Skip to content

A Will Eternal 209

บทที่ 209 จะถูกปิดปากหรือเปล่า…

“หนุ่มน้อย ทุกครั้งต้องมองข้าด้วยท่าทางหื่นกระหายเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำอะไร?” ซ่งจวินหว่านเอ่ยยั่วเย้า เหล่ตามองป๋ายเสี่ยวฉุนหนึ่งครั้ง ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สายตายั่วยวนอะไร ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้ใบหน้างามพิลาสและดวงตาประกายน้ำของนาง การมองครั้งนี้จึงราวกับมีคลื่นอารมณ์อย่างอื่นแอบแฝง

“พี่หญิงซ่งมีบุคลิกและความสามารถเลิศล้ำปฐพี ข้า…ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม มักจะอดไม่ไหวจนต้องมองเสียทุกครั้งไป…” ในใจป๋ายเสี่ยวฉุนร่ำร้องประณามว่านางมารร้าย…แต่พอนึกว่าหากตัวเองไม่ได้เป็นผู้อาวุโสใหญ่ คงทำได้เพียงไปขโมยวัตถุนิจนิรันดร์มิดับสูญมาจากห้องของอีกฝ่ายเท่านั้น ดังนั้นจึงเผยท่าทางเอียงอาย เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

พูดจบเขาก็มองอีกหลายครั้ง การกระทำที่แตกต่างไปจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้ซ่งจวินหว่านรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสนใจ

คนทั้งสองเล่นหูเล่นตาให้กันไปมา ทำให้นักพรตสร้างฐานรากที่อยู่รอบด้านรู้สึกขมขื่นในใจ แอบพากันถอนหายใจ สำหรับป๋ายเสี่ยวฉุนแล้ว นอกจากความเกลียด ยังมากด้วยความริษยา…

โดยเฉพาะเสินซ่วนจื่อที่ดวงตาแทบถลนออกมาจากเบ้า ลมหายใจถี่กระชั้น เขาปรารถนาอย่างยิ่งยวดที่จะแทนที่ป๋ายเสี่ยวฉุน มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าซ่งจวินหว่านเสียเอง เป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสีกับสาวงามในตำนาน…อย่างผู้อาวุโสใหญ่เขาจงเฟิงท่านนี้

“ข้าเองก็กำลังแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมอยู่ๆ ถึงมีกลิ่นอายยั่วยวนพัดมา ที่แท้ก็เจ้าซ่งจวินหว่านมานี่เอง หลีกไป!” เซวี่ยเหมยเห็นว่าคนทั้งสองถึงขนาดเกี้ยวพากันไปมาต่อหน้าตนเช่นนี้ ประกายเย็นเยียบในดวงตาก็ยิ่งมีมาก แค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้ง มือขวายกขึ้น ดอกเหมยสีเลือดที่แข็งตัวอยู่กลางอากาศพลันสั่นสะเทือน ถูกบังคับให้ร่วงหล่นลงมา

“ตู้เซวี่ยเหมย ที่นี่คือเขาจงเฟิง เจ้าอย่ากำเริบเสิบสานให้มากนัก!”

ซ่งจวินหว่านได้ยินเช่นนั้นในรอยยิ้มก็แฝงไว้ด้วยความเย็นเยียบ มือขวายกขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ค่ายกลที่ถูกประทับอยู่รอบด้านเขาจงเฟิงแห่งนี้พลันปรากฏออกมา แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เซวี่ยเหมยร่ายก่อนหน้า ขณะที่กะพริบพราว ดอกเหมยสีเลือดนั้นก็พังทลายลงไปเอง ระเบิดตูมแตกออกไปทั่วด้าน กลายเป็นปราณเลือดจำนวนมาก ทว่ากลับมีไม่น้อยที่ถูกเซวี่ยเหมยดูดซับเอาไปหลอมรวมเข้าในกาย

“ข้าคิดจะทำอะไร เกี่ยวกับเจ้าด้วยงั้นหรือ?” เซวี่ยเหมยเชิดคางขึ้น เอ่ยปากอย่างโอหัง เผยสีหน้าที่แตกต่างไปจากที่มอบให้คนอื่นออกมาเป็นครั้งแรก นั่นคือความเย้ยหยัน และยิ่งมากด้วยความกวนโมโห

