใหญ่มาหยกๆ ฆ่านักพรตสร้างฐานรากเจ็ดแปดคนต่อหน้าทุกคน ทั้งยังกระตุ้นเอาปราณเลือดของเขาจงเฟิงมา และชายวัยกลางคนผู้นั้นที่ป๋ายเสี่ยวฉุนไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็คิดได้ว่าอาจเป็นผู้อาวุโสไท่ซ่างบางท่าน หรืออาจจะเป็นหนึ่งในบุรพาจารย์ก็ได้

ตนขัดคำสั่งของเขาเชียวนะ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้หากเกิดขึ้นที่สำนักธาราเทพจะถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้กฎของสำนักดี นี่เป็นโทษที่ศาลาพิพากษ์สามารถแร่เนื้อเถือหนัง กำจัดตบะ และทำลายจิตวิญญาณได้เลย

แต่ตอนนี้…ในสำนักธาราโลหิตเหตุการณ์กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง

ขณะที่ป๋ายเสี่ยวฉุนกำลังนั่งเหม่อ เสียงหัวเราะยั่วเย้าเสียงหนึ่งก็ดังลอยมา เรือนร่างที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของซ่งจวินหว่านเดินมาพร้อมกับลมกลิ่นหอม ตอนที่มองไปยังป๋ายเสี่ยวฉุน นัยน์ตาเผยความชื่นชมแรงกล้าราวกับว่าตัวเองได้รับของล้ำค่า ขณะที่เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าป๋ายเสี่ยวฉุนก็หมุนตัวหันหลังให้เขา สายตาที่แฝงเร้นไว้ด้วยความดุดันกวาดมองคนอื่น

“ที่นี่คือเขาจงเฟิง พวกท่านจะมาขโมยคนของข้าไปรึ?”

ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ แค่เงยหน้าขึ้นก็มองเห็นแผ่นหลังของซ่งจวินหว่านที่อยู่ตรงหน้า การแต่งกายอย่างเปิดเผยเนื้อตัวเช่นนั้น กระโปรงแหวกหน้าแหวกหลัง และยังมีความเย้ายวนที่ปิดบังไม่อยู่ รวมไปถึงผิวพรรณขาวนวลราวหิมะ ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนมองตาค้างไปทันที อดไม่ไหวจนต้องสังเกตอย่างละเอียด

ผู้อาวุโสใหญ่ของอีกสามเขา มองเห็นท่าทางที่จงใจแสดงออกอย่างชัดเจนของซ่งจวินหว่าน แล้วก็มองเห็นป๋ายเสี่ยวฉุนที่มองตาค้างจึงพากันถอนหายใจยาว รู้สึกจนใจกับลูกไม้ของซ่งจวินหว่านไม่น้อย ทำได้เพียงมองป๋ายเสี่ยวฉุนอย่างอาลัยอาวรณ์ จากไปด้วยความจำใจ

จนกระทั่งพวกเขาจากไปหมดแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งจวินหว่านหายไป กลายมาเป็นความมืดทะมึน สายตากวาดมองไปที่นักพรตสร้างฐานรากเหล่านั้นที่อยู่รอบด้าน คนพวกนี้เมื่อโดนสายตาของนางกวาดมองมาก็ใจสั่นรัว ก้มหน้าไม่พูดจา

ซ่งเชวียยิ่งหวาดกลัว ไม่กล้าประสานสายตา ตั้งแต่เด็กเขาก็กลัวอาหญิงน้อยผู้นี้แล้ว…

“แยกย้ายกันไปได้แล้ว อย่าลืมจัดการเก็บกวาดด้วย” หลังจากซ่งจวินหว่านเอ่ยปากเนิบนาบ ทุกคนรอบด้านถึงได้ผ่อนลมหายใจ แต่ละคนรีบร้อนจากไปด้วยความยำเกรง ไม่นานที่นี่ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบ

“มองพอหรือยัง น้องเย่จั้ง” ซ่งจวินหว่านหมุนตัวกลับมา บนใบหน้าเผยสีหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง โน้มตัวลงไปใช้นิ้วมือข้างขวาที่ขาวราวหยวกกล้วยเชยคางป๋ายเสี่ยวฉุนขึ้นมา

ป๋ายเสี่ยวฉุนหน้าแดงเล็กน้อย ไอแห้งๆ หนึ่งที รีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะซ่งจวินหว่าน

“คารวะพี่หญิงซ่ง”

“ต่อไปเจ้าระวังตัวให้มากหน่อย ความวุ่นวายในสำนักธาราโลหิตไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันสองวันแล้ว ยิ่งเป็นเช่นนี้ความสามารถของสำนักจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทว่าก็ช่วยไม่ได้ มีเพียงค้นหาคนแล้วคนเล่าที่สามารถปราบปรามศัตรูได้เท่านั้นถึงจะทำให้สำนักไม่ล่มสลาย แต่ว่าขอแค่บุรพาจารย์ยังอยู่ ความวุ่นวายทุกอย่างล้วนระงับลงไปได้

ดังนั้นเจ้าจงอยู่ในเขาจงเฟิงอย่างสบายใจ ยิ่งเจ้าแสดงออกได้แข็งแกร่งมากแค่ไหน ก็ยิ่งได้รับความเคารพมากเท่านั้น” ซ่งจวินหว่านยิ้ม รอยยิ้มนี้ของนางราวกับดอกกุหลาบเบ่งบาน ความงดงามบางอย่างที่บอกไม่ถูกผลิบานอยู่บนร่างของนาง

“พี่หญิงซ่ง คนเมื่อครู่นี้…คือบุรพาจารย์หรือ?” ป๋ายเสี่ยวฉุนลังเลเล็กน้อยก็ถามขึ้นมา

“บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อ!” ซ่งจวินหว่านพูดเบาๆ มองเห็นท่าทางเหม่อลอยของป๋ายเสี่ยวฉุนก็ปิดปากหัวเราะ แล้วจากไปไกลพร้อมลมหอมรวยริน

ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนอยู่ตรงนั้น ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก

“ที่แท้เขาก็คืออู๋จี๋จื่อ…สุดยอดศิษย์แห่งความภาคภูมิใจของเมื่อแปดร้อยปีก่อน!” ป๋ายเสี่ยวฉุนมองรอบด้าน ในใจเริ่มมีความรู้สึกบางอย่างลอยขึ้นมา เขารู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตแห่งนี้ช่างดีกับตนยิ่งนัก ตอนที่เขาอยู่สำนักธาราเทพ เมื่อใดที่ก่อเรื่องจะต้องถูกลงโทษ ทว่าพอมาอยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่ไม่ถูกลงโทษ ยังมีการให้รางวัลเขาอีกต่างหาก

อีกทั้งยอดเขาอื่นต่างก็ต้องการแย่งชิงตนไปอยู่ด้วย แถมซ่งจวินหว่านผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงยังสวยงามร้อนแรงขนาดนี้

โดยเฉพาะที่นี่เหมาะสมกับการฝึกวิชาอมตะมิวางวายของตนเป็นอย่างมาก ปราณเลือดที่ราวกับมาจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์…ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ทำให้ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกว่าสำนักธาราโลหิตต่างหากที่เหมาะสมกับตนมากที่สุด

“ช่างเป็นสำนักที่ดีจริงๆ” นึกมาถึงตรงนี้ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็ส่ายหัวอย่างแรง รีบปรับความคิดของตัวเองใหม่ ย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าตนเป็นคนของสำนักธาราเทพ สำนักธาราโลหิตคือศัตรูของเขา!

ทว่าก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าสำนักธาราโลหิตช่างดียิ่งนัก

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!