“วันนี้ข้าจะขอเกี่ยวด้วย เจ้าก็ลองแตะต้องเย่จั้งดูสิ!” ซ่งจวินหว่านยิ้มเย็น มือขวาทำมุทราชี้ไปที่พื้น ค่ายกลรอบด้านยิ่งขยายขอบเขตออกกว้างทันที พริบตาเดียวก็แผ่ไปเกือบครึ่งพื้นที่นิ้วช่วงล่าง นัยน์ตาของนางเผยความดูแคลนและยั่วอารมณ์ไม่ต่างกัน

ป๋ายเสี่ยวฉุนซาบซึ้งใจ เขายืนหยัดยืนอยู่ข้างหลังซ่งจวินหว่าน ถลึงตาดุดันใส่เซวี่ยเหมย

“เดิมทีข้าคิดว่าจะแค่เอามือทั้งสองข้างของเขามา ให้บทเรียนกับเขาสักครั้ง ในเมื่อเจ้าต้องการปกป้องเขา ข้าก็ฆ่าเขาให้ได้!” เซวี่ยเหมยเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ตบะระเบิดครั่นครืน ก่อตัวเป็นพายุบ้าคลั่ง กลายร่างเป็นน้ำวนเก้าลูก เสียงดังสะเทือนเลือนลั่นคล้ายจะเชื่อมโยงเข้ากับนภากาศ พลังอำนาจโหมซัดสาด นี่ก็คือลักษณะพลังที่เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสร้างฐานรากวิถีดินด้วยน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งเท่านั้น

ดวงตาป๋ายเสี่ยวฉุนเปล่งแสงวาบ มองหนึ่งครั้ง ในใจดูหมิ่น เขารู้สึกว่าหากตนเผยสร้างฐานรากวิถีฟ้าออกมา แค่ดีดนิ้วก็ทำให้เซวี่ยเหมยผู้นี้ตกใจจนยืนเซ่อได้

“คนอื่นหวาดกลัวตัวตนของเจ้า ทว่าข้าซ่งจวินหว่านไม่สนใจ หากเจ้าตัดขนของเย่จั้งเส้นหนึ่ง ข้าก็จะหักนิ้วของเจ้านิ้วหนึ่ง!” ซ่งจวินหว่านก้าวออกไป ตบะบนร่างระเบิดออกไม่ต่างกัน ท่ามกลางเสียงตูมตาม แม้จะไม่มีน้ำวนเก้าลูกที่น่าตื่นตะลึงปรากฏขึ้น ทว่าพลังอำนาจของสร้างฐานรากขั้นท้ายอย่างสมบูรณ์แบบก็ซัดโหมออกมาจากร่างของนางเช่นกัน ต่อให้ในด้านคุณภาพจะสู้เซวี่ยเหมยไม่ได้ แต่ในด้านปริมาณ มากพอที่จะบดขยี้ได้!

เสียงปึงปังดังสะท้อน คนทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันอย่างไร้ลักษณ์ ต้นไม้ใบหญ้ารอบด้านพังทลาย กลายเป็นพลังโจมตีกวาดล้าง ทำให้นักพรตสร้างฐานรากที่อยู่รอบด้านเหล่านั้นขวัญหนีดีฝ่อ

และเห็นได้ชัดว่าเซวี่ยเหมยนั้นสู้ไม่ได้ เมื่อพลังอำนาจพุ่งเข้าปะทะกันจึงถอยกรูดต่อเนื่อง

ป๋ายเสี่ยวฉุนยิ่งซาบซึ้งจนความคิดเลอะเทอะไปหมด รู้สึกว่าผู้อาวุโสใหญ่คนสวยที่อยู่เบื้องหน้าตนผู้นี้ช่างดีกับตนยิ่งนัก ถึงขนาดย่อมล่วงเกินเซวี่ยเหมยเพื่อตน ทั้งยังรักและปกป้องตน แม้เขาจะรู้สึกว่าขนหนึ่งเส้นของตนแลกนิ้วหนึ่งข้าง ตนดูจะเสียเปรียบไปสักหน่อย แต่พอนึกถึงความหวังดีของผู้อาวุโสใหญ่ ป๋ายเสี่ยวฉุนก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรสนใจเรื่องหยุมหยิมอีก

“นางช่างดีกับข้ายิ่งนัก ข้าควรจะทำเช่นไร…” ป๋ายเสี่ยวฉุนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ถอนหายใจ ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสใหญ่ มองเซวี่ยเหมยด้วยท่าทางเคร่งขรึมต่อไป

และตอนนี้เอง เซวี่ยเหมยแค่นเสียงเย็น นัยน์ตาฉายแววเดือดดาล จิตสังหารยิ่งเปล่งวาบ ยกมือขวาทำมุทราชี้ไป แสงสีขาวเส้นหนึ่งก็บินออกมาจากในถุงเก็บของของนางทันที กลายร่างมาเป็นกระพรวนชิ้นหนึ่ง กระพรวนนี้เป็นสีขาว ด้านบนประทับใบหน้ายิ้มเอาไว้ ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นมองแวบแรกคือยิ้ม ทว่ามองนานไปจะพบว่านั่นคือใบหน้าร้องไห้ หากมองนานอีกหน่อย จะค้นพบด้วยอาการหนังหัวชาดิกว่านั่นคือความแตกตื่นและหวาดผวา

กระพรวนนี้ปรากฏออกมา ปราณแปลกประหลาดระลอกหนึ่งพลันแผ่ซ่าน หลอมรวมเข้าไปในน้ำวนน้ำขึ้นน้ำลงเก้าครั้งของนาง ทำให้พลังน้ำขึ้นน้ำลงนี้ระเบิดออกอีกครั้ง เสียงตูมตามดังสนั่น พลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถมองเห็นได้รำไรว่าภายใต้การนำของพลังแปลกประหลาดนี้ น้ำวนของน้ำขึ้นน้ำลงเก้าชั้นปรากฏลางที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกัน

และยังถึงขนาดหลอมรวมกันในขั้นต้นแล้วด้วย ทำให้ขอบเขตของพลังอำนาจไต่สูงขึ้น อีกทั้งกระพรวนชิ้นนั้นก็ยังขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนถึงท้ายที่สุดก็ใหญ่หลายสิบจั้ง ลอยอยู่กลางอากาศ แผ่พลานุภาพไร้ที่สิ้นสุด

ดวงตาของเซวี่ยเหมยเป็นประกาย เร่งกระตุ้นพลังของตบะ ทั้งยังยืมใช้ของวิเศษชิ้นนั้นมาทำให้พลังเทียบเคียงกับซ่งจวินหว่าน!

โดยเฉพาะกระพวนชิ้นนี้ยังส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งดังลอยมาตลอดเวลา เสียงนี้คล้ายสามารถกระตุ้นอารมณ์ได้ ทำให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ดวงตาทั้งคู่ของซ่งจวินหว่านก็ยังหดตัวลง

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ของวิเศษที่นักพรตสร้างฐานรากสามารถครอบครองได้ นึกถึงตัวตนของเซวี่ยเหมย ทุกคนก็มองออกในปราดเดียวว่านี่ต้องเป็นสมบัติล้ำค่าที่อู๋จี๋จื่อบิดาของนางมอบให้แน่นอน

สมบัติล้ำค่าที่บุรพาจารย์มอบให้แก่ลูกสาวที่รัก ระดับความแข็งแกร่งของมันก็พอจะนึกภาพออกได้

ซ่งจวินหว่านกัดฟัน นางและเซวี่ยเหมยไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งสองคนมีการช่วงชิงผลประโยชน์ระหว่างกัน หลายปีมานี้จึงไม่ถูกชะตากับอีกฝ่ายมาโดยตลอด แม้ว่าตบะของซ่งจวินหว่านจะเหนือกว่าเซวี่ยเหมย ทว่าอีกฝ่ายมีสมบัติวิเศษของอู๋จี๋จื่อ ในใจซ่งจวินหว่านจึงอดกริ่งเกรงไม่ได้

ทางฝ่ายของเซวี่ยเหมยก็หวาดผวาไม่ต่างกัน แม้นางจะมีของวิเศษ แต่ตบะเทียบซ่งจวินหว่านไม่ได้ หรือแม้แต่ในส่วนของฐานะ ทั้งสองคนต่างก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้

ยามนี้คนทั้งสองจ้องตากันเขม็ง ต่างฝ่ายต่างหวาดเกรง ไม่มีใครกล้าลงมือก่อน

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านข้างเองก็พรั่นพรึงเช่นกัน มองกระพรวนชิ้นนั้นที่ลอยอยู่กลางอากาศ เขารู้สึกอิจฉาตาร้อน ของวิเศษเช่นนี้ทำให้ใจป๋ายเสี่ยวฉุนสั่นระริก

และขณะที่ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยต่างจ้องอีกฝ่ายเขม็งอยู่นั้น ซ่งจวินหว่านพลันหัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา ภายใต้เบื้องหน้างามพิลาส คำพูดที่พูดออกมากลับเป็นดั่งมีดแหลมคมเกินจะเปรียบ

“วันๆ เอาแต่สวมหน้ากาก ทั้งยังสลักรูปดอกเหมย ทำไมเจ้าไม่สลักรูปดอกเบญจมาศเล่า คงอัปลักษณ์จนบอกไม่ถูก ไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คน!” ซ่งจวินหว่านเอ่ยปากดูหมิ่น คำพูดนี้ดังออกไป ทุกคนที่อยู่รอบด้านสำลักลมหายใจทันที ต่างรู้สึกราวกับไม่รู้จักผู้อาวุโสใหญ่ตรงหน้านี้มาก่อน ไม่นึกว่าคำพูดแบบนี้นางยังกล้าพูดออกมาได้

ป๋ายเสี่ยวฉุนที่อยู่ด้านข้างก็อึ้งไปเหมือนกัน ดังนั้นจึงมองเซวี่ยเหมย ใคร่ครวญว่าอีกฝ่ายจะตอกกลับอย่างไร

“ก็ใช่น่ะสิ เจ้ามันคนสวย ทำตัวเป็นแม่พวงมาลัยหลายชาย มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับคนในสำนักเกินหมื่นคน ร่างกายไม่ต่างจากดอกไม้ที่ถูกขยี้จนกลีบบาน ถึงได้แลกเอาตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของเขาจงเฟิงมาได้ เรื่องนี้มีใครในสำนักบ้างที่ไม่รู้ เกรงว่ากว่าจะได้เป็นบุตรโลหิต เจ้าคงต้องนอนกับคนนับแสนกระมังถึงจะเป็นได้!” เซวี่ยเหมยพูดด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูก ไม่มองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา นัยน์ตามีเพียงซ่งจวินหว่าน ประโยคนี้หลุดออกไป ทำให้เกิดเสียงสูดลมหายใจจำนวนนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะพวกนักพรตสร้างฐานรากที่อยู่รอบด้านก็ยิ่งเบิกตากว้าง พวกเขารู้สึกว่าวันนี้พวกเขาก็ได้รู้จักกับเซวี่ยเหมยคนใหม่เช่นกัน

ได้ยินคำพูดตอกกลับของเซวี่ยเหมย ป๋ายเสี่ยวฉุนตะลึงงันไปทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าทั้งสองคนนี้…ฝีมือสมน้ำสมเนื้อ ราวเพชรตัดเพชร กินกันไม่ลงจริงๆ…

เพียงแต่เขาแอบรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง เมื่อครู่ตนซาบซึ้งใจไปโดยเปล่าประโยชน์ ผู้หญิงสองคนนั้นมองเมินตน คล้ายว่าระหว่างพวกนางสองคนมีความแค้นต่อกันอยู่แล้ว…

“ไม่ถูกสิ ข้าต่างหากถึงจะเป็นจุดสำคัญ ทำไมพวกนางถึงลืมข้าไปเสียได้?” ป๋ายเสี่ยวฉุนกะพริบตาปริบๆ ใจอยากจะเอ่ยเตือนเสียหน่อย

“ทั้งสองท่าน…” ป๋ายเสี่ยวฉุนเพิ่งเอ่ยปาก เซวี่ยเหมยและซ่งจวินหว่านก็ตวาดออกมาพร้อมกัน

“หุบปาก!”

ป๋ายเสี่ยวฉุนสะดุ้งโหยง เดือดปรี๊ดขึ้นมาทันที ทว่าตอนนี้เอง เสียงซ่งจวินหว่านโจมตีกลับก็ดังขึ้นมา

“ตู้เซวี่ยเหมยเจ้าพูดเหลวไหล พวงมาลัยหลายชายที่เจ้าพูดนั้นไม่ใช่ข้า แต่เป็นมารดาของเจ้า ตอนที่เจ้าเกิดมา บุรพาจารย์อู๋จี๋จื่อยังกรีดเลือดรับเป็นบิดาอยู่เลย นี่คือเรื่องจริงแท้แน่นอน แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูด ทว่าทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้กันดี เจ้าไปถามพวกผู้อาวุโสดูเอาก็ได้ มีใครบ้างที่ไม่รู้เรื่องนี้!” ซ่งจวินหว่านได้ยินประโยคก่อนหน้าก็หัวเราะเสียงเย็น ตอกกลับไปโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว พอคำพูดนี้ปล่อยออกไป รอบด้านไม่มีเสียงลมหายใจอีก ทุกคนยืนเซ่ออย่างสมบูรณ์แบบ เรื่องที่พัวพันไปถึงบุรพาจารย์อย่างนี้ ราวกับมีสายฟ้าฟาดกระหน่ำ มีคนไม่น้อยถึงกระทั่งเริ่มถอยหลังออกอย่างเงียบเชียบ

เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่เป็นความลับแบบนี้ สำหรับสำนักธาราโลหิตแล้วคือเรื่องใหญ่ที่ต้องฆ่าปิดปากกันทีเดียว ตระกูลภูมิหลังของซ่งจวินหว่านก็มีบุรพาจารย์ของสำนักธาราโลหิตอยู่เช่นกัน แน่นอนว่านางย่อมไม่กลัว ทว่าคนพวกนี้กลัวนี่นา!

“เจ้าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น! อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าซ่งเชวียก็คือลูกชายที่เจ้าแอบไปคลอดมา เจ้าเย่จั้งผู้นี้ก็คือชู้รักของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะปรากฏตัวเร็วขนาดนี้ได้ยังไง คงจะเพิ่งเสร็จสมกันมาสินะ ไม่ว่าใครก็เอาทำผัวได้หมด” เซวี่ยเหมยไม่ยอมเผยความอ่อนแอ เอ่ยปากอีกครั้ง คำพูดคมกริบ ระเบิดข้อมูลมากมายที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จออกมาเช่นกัน ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านหนังหัวชาหนึบ พวกคนที่เดิมทีกำลังถอยหลังจากไปอย่างเงียบเชียบ ยามนี้ในใจร่ำร้องโหยไห้ พวกเขาไม่อยากฟังสักหน่อย…แต่ละคนเสียใจยิ่งยวดที่คืนนี้ตามมาที่นี่ เผ่นหนีไปด้วยความสะพรึงกลัว กลัวว่าหากยังอยู่ฟังต่อไป ตนเองจะต้องตายจริงๆ

ป๋ายเสี่ยวฉุนเองก็ตัวสั่นขึ้นมาบ้างแล้ว เขาทั้งตกใจทั้งหวาดผวา รู้สึกว่าตัวเองได้ยินเยอะขนาดนี้…จะถูกปิดปากหรือเปล่า

ยามนี้กำลังถอยหลังด้วยความระมัดระวัง คิดจะหนีออกไปจากที่นี่ เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้ระดับความน่ากลัวไม่ต่างไปจากเทือกเขาลั่วเฉิน

ขณะที่เขาก้าวถอยหลัง ระหว่างซ่งจวินและเซวี่ยเหมยยังมีเสียงด่าดังขรม ต่างฝ่ายต่างระเบิดข้อมูลรุนแรง ต่อเนื่อง ทำเอาป๋ายเสี่ยวฉุนที่ได้ยินอกสั่นขวัญแขวน ข้อมูลพวกนี้เมื่อนำมารวมเข้าด้วยกันแล้วก็คือประวัติศาสตร์ลึกลับส่วนหนึ่งของสำนักธาราโลหิตเชียวนะ

ยามนี้ แม้แต่บุรพาจารย์หลายคนในสำนักธาราโลหิตก็ยังสังเกตเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ คล้ายทนฟังไม่ได้อีกต่อไป จึงมีบุรพาจารย์ท่านหนึ่งกระแอมออกมาหนึ่งครั้ง กลายเป็นเสียงอสนีบาต ก่อเกิดเป็นสายฟ้าหนึ่งเส้นกรีดผ่านภากาศ ราวกับต้องการผ่าท้องฟ้าออกจากกัน ดังก้องไปแปดทิศ

ซ่งจวินหว่านและเซวี่ยเหมยรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จำต้องสำรวมกิริยา ต่างฝ่ายต่างถลึงตาดุดันใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็แค่นเสียงเย็นชากันคนละที หมุนกายจากไป คนหนึ่งตรงดิ่งไปยังส่วนบนของภูเขา อีกคนหนึ่งบินออกจากเขาจงเฟิง

ไม่มีใครหันมามองป๋ายเสี่ยวฉุนแม้แต่หางตา…

ไม่นานรอบด้านก็เงียบสงัด ป๋ายเสี่ยวฉุนยืนเหม่ออยู่ที่เดิม มองซ้ายที แล้วก็มองขวาอีกที ถอนหายใจพรืด รู้สึกว่าความแค้นระหว่างผู้หญิงช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก…

——

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!